W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 
October 2008 @France: 6th day, last day: Cathedrale Notre-Dame de Paris & Flight back to Narita

วันสุดท้ายของเราในฝรั่งเศสและในปารีสมาถึงแล้วค่ะ วันนี้นี่รูปไม่ค่อยเยอะเพราะไม่ได้ไปหลายที่ แต่ประสบการณ์ที่เจอวันนี้นี่คงลืมไม่ลงไปตลอดชีวิตค่ะ บุญของเราที่รอดปลอดภัยกลับมาเขียนบล็อคนี้ได้

ตื่นนอนมาแบบยังไม่อยากจะตื่นเลยรู้สึกยังไม่หายเพลียจากเมื่อวานนี้เท่าไหร่ ที่สำคัญความรู้สึกแรกตอนลืมตาขึ้นมาคือเจ็บคอมากกกกก กลืนน้ำลายทีหยั่งกะกลืนมีดไปทั้งเล่ม หวัดเล่นงานแล้วค่ะ ผลจากการหุบร่มถ่ายรูปเมื่อวานนี้นั่นเอง (วิตามินซีก็ไม่ค่อยได้กินอีกช่วงนั้น เสร็จเลย) ยาแก้อักเสบก็ไม่ได้เอามาด้วยค่ะไม่นึกว่ามาไม่กี่วันจะป่วยได้ อุตส่าห์รอดมาได้ตลอด มาป่วยเอาวันสุดท้ายนี่เอง T_T (เวลาเป็นหวัดเราจะเริ่มด้วย เจ็บคอ -> ไข้ขึ้น -> มีน้ำมูก -> ไอมาราธอนแบบคนเป็นภูมิแพ้เป็นอาทิตย์ ตามเสต็ปนี้เลยค่ะ)

ในห้องมีน้ำอยู่แค่โค้กกระป๋องนึงที่เมื่อวานซื้อมาจากร้านอาหารจีนใกล้ๆ ก็พอช่วยแก้เจ็บคอได้นิดๆหน่อย เพลียจริงๆเหนื่อยอยากนอนพักต่อมากๆแต่ทำไม่ได้ค่ะ วันนี้ก็มีพรีเซนต์แต่เช้า นัดไว้สิบโมง และหนนี้อยู่นอกตัวเมืองออกไปต้องนั่งรถไฟไกลมากๆ กลับมาไม่ทันเวลาเช็คเอาท์ชัวร์ๆ ดังนั้นก็ต้องเช็คเอ้าท์ตั้งแต่ก่อนไปค่ะ

เจ็บคอก็เจ็บ แต่ก็ต้องอาบน้ำ เตรียมตัว เก็บของต่างๆเข้ากระเป๋าค่ะ วิ่งลงไปกินข้าวเช้าเมนูเหมือนเมื่อวานเป๊ะ กินไม่ถึงสิบนาทีดีก็รีบมาเก็บของต่อ ยกกระเป๋าลงไปเช็คเอ้าท์แล้วก็ฝากกระเป๋าไว้กับ reception (กระเป๋าก็วางไว้ตรงโซฟาแถวนั้นล่ะค่ะ เค้าก็เอาป้ายชื่อมาห้อยให้) ออกจากโรงแรมประมาณ 8:20 ค่ะ วันนี้ไม่ใส่คัตชูแล้วเพราะอากาศหนาวค่ะ ถึงบู๊ตนี้ดูไม่ค่อยเหมาะโปรเท่าไหร่แต่มันก็ช่วยให้เราอุ่นได้ดีกว่าคัตชูอ่ะ่ค่ะ ก็เลยใส่ไปงี้ล่ะเดินสบายกว่าด้วย

ที่ๆจะไปหนนี้อยู่แถวๆ Evry ค่ะออกนอกปารีสไปทางด้านใต้ต้องขึ้นสาย RER D สถานี metro ใกล้โรงแรมที่ขึ้นบ่อยๆก็ค่อนข้างจะอ้อม ถามจากพนักงานที่ reception ก็แนะนำมาสองทาง
- ทางแรกคือเดินประมาณ 10min (เค้าว่างั้น)ไปขึ้นที่สถานี Gare d' Austerlitz ซึ่งเป็น RER C ที่ใกล้ที่สุดแล้วนั่งต่อไปเปลี่ยนเป็น RER D อีกที
- อีกทางคือ นั่งรถบัส(ขึ้นแถวๆหน้าโรงแรม)ไปลงสถานี Gare de Lyon ที่เป็น RER D โดยตรงเลย
จริงๆเค้าแนะนำทางที่สองมากกว่า แต่เราดูตามแผนที่แล้วเดินไปก็ไม่น่าไกล แถมเค้าบอกว่าสิบนาทีเอง ประกอบกับมั่นใจกับรถไฟมากกว่ารถบัส เราก็เลยตัดสินใจเดินไปค่ะ

วันนี้เริ่มมาไม่ดีเลยนอกจากเจ็บคอไม่สบาย ฝนก็ยังตกตลอดอีก ทั้งหนาว(มากๆๆๆ) ทั้งเปียก เดินต้องคอยพะวงแผนที่ คอมพิวเตอร์ ขนมของฝากต่างๆอีก แถมยิ่งเดินไปยิ่งรู้สึกว่าทำไมมันไม่ถึงซะทีล่ะเนี่ย ในแผนที่ดูใกล้ๆแต่เดินจริงๆทำไมมันไกลจังไม่ใช่สิบนาทีแล้วสำหรับเรา กว่าจะถึงได้เสียเวลาไปเยอะค่ะ สถานีนี้ดันหลบหลืบอยู่ในซอยอีกกว่าจะหาเจอ (ช่วงนี้รีบๆรูปไม่ค่อยมีค่ะ)

เมื่อวานนี้ยังพูดอยู่หยกๆว่าเคยนั่งรถไฟโตเกียวมาแล้ว รถไฟที่นี่จะไปยากอะไร วันนี้นี่เจอเลยค่ะสาย RER C นี่งงมากๆเส้นเดียวแต่แยกไปได้ทั้งห้าหกทาง เดี๋ยวๆแตกเป็นสองแพร่ง เดี๋ยวๆวกมารวมกันอีก ตอนถึงชานชาลานี่งงมากค่ะ ว่าเราต้องขึ้นคันไหนล่ะเนี่ย แค่เฉพาะทางที่ลงไปทางใต้ก็มีรถไฟชื่อสารพัดแบบแล้ว มัวแต่ยืนศึกษาแผนที่ของเค้าว่าคันชื่อไหนไปด้านไหน เราก็เลยพลาดรถไฟของเราไปเลยขึ้นไม่ทัน ต้องรอไปอีกกว่ายี่สิบนาทีค่ะ กว่าคันต่อไปจะมา (นัดพรีเซนต์สิบโมงนะเนี่ย มัวแต่หลงชักหวั่นๆใจว่าจะไปทันมั๊ย)


กว่ารถไฟคันที่จะไปทาง Juvisy มาก็ปาไป 9:15 แล้วค่ะ ร้อนใจมากๆกลัวจะไปถึงไม่ทันสิบโมง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว จะไปเร่งรถไฟให้เร็วกว่านี้ก็ไม่ได้ค่ะ ก็นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ รถสาย RER C นี่ค่อนข้างดูแปลกกว่ารถไฟสายอื่น(รวมถึงในโตเกียว)ที่เราเคยนั่งมานะคะ เป็นรถไฟมีสองชั้นชั้นบนและชั้นล่างคล้ายรถทัวร์ค่ะ สำหรับเราไม่มีอารมณ์ดูวิวแล้วตอนนี้อยากแต่จะให้ถึงเร็วที่สุด ก็นั่งชั้นล่างให้ใกล้ประตูทางออกที่สุดค่ะ รถยิ่งวิ่งไปก็ยิ่งออกห่างความเจริญ มองไปข้างนอกเห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้ามากขึ้นทุกที เฮ้อ อดนึกถึงสมัยที่ยังต้องไปแคมปัสที่คาชิวะบ่อยๆไม่ได้ อารมณ์เดียวกันเลยค่ะ นั่งรถไฟออกห่างความเจริญของเมืองหลวง(โตเกียว)

กว่าจะได้ขึ้นรถ RER C คันนี้มาก็เหนื่อยแล้วแต่ก็ไม่ได้นั่งสบายไปจนสุดทางค่ะ ยังต้องลงที่ Juvisy sur-Orge เปลี่ยนสายไป RER D4 อีก สถานีที่เราจะลงดันอยู่ตรงที่มันแยกสองแพร่งพอดี กว่าจะหาคันเจอว่าคันไหนวิ่งไปแพร่งที่เราต้องการก็เสียเวลาไปอีกหน่อยค่ะ ดีว่าวิ่งขึ้นทันพอดี ไม่งั้นถ้ารออีกนี่เลิกคิดเรื่องไปให้ทันได้เลย ประมาณ 9:50 ก็ถึงสถานีที่เราจะลงแล้วค่ะ Le Bras de-Fer ตอนนั้นนี่โล่งอกค่ะว่ามาถึงทันก่อนเวลาจนได้อย่างนี้น่าจะไปถึงมหาลัยได้พอดีไม่สายเท่าไหร่


ประสบการณ์ลืมไม่ลงของเราก็เริ่มที่ตรงนี้ล่ะค่ะ ออกจากสถานีไประหว่างทางก็ยื่นแผนที่ให้ดูพยายามถามเจ้าหน้าที่สถานีว่ามหาลัยที่เราจะไปเนี่ยไปทางด้านไหน เจ้าหน้าที่แต่ละคนรับไปแล้วก็ส่ายหน้าไม่รู้กันทั้งนั้น T_T เดินออกไปถามคนที่ยืนรอรถบัสอยู่ก็ไม่มีใครรู้จักสักคน ToT ตามแผนที่เค้าบอกว่าจากสถานีให้เดินตามสัญลักษณ์ของมหาลัยไปเดี๋ยวก็ถึง เราก็เอาน่ะมองไปนี่ยังเห็นสัญลักษณ์อยู่ตามไปคงไม่หลงหรอก ก็เลยออกเดินดุ่ยๆตามเครื่องหมายไปค่ะ (คือ แผนที่มหาลัยนี้ที่หามาได้นี่มันคร่าวๆจริงๆค่ะ)

ยิ่งเดินออกห่างสถานียิ่งไม่เห็นคนเลยค่ะ รถบนถนนใหญ่ยังแทบไม่มีวิ่งผ่าน หลังจากตามสัญลักษณ์มาได้สักสี่ห้าอัน สัญลักษณ์หมดค่ะ หมดที่ตรงหน้าซอยอะไรเล็กๆสักซอย มองซ้ายมองขวาไม่เห็นมีตรงไหนคล้ายทางเข้ามหาลัยเลย ซอยเล็กๆนี้ก็ไม่น่าจะใช่ทางเข้านะ แต่ในเมื่อมันหมดที่ตรงนี้ไม่มีทางไปอื่นแล้วก็ลองเดินเข้าซอยไปดูค่ะเผื่อว่าจะใช่

ยิ่งเดินลึกเข้าไปยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่แน่แล้วล่ะค่ะ พยายามมองซ้ายมองขวาหาใครที่พอจะถามทางได้ แต่ ณ ตอนนั้นนี่อย่าว่าแต่คนเลยค่ะ แมวหรือหมาสักตัวยังไม่มี รถสักคันก็ไม่มีอย่าว่าแต่taxiเลยค่ะ เงียบร้างมากๆหยั่งกะเมืองร้าง อารมณ์นั้นนี่ lost มากๆค่ะ เวลานัดก็เลยมาแล้ว ฝนเจ้ากรรมก็ตกไม่ยอมหยุดสักที จะให้เดินกลับสถานีก็ได้อยู่ แต่กลับไปก็ไม่มีใครบอกทางเราไปมหาลัยได้อยู่ดี งานนี้เรามาในนามมหาลัยและแล็บอ่ะค่ะ ไม่อยากจะเบี้ยวนัดเค้าให้เสียชื่ออาจารย์และมหาลัยเลย แค่มาสายเนี่ยก็แย่แล้ว

ร้อนใจมากๆเลยตอนนั้น พลันสายตาไปเจอคนเข้าคนหนึ่งจนได้ เป็นผู้ชายผิวหมึกค่ะ ไม่ได้จะแบ่งแยกสีผิวอะไรหรอกนะคะ แต่สมัยไปเที่ยวอเมริกาใครๆก็ให้ระวังคนดำเอาไว้ และกิตติศัพท์คนผิวหมึกก็ฟังดูน่ากลัวหลายๆอย่าง ดังนั้นคนดำคงจะเป็นคนสุดท้ายที่เราคิดจะเข้าไปขอความช่วยเหลือ(ระวังไว้ก่อนล่ะค่ะ) ถ้าไม่หมดหนทางจริงๆเราคงเลือกจะมองหาคนอื่นๆแน่ๆ แต่ ณ เวลานั้นเราหมดหนทางแล้วค่ะ ถ้าไม่หาคนถามก็คือต้องกลับสถานีไม่ต้องไปพรีเซนต์มันแล้ว ก็เลยทำใจกล้าเดินเข้าไปถามเค้าค่ะ

คนนี้พูดอังกฤษไม่ได้นะคะ(อายุน่าจะสัก 40 ขึ้นไปแล้ว) เค้าก็ดูแผนที่แล้วพูดอะไรไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสเป็นพรืด เราฟังไม่ออกหรอกค่ะ แต่พอจะเข้าใจจากท่าทางว่าเค้าเองก็คงไม่รู้เหมือนกัน คราวนี้เค้าก็เดินนำเราไปเข้าบ้านหลังหนึ่งใกล้ๆที่รั้วเปิดเอาไว้ (ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นสถานที่ราชการที่เปิดรั้วเอาไว้ หรือว่าเป็นบ้านเค้าหรือบ้านคนรู้จักกันแน่ เห็นเดินเข้ารั้วไปง่ายๆเลย)

เคาะๆประตูยืนรอสักพัก คราวนี้มีผู้ชายผิวช็อคโกแล็ตออกมาค่ะ(คนนี้ดูยังหนุ่มอยู่ ประมาณๆนักศึกษาราวๆนั้น) เค้าก็คุยๆกันภาษาฝรั่งเศส ไอ้เราก็ยืนรอค่ะไม่รู้เรื่องหนิ แล้วผู้ชายผิวช็อคก็หายเข้าบ้านไปสักพัก แล้วออกมาพร้อมใส่เสื้อโค้ต และถือกุญแจรถในมือ ทางคนผิวหมึกที่พาเรามาก็ทำมือบอกให้เรารู้ว่านี่เดี๋ยวคนนี้เค้าจะขับรถไปส่ง แล้วคนผิวหมึกก็แยกไปค่ะ ปล่อยเราอยู่กับผู้ชายคนที่เพิ่งออกมา

ผู้ชายผิวช็อคก็เดินนำเราไปที่รถเค้าที่จอดใกล้ๆค่ะ(ก็รถยนต์ส่วนตัวธรรมดาน่ะค่ะ แต่ก็ดูใหม่และสวยเชียวนะคะ) ช่วงนาทีนั้นนี่แว้บเดียวก็จริงแต่เป็นการตัดสินใจที่ยากและเสี่ยงที่สุดในชีวิตแล้ว เอาตาม common sense เลยนะคะ ในต่างประเทศที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก ภาษาเค้าก็พูดไม่ได้อ่านไม่ออก ถนนหนทางอะไรก็ไม่รู้จัก ปกติแล้วผู้หญิงสติดีๆที่ไหนจะยอมขึ้นรถไปกับผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักอย่างนี้จริงไหมคะ เกิดถูกพาไปไหนต่อไหนกันก็หมดอนาคตกันล่ะค่ะงานนี้

วินาทีนั้นนี่ไม่รู้เทวดาที่ไหนมาดลใจ (ถ้าไปแล้วซวย ป่านนี้ก็คงมานั่งเศร้าว่าปีศาจซาตานที่ไหนมาดลใจล่ะค่ะ) ประกอบกับการคิดเข้าข้างตัวเองไว้ว่าเค้าอยู่เฉยๆของเค้า เราไปลากเค้าออกมาเองนะ คงไม่ได้ซวยไปลากมิจฉาชีพที่ไหนออกมาหรอกมั้ง ประกอบกับนิสัยขี้เกรงใจด้วยเค้าอุตส่าห์แสดงน้ำใจให้ขนาดนี้จะไม่รับก็รู้สึกเสียมารยาท(อารมณ์คน lost อยู่นี่ แม้แต่น้ำใจที่เล็กน้อยกว่านี้ก็รู้สึกว่ามันคือน้ำใจที่ใหญ่มากล่ะค่ะ) ที่สำคัญตอนนั้นเลทเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วถ้าไม่ใช่สุดท้ายจริงๆยังไงก็ไม่อยากเบี้ยวนัดนี้ค่ะ

ตัดสินใจอยู่ไม่ถึงนาทีก็ตัดสินใจก้าวขึ้นรถในที่นั่งข้างคนขับค่ะ (รถใหม่เชียวนะคะเนี่ย) คนๆนี้พูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ เลยได้คุยนิดๆหน่อยๆ จนรู้สึกวางใจขึ้นมาบ้างว่าดูแล้วไม่น่าใช่มิจฉาชีพอะไร นั่งไปไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงประตูรั้วของมหาลัยที่เราจะมาแล้วค่ะ ก่อนเค้าจะขับรถกลับไปเราก็โค้งแล้วโค้งอีก ขอบคุณไปนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไม่ได้เค้ามาส่งเรามาไม่ถึงนี่แน่ๆ (ระหว่างทางนั่งรถมาไม่เห็นมีสัญลักษณ์อะไรสักอัน แถมระยะทางไกลมากก)

ตอนที่มาถึงรั้วมหาลัยนี่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆงานนี้ ไอ้การตัดสินใจเสี่ยงๆอย่างนี้คงจะให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ในขณะเดียวกันทัศนคติเรากับคนผิวเข้มก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย เดิมก็รู้อยู่แล้วนะคะว่าไม่ใช่คนผิวเข้มทุกคนหรอกที่ไม่ดี แต่เราก็จะมีความระแวดระวังไม่ไว้วางใจคนผิวเข้มง่ายๆถ้าเทียบกับคนผิวขาวหรือคนเอเชีย จะเรียกว่าอคติก็คงไม่ผิดค่ะ ผ่านเหตุการณ์นี้ไปนี่คนผิวเข้มกลายเป็นผู้มีพระคุณของเราไปเลยค่ะ ที่แสดงน้ำใจถึงขนาดช่วยขับรถมาส่งเราให้ทั้งๆที่ไม่ใช่ธุระของเค้าเลยสักนิด

เอาล่ะค่ะกลับมาต่อกันสักทีกว่าจะมาถึงได้ ตรงรั้วนี่จะมีป้อมคล้ายๆป้อมยามค่ะ เราก็ยื่นชื่อคนที่เรามาหาให้เค้าก็โทรศัพท์ติดต่อไปถึงจะปล่อยให้เราเข้าไปได้ รอสักพัก Asso.Prof. คนที่เป็นคนติดต่อกับเรามาตลอดก็มารับเราไปห้องพรีเซนต์ค่ะ เห็นว่าเค้าก็กำลังคิดๆอยู่เหมือนกันว่าเราจะมาได้ไหมเนี่ย(ซึ่งก็ถูกค่ะ กว่าจะมาได้หลงไปหลายจุดมากๆ)

พรีเซนต์หนนี้เห็นคนเข้ามาแล้วเครียดค่ะ มีคนเข้ามาประมาณสิบกว่าคนได้ เป็นนักเรียน ปริญญาโทและเอก กับอาจารย์สองสามคน รู้จักเหมือนตัวเองเป็นอาจารย์พิเศษมาจัดงาน seminar ยังไงพิกล ตื่นเต้นจนพูดตะกุกตะกักไปบ้างเลย แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ ก็ได้รับชวนไปทานข้าวโรงอาหารกันอีกครั้ง(ซึ่งเค้าจ่ายให้อีกแล้ว) กินไปนั่งคุยโน่นนี่ไปค่ะ คุยกับนักเรียนคนอื่นๆเค้าก็บอกว่าตอนเค้ามาหนแรกก็หลงเหมือนกันค่ะ หาทางมาไม่เจอ ช่วงอาทิตย์นี้นี่เป็นวันหยุดของทางฝรั่งเศสด้วยแถบนอกตัวเมืองอย่างนี้คนเลยน้อยอย่างที่เห็นนี่ล่ะ (มิน่าล่ะ แทบหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนไม่ได้เลย)

สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับคนฝรั่งเศสที่เราเห็นชัดมากๆที่นี่คือ ลักษณะของ Lady first ค่ะ วันก่อนๆหน้านี้ก็เห็นมานิดๆหน่อยๆแต่มันชัดเอามากๆที่นี่เอง ตอนเดินไปกลับจากโรงอาหารเดินไปเกือบสิบคน แต่ทุกครั้งผู้ชายที่เดินข้างหน้าจะต้องหยุดเปิดประตูค้างรอให้ผู้หญิงที่เดินตามหลังผ่านประตูไปก่อนเสมอคะ(นอกจากเรา ตรงนั้นก็มีผู้หญิงอีกคนค่ะ) ขนาดว่าเรายังเดินอยู่ตั้งห่างเค้าก็ยังเปิดประตูรอให้อยู่อย่างนั้นล่ะค่ะ

ทุกๆครั้งที่เจอประตูจะเป็นอย่างนี้ จนเราต้องรีบๆเดินเพื่อไม่ให้เค้าเปิดค้างรอนานเลยค่ะ ^_^ อยู่ญี่ปุ่น(หรือที่ไทยก็ตาม)ไม่เคยได้เจออะไรอย่างนี้มานานแล้ว ที่เจอมักเป็นฝรั่งเปิดให้ทุกที จริงๆก็ไม่ได้คิดมากนะคะเพราะเราเปิดเองก็ได้ไม่คิดจะรอให้ใครเปิดให้อยู่แล้ว แต่มันเป็นอะไรที่แบบว่าไม่ทำให้ก็ไม่คิดจะว่าว่าคุณไม่เป็นสุภาพบุรุษหรืออะไร แต่เวลามีคนทำให้แล้วอดรู้สึกดีใจไม่ได้น่ะค่ะ เพิ่งเข้าใจถึงความรู้สึก Lady first จริงๆก็หนนี้ล่ะค่ะ

เนื่องจากเราบอกว่าเดี๋ยวเราจะรีบไปสนามบินก่อนมืด ก็เลยได้กลับเร็วค่ะ จริงหลังทานข้าวเค้าจะนั่งดื่มชาชิวๆกันอีกแต่เราขอตัวมาค่ะ (ยังนึกอยู่เลยว่าที่นี่ดูชิวๆกว่าทางญี่ปุ่นนะเนี่ย กินข้าวคุยกันก็ตั้งนานแล้ว ยังมีดื่มชาคุยกันต่ออีก กว่าจะได้ทำงานต่อนี่คงบ่ายแก่ๆไปแล้วมั้งเนี่ย ที่ญี่ปุ่นกินก็รีบๆเสร็จก็พักนิดหน่อยแล้วต่างก็แยกไปทำงานของตัวเองต่อ)

ขากลับนี่เค้าขับรถมาส่งถึงสถานีเลย แหะๆ ตอนนั้นนี่ชินแล้วนะคะกับการเปิดประตูให้ของผู้ชายฝรั่งเศส แต่ก็ยังอุตส่าห์แสดงความโก๊ะออกมาจนได้ตอนขึ้นรถค่ะ อาจารย์คนขับเค้าเดินล่วงหน้าไปก่อนไปทางที่นั่งด้านหน้าฝั่งขวา เราเดินตามมาทีหลังเคยชินกับรถพวงมาลัยขวา ดังนั้นเราก็เลยเดินเข้าไปทางที่นั่งด้านซ้ายกะว่าเป็นที่นั่งด้านข้างคนขับค่ะ ปรากฏว่าหน้าแตกค่ะที่นี่รถพวงมาลัยซ้ายที่อาจารย์เค้าเดินไปก่อนน่ะ คือเดินไปเปิดประตูรถรอให้เราค่ะ (แหม ก็ชินกับการเปิดประตูในตึกแล้ว แต่ยังไม่ชินกับการเปิดประตูรถน่ะค่ะ หยั่งกะในหนังแน่ะ สมัยอยู่ไทยนั่งรถไปกะคุณแฟนก็ต่างคนต่างขึ้นฝั่งตัวเอง)

ประมาณ 12:40 กลับมาถึงสถานีแล้วค่ะ ตอนขาลงเราก็มัวถอดเข็มขัดนิรภัย หยิบกระเป๋าโน่นนี่อยู่ อาจารย์ที่ขับเค้าก็วิ่งลงรถมาเปิดประตูให้อีกค่ะ เรานี่แทบจะโดดลงมาไม่ทัน(ไม่อยากให้เค้าเปิดรอนานน่ะค่ะ) แหม อดรู้สึกปลื้มไม่ได้จริงๆกับลักษณะ Lady first ของผู้ชายที่นี่ รู้สึกหยั่งกะตัวเองอยู่ในหนังอย่างไงอย่างงั้นไม่เคยนึกว่ามันมีอยู่จริงๆในความเป็นจริงด้วยนะเนี่ย (รูปสถานีรูปเดิมขอใช้อีกรอบค่ะ ช่วงนี้รูปน้อยจริงๆ)


เป็นอันว่าภารกิจของเราในทริปนี้จบลงแค่นี้ล่ะค่ะ ขากลับนี่รู้สึกโล่งมากๆ อากาศก็เป็นใจฝนหยุดตกแล้ว นั่งรถไฟไปด้วยใจเบาหวิวผิดกับขามามากๆ เครื่องบินเที่ยวกลับเราออกห้าทุ่มครึ่งโน่นแน่ะค่ะ ก็เลยกะว่าเดี๋ยวขอแวะเที่ยวอีกสักที่ละกัน ก่อนไปหยิบกระเป๋าที่โรงแรมแล้วไปสนามบิน

นั่งกลับย้อนทางเดิมเลยค่ะ จาก RER D เปลี่ยนมา RER C แต่คราวนี้เลยมาลงที่สถานี St-Michel Notre-Dame station แทน ถึงประมาณเกือบบ่ายสอง ใช่แล้วค่ะเป้าหมายสุดท้ายของเราก็คือ Cathedrale Notre-Dame de Paris นั่นเอง ข้างในสถานีก็มีประดับผนังเป็นลวดลายเลียนแบบกระจกสีๆอันโด่งดังของวิหาร Notre-Dame ด้วย จากสถานีก็เดินมาตามป้ายทางออกที่เขียนว่า Notre-Dame นี่ล่ะค่ะ โผล่มาปุ๊บก็มองเห็นเลย (ที่สำคัญทุกคนเดินไปทางเดียวกันหมด แสดงว่าใช่แน่ๆแล้ว)


ยืนๆถ่ายรูปแถวๆนี้อยู่สักสิบห้านาทีได้ค่ะ เป็นวันหยุดนี่นะคนมาเที่ยวเพียบเลยค่ะ ทั้งคนฝรั่งเศสและคนต่างชาติอื่นๆ แบบนี้นี่ถ่ายรูปง่ายหน่อยค่ะ เราถ่ายรูปให้เค้าเค้าก็ช่วยถ่ายให้เรากลับแลกเปลี่ยนกัน ที่ตรงด้านหน้ามีคุณลุงอยู่คนหนึ่งกำลังให้อาหารนกอยู่ด้วยค่ะ คนมุงถ่ายรูปกันใหญ่เพราะนกพิราบ(รู้สึกจะมีนกอื่นด้วย)มารุมที่มือของคุณลุงเต็มเลย มองด้านนอกวิหารนี้ก็ทรงยุโรปเก่าแก่ดีค่ะ แต่จนวันนี้นี่เห็นตึกเก่าๆอย่างนี้มานับไม่ถ้วนแล้วในฝรั่งเศสเลยเริ่มไม่ตื่นเต้นอะไรเป็นพิเศษค่ะ ถ่ายๆรูปพอเป็นพิธีเท่านั้น (อย่างที่เคยพูดในบล็อคก่อนๆว่า ตึกที่นี่มันก็เก่ากันทั้งแถบนั่นล่ะค่ะ)


ทีแรกกะว่าจะไม่เข้าไปข้างในนะคะ นึกว่าต้องเสียเงิน แต่ลองเดินๆตามคนเข้าไปปรากฏว่าไม่เสียเงิน ก็เลยเอาซะหน่อยก็ได้ค่ะ ยังไงวันนี้เวลาก็เหลือเฟือ เดินฆ่าเวลาที่นี่เป็นแห่งสุดท้ายก็ดี ข้างในก็กระจกสีๆสวยสมคำร่ำลือจริงๆค่ะ ถ่ายมาแทบไม่หมดเลยทีเดียว ถ่ายไปก็อดขัดใจไม่ได้ ที่มืดๆนี่ถ่ายให้ชัดนี่ยากจริงๆ เวลาอย่างนี้ทีไรนึกอยากซื้อ DSLR สักตัวพร้อมเลนส์ wide จะได้เก็บภาพความอลังการไปให้ได้เหมือนที่ตาเห็นของจริงน่ะค่ะ >,< (คิดอย่างนี้มาสองปีกว่าแล้วล่ะค่ะ แต่ซื้อไม่ได้สักที ถ้ายอมหยุดช้อปเสื้อผ้าเครื่องสำอางไปได้สักปีล่ะก็ ป่านนี้ซื้อได้แล้วเนี่ย เฮ้อ)

เดินเล่นอยู่ในนี้ 45 นาทีเชียวค่ะ ก็ไม่เชิงว่าดื่มด่ำกับความงามอะไรเท่าไหร่หรอกนะคะ(บอกแล้วว่าไม่ใช่คนมีอารมณ์ศิลปินเท่าไหร่) แต่เวลามันเหลือเฟือน่ะค่ะ ที่นี่ก็เป็นสถานที่สุดท้ายของทริปนี้แล้วด้วย เลยเดินวนไปวนมาถ่ายโน่นนี่ไปเรื่อย แปลกใจอยู่อีกอย่างว่าทำไมด้านในนี่ไม่ค่อยเห็นใครถ่ายรูปคนกันเลยนะ เห็นแต่ยกกล้องถ่ายรูปวิหารรูปกระจก แต่ไม่เห็นมาถ่ายรูปตัวเองหรือเพื่อนๆที่มากันเลย หรือว่ามันเป็นธรรมเนียมหรือมารยาทหรือเปล่าคะเนี่ย ว่าในวิหารหรือโบสถ์ไม่ควรมาแอ็คท่าถ่ายรูปกัน (เราก็เลยพลอยไม่กล้าขอให้ใครถ่ายรูปให้เลย แอบๆหันกล้องมาแชะตัวเองได้นิดหน่อย แต่ก็เบลอซะอีก)

ประมาณบ่ายสามก็ออกมาค่ะ ก็มุ่งหน้าไปสถานีเดิมเพื่อกลับโรงแรม อดแปลกใจอย่างไม่ได้ว่านกที่นี่นี่เป็นนกที่ถูกฝึกมาหรือเปล่าเนี่ย เดินๆไปสักพักก็จะเห็นฝูงนกสีขาว(นกนางนวลหรือเปล่า) บินกันเป็นฝูงวนรอบลานหนาวิหาร ลอดใต้สะพาน ไปเรี่ยๆกับผิวแม่น้ำ seine แล้วก็วนกลับมาอีกที พยายามถ่ายรูปมาแล้วแต่ด้วยกล้องของเราถ่ายออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ตาเห็นจริงๆค่ะ (จริงๆอยากจะจับภาพ ตอนที่นกบินไปเรี่ยกับผิวน้ำ แต่ไม่สามารถจริงๆค่ะ)


นั่งรถไฟชิวๆกลับโรงแรมค่ะ ระหว่างทางก็แอบสำรวจสถานีใกล้ๆไปด้วยว่ามีลิฟท์หรือบันไดเลื่อนหรือเปล่า ประมาณสี่โมงเย็นก็ถึงโรงแรมแล้วค่ะ ตอนขาเข้าปารีสมานี่อาจจะยังจำกันได้ว่าเราทุลักทุเลแค่ไหนกว่าจะถูลากถูกังกระเป๋าขึ้นลงบันไดรถไฟ แถมลากระยะทางไกลตอนเปลี่ยนสายจาก RER B มาเป็น metro อีก ซึ่งถ้าหากจะเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลักมันก็ควรจะเป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ เพราะสถานีใกล้โรงแรมที่สุดคือ metro 7 (pink) Les Gobelins

ขากลับนี่เลยวางแผนใหม่ค่ะ กะว่าจะนั่ง taxi จากโรงแรมไปขึ้นสถานี RER B เพื่อจะได้นั่งยาวไปถึงสนามบินเลย (จะให้นั่งแท็กซี่ไปถึงสนามบินก็ไม่ไหวค่ะ แพงตายเลย ช่วงนี้ใครๆก็เตือนมาว่าเป็นเวลารถติดแถมวันศุกร์ วันฮาโลวีนอีกด้วย) ถามพนักงานที่ reception มาแล้วว่าควรไปสถานี RER B ไหนดีที่ใกล้ๆและมีลิฟท์หรือบันไดเลื่อน ก็ตกลงว่าได้เป็นสถานี Denfert Rochereau ค่ะ ดูในแผนที่ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่ และเป็นสถานีที่มีการเปลี่ยนสายรถไฟ ดังนั้นสถานีน่าจะใหญ่หน่อย (น่าจะมีบันไดเลื่อนนั่นเอง) ตะกี้ตอนขากลับจาก Notre-Dame ก็มีแวะไปสำรวจยืนยันมาแล้วว่าสถานีนี้มีลิฟท์ค่ะ งานนี้ไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงบันไดแล้ว ^_^

ก็ขอให้ทาง reception ช่วยเรียก taxi ให้ระหว่างนั่งรอก็อ่านสมุดบันทึกของโรงแรม ที่มีไว้ให้แขกที่มาพักเขียนข้อความหรือความประทับใจอะไรพวกนั้นน่ะค่ะ แป๊บนึงแท็กซี่ก็มาจอดที่ฟุตบาทหน้าโรงแรม เราก็ลากกระเป๋าออกจากโรงแรมแค่นั้นแล้วคนขับก็มาช่วยยกกระเป๋าเราเข้าท้ายรถให้เรียบร้อยค่ะ เข้าไปนั่งเราก็บอกปลายทางเราไป(ซึ่งก็ใกล้ๆเอง) เค้าก็มีถามนะคะว่าไม่นั่งไปสนามบินเลยเหรอ ซื้อตั๋วมาแล้วเหรอ หนนี้รู้ทันแล้วค่ะบอกว่าซื้อตั๋ว RER B ไปสนามบินไว้แล้ว(จริงๆยังไม่ได้ซื้อเลย)

ที่ว่ารู้ทันคือ สมัยไปไต้หวันเคยมาแล้วค่ะ ทีแรกกะนั่งแท็กซี่ไปสถานีรถไฟ แล้วนั่งรถไฟต่อไปเข้าไทเปไปสนามบิน แต่โดนแท็กซี่ชวนอย่างนี้ล่ะค่ะ ว่านั่งต่อไปสนามบินเลยสิ ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องปฏิเสธไม่เป็นก็เลยนั่งไปค่ะ แพงกว่านั่งรถไฟเป็นสิบเท่าเลยทีเดียว เดาว่าแท็กซี่เค้าก็คงอยากให้นั่งเหมาไกลๆเพราะได้ทีคุ้มกว่ามั้งคะ

รู้สึกเค้าก็บ่นๆอุบอิบๆเป็นภาษาฝรั่งเศสอยู่เหมือนกัน คงนึกว่าเราจะนั่งไปสนามบินน่ะค่ะ แต่ทำไงได้เราก็ไม่อยากเสียเงินเยอะเหมือนกัน (ถ้าเหมาไปสนามบิน ช่วงรถติดๆอย่างนี้ อาจจะโดนไปอย่างต่ำ 70 euro แหงๆ) นั่งๆไปก็มองซ้ายมองขวา แท็กซี่คันนี้นี่มองด้านนอกไม่รู้สึกว่าใหม่หรือหรูอะไรเลยนะ แต่ข้างในนี่ใหม่มาก คนขับก็แต่งชุดสูทเต็มยศ แถมยิ่งมองแผงหน้าปัด มองหนังรถ มองที่เปิดประตู ยิ่งรู้สึกคุ้นตาชอบกลเหมือนรถของปะป๊า(คุณพ่อ)ที่ไทยเลย มองไปมองมาเลยเห็นเลยค่ะตราสามแฉก ที่แท้แท็กซี่ที่นี่นี่เค้าใช้ Benz กันเหรอคะเนี่ย อู้ หรูจริงๆ (เดาว่าทางโรงแรมคงเรียกแท็กซี่แบบหรูมาให้ด้วยล่ะค่ะ คนขับก็แต่งตัวดีเชียว)

นั่งประมาณสิบนาทีเท่านั้นค่ะ 16:20 ก็ถึง Denfert Rochereau stationแล้ว(รูปด้านบน มุมล่างขวาสุดค่ะ ลืมถ่ายป้ายชื่อสถานีมา) ค่าแท็กซี่แค่ 8 euro นิดๆเอง แต่เราเห็นรถเค้าหรู(แถมมีบ่นอุบนิดๆทีแรก)ก็เลยให้แบงค์ 10euro ไปแล้วเปิดประตูลงเลย นัยว่ารู้กันว่าไม่เอาเงินทอน คนขับก็ลงมายกกระเป๋าลงให้แล้วก็ขับไปค่ะ

สรุปถ้าใครอยากพักโรงแรมนี้อาจลองวิธีเราก็ได้นะคะ(โรงแรมนี้ดีค่ะเรา recommend) ไม่ต้องลากกระเป๋าไกลๆหรือขึ้นลงบันไดให้เหนื่อย มีรถมาเกยตั้งแต่หน้าโรงแรมค่ะ นอกจากค่าตั๋ว RER B ไปสนามบิน 8.40 euro แล้วก็เสียเพิ่มแค่ค่าแท็กซี่ไม่ถึง 10euro เองแลกกับความสะดวกสบาย (ดีกว่าเสียเกือบร้อยยูโร ถ้านั่งแท็กซี่เพียวๆ) นั่ง RER B ไปก็ไม่ต้องไปผจญกับสภาวะการจราจรหรือรถติดข้างนอกด้วยค่ะ

ลืมบอกว่าวันนี้ทั้งวันนี่ซื้อตั๋วรถไฟปกติหมดเลยนะคะ หลังๆเริ่มเก่งแล้วซื้อที่เครื่องเองได้แล้ว ถ้านั่งอยู่แค่โซนๆปารีสจะเป็นตั๋วราคาเดียวกันหมดค่ะไม่ว่าไปไหน แต่ถ้าจะนั่งออกไกลมาสนามบินอะไรพวกนี้ก็จะแยกเป็นตั๋วออกนอกปารีสอีกทีหนึ่ง ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็เลือกจิ้มซื้อตั๋วเองถูกแล้วค่ะ

จริงอยู่ว่าสามารถพากระเป๋าลงลิฟท์ไปถึงชานชาลาได้อย่างสบาย แต่ช่วงเวลานี้เป็น rush hour ค่ะรถไฟมานี่หูยคนแน่นมาถึงประตูเลยเชียว ดีว่าเรามาคนเดียวเลยพอจะแทรกๆเข้าไปได้ (คนอื่นๆที่เราเห็นมีกระเป๋าแต่มากันหลายๆคน ก็ต้องยืนรอต่อไปจนกว่ารถไฟจะว่างพอค่ะ) ก็ยืนตัวลีบๆกับกระเป๋าไปสักหลายสถานี แต่สักพักก็ได้นั่งค่ะ (ชินกับการยืนในรถไฟที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วด้วย)

ตอนจะเข้าไปนั่ง(เป็นที่นั่งสี่ที่เป็นหันหน้าเข้าหากัน ฝั่งละสองที่น่ะค่ะ) ก็มีผู้ชายผิวช็อค(อีกแล้ว)ช่วยเราดันๆกระเป๋าเข้าไปชิดด้านใน และเค้าก็ยอมนั่งแบบขาเบี่ยงๆเพื่อหลบกระเป๋าเราให้ด้วยค่ะ ^_^ (บอกแล้วว่าหลังจากทริปนี้ ทัศนคติกับคนผิวเข้มเปลี่ยนไปในทางที่ดีเยอะมากๆ)

ประมาณ ห้าโมงครึ่งก็ถึง CDG terminal2 แล้วค่ะ ไฟลท์เราตั้งห้าทุ่มแน่ะค่ะ ถึงเร็วไปบนกระดานยังไม่เขียนบอกเลยว่าไฟลท์เราต้องเดินไปทาง gate ไหน ก็เลยหาที่นั่งเสียบปลั๊กโน้ตบุค เล่นเกมส์ไพ่ นั่งจัดรูปภาพของทริปนี้ในเมโมรี่การ์ดลงเครื่องไปเรื่อยๆค่ะ


สักสองทุ่มก็เดินไปเช็คอินแล้วค่ะ ขนาดมาก่อนเวลาขนาดนี้ก็ยังไม่เหลือที่นั่งริมทางเดินค่ะ ได้ที่นั่งริมหน้าต่างอีกแล้ว (สงสัยอยู่ว่าทำไมคนอื่นเลือกที่นั่งได้ก่อนนะ เราเคยถาม JTB ตอนซื้อตั๋วว่าเลือกที่นั่งเลยได้มั๊ย เค้าก็บอกว่าแบบที่เราซื้อเลือกที่นั่งเลยไม่ได้ต้องเลือกตอนเช็คอิน หรือว่าเราต้องเช็คอินทางอินเตอร์เน็ตก่อนมาคะเนี่ย ถึงจะเลือกที่นั่งก่อนได้) เดินๆวนๆดูร้านอาหารก็แนวแซนด์วิชตามเคย มีร้านนึงดูจะมีพวกสเต๊กหลายๆอย่าง แต่คนต่อคิวเยอะมากขี้เกียจรอ ก็เลยตัดใจเดินเข้า gate ไปเลย

ประมาณสามทุ่ม ก็แวะซื้อช็อคของฝากอาจารย์และคนในแล็บสักหน่อย แล้วก็เดินๆดู duty free (รูปบนล่างซ้าย)ไปด้วย แต่รู้สึกว่า duty free ที่นี่นี่เล็กๆดีจัง มีร้านอยู่หน่อยเดียวเอง อาหารก็แน่นอนมีแต่แซนด์วิชตามเคย นอกนั้นก็พวกข้าวแกงแช่แข็ง สุดท้ายเลยไม่ได้กินอะไรนอกจากน้ำส้มขวดเดียว สัก 21:30 ก็ไปนั่งรอที่ gate แล้วค่ะ

นั่งรอแน่นอนว่าพยายามต่อเน็ต wireless ค่ะ เผื่อว่าจะต่อได้เหมือนที่สนามบิน Bordeaux (ที่นั่นต่อฟรีและไม่จำกัดเวลาด้วย) เพราะตั้งแต่เข้าปารีสมาไม่ได้ใช้เน็ตเลย ก็ลองอยู่หลายอันมีแต่ต้องจ่ายเงินทั้งนั้นเลย ไม่เอาอ่ะค่ะไม่ได้มาเล่นเน็ตที่สนามบินนี้บ่อยขนาดนั้น แถมเวลาจ่ายเป็นชั่วโมงนี่รู้สึกว่าต้องตั้งหน้าตั้งตาเล่นให้คุ้มเงินที่สุดเครียดไปหน่อย สุดท้ายไปเจออันนึงของ orange อะไรนี่ล่ะค่ะมีลงทะเบียนแล้วจะเล่นได้ฟรี 1ชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงก็เอาค่ะลงมือต่อทันที และพยายามจะเปิดหน้าต่างๆไว้เยอะๆค่ะ กะว่าถ้าเน็ตตัดเมื่อไหร่ก็ยังมีเปิดไว้ให้อ่านฆ่าเวลาได้อีกเยอะแยะ (ไม่ค่อยงกเลย)

ประมาณ 22:50 ก็เริ่มเรียกขึ้นเครื่องได้แล้วค่ะ (เน็ตเพิ่งจะตัดไปพอดีเลย) เครื่องออกเกือบจะตรงเวลาห้าทุ่มครึ่งเลย flight ทั้งไปและกลับญี่ปุ่นนี่เรานั่ง Air France นะคะแต่รู้สึกมันจะร่วมกับทาง JAL ทั้งสองขาเลย ดังนั้นคนญี่ปุ่นก็เลยเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ

(ยังใช้เวลาฝรั่งเศสอยู่นะคะ) ระหว่างบินก็มีอาหารสองมื้อเหมือนเคยค่ะ มื้อหลักตอน 1:25 (ภาพด้านล่าง รูปมุมบนซ้าย ชามเล็กๆเหลืองๆทางมุมขวาของภาพนั่นคือ Rattouille ด้วยล่ะค่ะ แต่ไม่อร่อยเหมือนที่ดูในเรื่อง Ratatouille มาเลยอ่ะ) อีกมื้อเบาๆตอน 9:15 (ภาพด้านล่าง รูปมุมล่างซ้าย) วิวนอกหน้าต่างก็เปลี่ยนไปเร็วเหมือนกันค่ะ หนนึงหันมาฟ้ายังสว่างอยู่เลย กินๆ(มื้อสอง)อยู่หันมาอีกทีเอ้าเริ่มจะมืดซะแล้ว


นิดนึงว่าครั้งนี้คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราจะใส่บู๊ตถอดยากๆมาขึ้นเครื่องบินค่ะ (แบบว่าแพ็คกระเป๋าไปแล้ว ไม่อยากเปิดอ่ะค่ะเก็บยาก เลยเอาชุดไปพรีเซนต์นั่นล่ะขึ้นเครื่องเลย) นั่งก็นั่ง economy ที่ติ๋วเดียวกว่าจะถอดจะใส่แต่ละทีนี่ลำบากค่ะ จะให้ใส่ตลอดเลยก็อึดอัดไขว้ขา เปลี่ยนท่านอนลำบาก

สุดท้ายที่เวลาประมาณหนึ่งทุ่มเวลาญี่ปุ่น เราก็กลับมาถึง Narita terminal 1 แล้วค่ะ รับกระเป๋าแล้วก็จัดการส่งแมวดำไปซะ เป็นอันจบแล้วค่ะการเดินทางไปฝรั่งเศสครั้งแรกของเรา ค่อนข้างโหยอาหารร้อนมาก(เจ็บคอด้วย)เลยจัดการแวะร้านเกาหลีใกล้ๆบ้านกิน kuppa ไปชามนึงค่ะ เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย



จบแล้วค่ะทริปนี้ นอกจากหวัดที่ได้มา(นอนซมไอกระหน่ำไปเป็นอาทิตย์ๆ) ก็มีทำปลอกร่มพับกับกระดุมเสื้อโค้ตหลุดหายอีกค่ะ(กระดุมสำรองหมดแล้วด้วย T_T ) แต่โดยสรุปแล้วคงพูดได้ว่างวดนี้กลับมาตังค์อยู่ครบค่ะ ณ ตอนที่เขียนบล็อคนี้ได้เงินคืนจากทางมหาลัยเรียบร้อยแล้ว มีรวมค่ารถไฟ Keisei ไปสนามบินนาริตะ ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าเบี้ยเลี้ยงรายวัน(แปลกว่าวันที่เข้าปารีสได้เยอะกว่าค่ะ เดาว่าคงเพราะไปคนละจุดประสงค์กันกับตอนไป Bordeaux ที่เน้นเข้าร่วม conference) ค่าที่พักรายวันให้เรียบร้อย

เราพักโรงแรมคืนละ 100euro นิดๆสามคืน และคืนละ 150 USD นิดๆสองคืน แต่หักลบกลบทุกอย่างแล้ว(ขนาดว่ารวมกินรวมค่าช้อปปิ้งเครื่องสำอางนอกเรื่องของเราแล้ว)ยังมีเงินเหลือเลยค่ะ สรุปว่าทริปนี้ไม่เข้าเนื้อเลยสักนิด(เสียแต่เวลา) ถ้าใครไม่ช้อปปิ้งและพักโรงแรมถูกกว่าเราล่ะก็ เดาว่าคงเหลือเงินจากทริปนี้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นเยนแน่ๆค่ะ ^_^ (แต่หนนี้คือ เรากินแบบอนาถหน่อยด้วยค่ะ หาของถูกใจกินไม่ได้ ค่ากินเลยถูกไปเยอะ)


Create Date : 24 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2551 18:53:59 น. 2 comments
Counter : 805 Pageviews.

 
อิอิ มาลงบล็อคเสาร์อาทิตย์นี้ตามสัญญาจริงๆด้วย

อ่านหนำใจเลย เหมือนติดตามละคร 555

จะเริ่มตั้งต้นเขียนเม้นตั้งแต่บล็อคก่อนนี่ก้อต้องเบรคตัวเองไว้ก่อนไม่งั้นจะยาวเหยียดอีก เลยรอจนจบทริป

สรุึปก้อไปพรีเซนท์ทันค่อยยังชั่วเนอะ ดีที่พวกอาจารย์เค้ายังรอ ไม่งั้นไปเสียเที่ยวเลย(หมายถึงน่าจะหนีไปเที่ยวซะแต่แรกเลย 555)

ดีใจด้วยที่ได้ตังกลับมาครบ แถมเกิน อิอิ เบี้ยเลี้ยงในเมืองใหญ่จะให้มากกว่าเมืองเล็ก เค้าจะเรทเขีัยนไว้เป็นตารางตายตัวของแต่ละที่เลย รู้งี้ช้อปเครื่องสำอางมาเยอะกว่านี้ดีกว่า ใช่ม้่่่าา


โดย: enjoymiracle วันที่: 1 ธันวาคม 2551 เวลา:5:24:25 น.  

 

Bangkok X-mas-comment, Bangkok MerryX'mas-comments, Bangkok glitter-comments



โดย: Cobie วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:20:13:42 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.