เครดิตภาพ Illustration ของ Big Ben จาก google------------------------------------------------------------------ผ่านไปหนึ่งปีนิดๆ แล้วเราก็ได้มายุโรปอีกครั้ง แน่นอนค่ะว่ามาด้วยเรื่องงานของมหาลัย งานนี้มหาลัยออกค่าใช้จ่ายให้หมด(Global COE เป็นเจ้ามือเช่นเคย) หนนี้ก็เหมือนหนก่อนที่ไปฝรั่งเศส ไปคนเดียวแต่หอบของพะรุงพะรังอีกตามเคย แต่ครั้งนี้วางแผนมาอย่างดี ไปหาซื้อกระเป๋าเล็กอีกใบมาใส่ของรวมไว้จะได้ยกขึ้นเครื่องทีเดียว ไม่ต้องบ้าหอบฟางหิ้วกันหลายใบให้เกะกะเหมือนหนก่อน ได้เวลาไปแล้วก็ลากทั้งหมดมารอรถไฟที่ Keisei Ueno Station กันเลยค่ะ ไฟลท์นี้แต่เช้าตรู่สถานีรถไฟเลยคนโล่งเชียว#1ขั้นตอนที่นาริตะก็ไม่มีอะไร เราไปจากญี่ปุ่นปลายทางคือลอนดอน แต่กลับมานั่ง Korean air ที่ต้องไปอ้อม transit ที่เกาหลีซะงั้น สาเหตุก็ง่ายๆเพราะตั๋วนี้ราคาถูกที่สุด (มหาลัยจ่ายต้องเลือก Economy ที่ถูกสุด) และที่สำคัญเก็บไมล์กับ Sky team ได้ด้วย (ถ้า British airway ที่ถูกรองมามันเก็บไมล์กับอีกค่ายที่เราไม่มีบัตรค่ะ)#2ได้ตั๋วมาก็มัวแต่เดินเช็คราคาของใน duty free Narita ไม่ได้สังเกตอะไรเบอร์ตั๋วเลยค่ะว่าทำไมที่นั่งมันเบอร์หน้าๆขนาดนี้นะ มารู้ก็ตอนขึ้นเครื่องนี่ล่ะค่ะ เพราะได้เชิญขึ้นบันไดไปนั่งชั้นสองของเครื่องบิน ซึ่งถ้าไม่ใช่ Business ก็ First class แน่ๆ โชคดีจริงๆได้อัพคลาสไม่รู้ตัว (ไฟล์นี้แน่นมากๆ คนญี่ปุ่นบินไปเที่ยวเกาหลีกันเพียบ)#3ที่นั่งหรูไม่พอ ยังได้นั่งแถวที่อยู่ด้านหน้าพอดี ไม่มีคนอื่นเกะกะขวางทาง เอนนอนเหยียดยาวเหมือนนอนเตียงที่บ้านได้เลยค่ะ สบ๊ายสบาย ฟลุคอย่างนี้บ่อยๆก็ดีน่ะสินะ#4ถึงเวลาเสิร์ฟอาหาร มองทีแรกเห็นสีอย่างนี้ก็นึกว่าข้าวไก่ทอด แต่ปรากฏว่าเป็นข้าวหน้าปลาไหลย่างค่ะ สมกับเป็น Business (First?) class จริงๆได้กินของดีกะเค้าด้วย#5เสียดายว่าไฟลท์ไปเกาหลีนั้นนั่งสั้นๆเอง สองชั่วโมงครึ่งก็ถึง มีเวลาเดินเล่น Incheon airport นิดหน่อยก่อนไปต่อ แต่ขาไปยังไม่อยากซื้อของให้เกะกะนัก(กลัวเงินหมดด้วย)เลยไปเดินสำรวจราคา duty free ที่ Incheon airport อย่างเดียวซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดราคาของอย่างเดียวกันเป๊ะ(ยี่ห้อที่ไม่ใช่ของเกาหลีหรือญี่ปุ่น) ถ้าซื้อที่เกาหลีนี่จะราคาถูกกว่า duty free Narita ถึงหนึ่งหมื่นเยนเลยทีเดียวค่ะ อย่างงี้ล่ะน้าคนญี่ปุ่นถึงชอบมาเที่ยวเกาหลีกัน แค่มากิน มาช้อปนี่ก็คุ้มสุดๆแล้ว แถมค่าตั๋วเครื่องบินรวมโรงแรมเบ็ดเสร็จถูกกว่าเที่ยวในประเทศ(ญี่ปุ่น)ตั้งเยอะแน่ะค่ะ (สมัยเรามาเที่ยวเกาหลี เดินๆในโซลนี่นึกว่าอยู่ญี่ปุ่น เพราะเจอแต่คนญี่ปุ่นและภาษาญี่ปุ่น แถมเวลาก็ยังใช้เวลาโซนเดียวกับญี่ปุ่นอีกด้วย)ได้เวลาก็ไปต่อกันอีกไฟลท์ค่ะ คราวนี้นั่งยาววววเลย 12 ชั่วโมง ไม่มีลูกฟลุคได้อัพคลาสแต่ก็ยังโชคดีว่าได้นั่งติดหน้าต่างแถวสุดท้ายของล็อคพอดี ไม่มีคนมาเตะมาดันด้านหลังเก้าอี้ให้กวนใจ โชคอีกชั้นคือที่นั่งตรงกลางไม่มีคนนั่งเลยวางของ ยืดแข้งยืดขาได้สะดวกเลยค่ะนั่งๆนอนๆบิดไปบิดมา ดูหนังไปสองเรื่องกว่าจะถึงลอนดอน ไฟลท์นี้ได้กินข้าวบนเครื่องไปสองมื้อ มื้อแรกเลือกเป็นบิบิมบับ ชอบก็ตรงมีซุปร้อนๆให้ซดด้วยนี่ล่ะ#6อีกมื้อออกแนวฝรั่งจ๋าหน่อย แต่โดยรวมอาหารก็อร่อยดีนะคะ (ดีกว่าตอนนั่ง Air france ที่ได้กินเป็นครัวซองต์กับชีสแผ่นเย็นๆซะมาก)#7ถึงลอนดอนตอนเย็นๆวันเดียวกันกับที่ออกเดินทาง (ลอนดอนช้ากว่าญี่ปุ่น 9 ชั่วโมง) ตื่นเต้นอยู่เหมือนกันค่ะเพราะมาครั้งแรก หนึ่งในเมืองหลวงสำคัญของโลก แต่ออกมาเจอ Immigration ของ Heathrow airport Terminal 4 แล้วเนี่ย แบบว่าเหวอไปเหมือนกัน ทำไมสนามบินที่นี่มันเก่ากึ้ก ดูแคบๆ แถมโทรมได้ขนาดนี้นะ ขนาดพวกชอบถ่ายรูปดะอย่างเรายังไม่มีอารมณ์จะยกกล้องขึ้นถ่ายเลย เก่าของแท้จริงๆสนามบินที่นี่ เรียกว่า First impression นี่เป็นศูนย์เลย ยังนึกอยู่ว่าตั้งแต่ก่อสร้างมานี่เคยได้บูรณะซ่อมแซมกะเค้าบ้างไหมนะใช้เวลาอีกพอควรค่ะกว่าจะพ้นแถว Immigration สุดยาวอันเลื่องชื่อของลอนดอนมาได้ แต่ละคนนี่เห็นโดนซักแบบว่านานมากๆเข้มจริงๆนั่นล่ะค่ะ ดีว่าเรามีจดหมายเชิญ(ตัวจริง ส่งมาทาง air mail มีลายเซ็นพร้อม)จากทางงานที่ไปเลยผ่านมาได้ง่ายๆ นี่ขนาดว่าได้ลัดคิวเพราะความเป๋อส่วนตัวถึงสองครั้งยังว่านานเลยค่ะกว่าจะเสร็จตรงนี้ได้ (คือ เค้าเดินถามว่า Student? First time? เราก็ซื่อบื้อตอบว่า Yes ไปเพราะเราเป็นนักเรียนหนิ มาครั้งแรกด้วย ก็เลยได้ลัดคิวมาอีกแถวนึงของ Student ยืนๆรอไปนึกๆเอเค้าน่าจะหมายถึง Student visa หรือเปล่าแฮะ ลองถามอีกรอบปรากฏว่าใช่ด้วย แป่ว เค้าเลยให้เราลัดคิวตัดไปแถวของ Visitor visa ตรงนั้นแทน ไม่ได้ตั้งใจจริงๆค่า ขอโทษทุกๆคนที่โดนเราลัดคิวมาวันนั้นด้วย)ข้าวของพะรุงพะรังที่เอามา ต่อให้จัดแขวนอย่างดีแล้วก็เถอะค่ะ พ้นสนามบินไปคงแบกคนเดียวไม่ไหวแน่โดยเฉพาะตอนที่ต้องขึ้นลงบันไดสถานีรถไฟ โชคดีงานนี้เพื่อนซี้สมัยตรีเรียนอยู่นี่ ช่วยมารับกันถึงหน้า Arrival gate เลยค่ะ นานน๊านทีเราจะมีซีนอย่างนี้กะเค้าซะที ที่มีคนมาโบกมือรอรับที่หน้าประตูทางออก เห็นเพื่อนแล้วค่อยใจชื้นหน่อยค่ะ (ในภาพด้านล่างไม่ใช่เพื่อนเรานะคะ ใครก็ไม่รู้)#8คุณเพื่อนก็จัดการช่วยถือกระเป๋าไปหนึ่งใบ แล้วก็จัดแจงเดินนำทางไปขึ้น Tube เรียบร้อย ถ้าเรามาคนเดียวคงต้องให้เวลาเอ๋อๆ ขอมองหาป้ายหาทางไปก่อน ก็คนมาครั้งแรกหนิคะ#9ตั๋ว Oyster card คุณเพื่อนก็จัดการซื้อให้เรียบร้อย อันนี้เราไม่ได้หาข้อมูลมาเท่าไหร่ จนป่านนี้ก็ยังงงๆอยู่เลยว่ามันอะไรยังไงกัน ฟังเพื่อนคร่าวๆแล้ว Oyster card นี่ใช้เป็นได้ทั้ง One day pass เป็นโน่นนี่ จะคำนวนถูกสุดให้เอง บลาๆๆ สรุปว่ายุ่งนักเอาเป็นว่าเราก็เติมเงินใช้มันไปตามปกติละกัน อยู่ไม่กี่วันเองไม่ได้ไปเที่ยวไหนไกลด้วย#10พากันนั่งสาย Piccadilly Line จากสนามบินตรงไปเลยค่ะ (อุตส่าห์เลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้สายรถไฟนี้ เพื่อจะได้สะดวกๆเวลาไปกลับสนามบินนี่ล่ะ) จริงๆเรานั่งเครื่องมานานๆก็เหนื่อยๆเมื่อยๆอยู่นะคะ แต่เพื่อนไม่ได้เจอกันมาตั้งสามปีกว่า แน่นอนมันก็ต้องเม้าส์แตกกันอยู่แล้วค่ะ เลยเผลอๆแผล็บเดียวถึงสถานีที่จะลงแล้ว (จริงๆก็นั่งแค่ 40 นาทีเอง)#11โชคดีอีกครั้ง ว่าบ้านใหม่ของคุณเพื่อนอยู่ที่สถานีเดียวกันกับโรงแรมเราพอดีเลยค่ะ ที่ South Kensington Station ใกล้มหาลัยที่เค้าเรียนอยู่ งานนี้เราเลยมีเจ้าถิ่นนำทางค่ะ สบ๊ายสบาย แถมแถวนั้นมีร้านอาหารร้านสะดวกซื้ออะไรเพียบเลยไม่น่าอดตายน่ะงานนี้ (เสียดายว่าสถานีนี้ ก็ยังมีช่วงที่ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงบันไดเองบางช่วง หนนี้ไม่ยักโชคดีเจอสุภาพบุรุษมาอาสาช่วยยกกระเป๋าตอนขึ้นบันไดให้เหมือนตอนไปปารีสเลย ;)#12#13ผู้หญิงสองคนช่วยกันแบกลากของ(ของเราทั้งน้านนน)มากันจนถึงโรงแรมที่อยู่ไม่ห่างจากสถานีชื่อ The Regency ค่ะ ใน Expedia.com บอกว่าเป็นโรงแรมสี่ดาว อ่านคอมเมนต์แล้วส่วนใหญ่โอเคเลยเลือกค่ะ (มาคนเดียวไม่กล้าเสี่ยงเรื่องโรงแรมเท่าไหร่ กลัวอ่ะค่ะ แพงหน่อยแต่อุ่นใจดีกว่า)#14ห้องที่ได้อยู่ Ground floor (ชั้นหนึ่ง) ค่ะ ก็เล็กๆกะทัดรัดตามสไตล์โรงแรมยุโรป (แต่ก็ยังใหญ่กว่าโรงแรมที่ปารีสอยู่ดี) แต่ก็สะอาดมิดชิดดี เรียบร้อย อุปกรณ์ทุกอย่างก็ใช้ได้หมด ที่สำคัญมีล็อคให้ล็อคในห้องได้ด้วย อย่างนี้เราค่อยอุ่นใจหน่อยค่ะ (โรงแรมที่เคยพักที่ปารีส เปิดประตูมาก็แทบจะชนเตียงเลย ไม่มีล็อคอีกชั้นด้านในด้วย นอนๆอยู่กลัวจะมีใคร หรือแม่บ้านเปิดเข้ามาจริงๆค่ะ)#15แปลกดีก็ตรงโรงแรมที่นี่ มีเครื่องรีด(ทับ)ผ้าให้ในห้องด้วยค่ะ แต่ไม่ยักกะมีตู้เซฟหรือตู้เย็นเลย แต่โดยรวมแล้วก็ถูกใจนะคะดีกว่าโรงแรมที่ปารีส ทั้งที่ราคาถูกกว่า ทีวีก็มีให้ดูหนัง ดู BBC ได้อย่างน้อยเราก็(พอ)ฟังออก ห้องจะได้ไม่เงียบๆเหงาๆ#16จัดการเช็คอินเสร็จ (อย่าลืมเอาบัตรเครดิตที่ใช้จ่ายมาด้วยนะคะ ถึงค่าโรงแรมจะหักบัตรไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม เค้าก็ยังจะขอดูเพื่อเป็นการยืนยันค่ะ) ก็วางของในห้องแล้วเดินกลับออกไปกะคุณเพื่อนซะหน่อย ไปสำรวจทางนิดๆแล้วก็ไปหาซื้อน้ำมาไว้กินในห้องด้วยค่ะ ค่อยแยกกันที่สถานีจริงๆเวลาที่อังกฤษยังไม่ค่อยดึกเลยแต่เรายัง Jet lag อยู่ค่ะ เพลียๆบอกไม่ถูก เหมือนจะหิวแต่ไม่อยากกินอะไรทำนองนั้น ก็พอเข้าห้องเตรียมของอะไรๆแล้วก็นอนเลย ในโรงแรมนี่อุ๊นอุ่นค่ะ ข้างนอกก็อากาศไม่หนาวเหมือนที่คิดไว้เลย โค้ตไม่หนามากตัวเดียวก็อยู่แล้ว เริ่มต้นมาดูท่าว่าทริปนี้น่าจะไปได้ดีกว่าตอนไปฝรั่งเศสนะคะ (ตอนเข้าปารีสหนาวมากๆๆๆๆ) เท่านี้เป็นอันหมดวันแรกกับการเดินทางสู่ลอนดอนของเราค่ะ------------------------------------------------------------------ภาพทั้งหมดถ่ายจากสองกล้อง (ซึ่งภาพที่ได้แค่ดูก็รู้ว่าจากกล้องไหน) คือ iPhone 3GS และ Canon Kiss X3 (หอบเลนส์ไปตัวเดียวคือ EF-S 10-22 mm USM) ต้องขอขอบคุณพี่ใจดีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการที่กรุณาให้ยืมเลนส์มาลองใช้ด้วยค่ะ ^_^เครดิตภาพการ์ตูน Illustration จาก google------------------------------------------------------------------รวมลิงค์ทั้งหมด1. November 2009 @London: 1st day: Korean air ชั้น business class (first class?) มุ่งหน้าสู่ลอนดอน ;-)2. November 2009 @London: 2nd day: วันฟ้า(เกือบ)ใสที่ Big Ben และ London Eye / เป็ดย่างที่ Four Seasons3. November 2009 @London: 3rd day: กว่าจะได้วิวกลางคืนของ Tower bridge, Big Ben และ London Eye4. November 2009 @London: 4th day: กระทบไหล่คนดังที่ Madame Tussauds5. November 2009 @London: 4th day: เดินต่อไป British museum & National History museum (แอบเบื่อนะนี่)6. November 2009 @London: 5th-6th day: Shopaholic กำเริบที่ Harrods และ Incheon airport / ただいま東京
เห็นว่านั่งเฟริ์สคลาสหรอกนะ เลยกะจะเข้ามาแซวหน่อยนึง...(ตกลงมันเป็นบิสสิเนสคลาสนะคะ ในภาพของโคเรียนแอร์...สวยดีเนาะ เบาะน่านอน เฟริซคลาสจะอยู่หน้ากว่านี กว้างกว่านี้ด้วย พวกคอนโซลจะเป็นลายไม้...พูดเหมือนเคยเป็นคนกวาดเครื่องบินเลย รู้ดีไปหมด)
แค่บล็อคแรกก็น่าสนุกแล้วนะ
เดี๋ยวไล่อ่านรวดเดียวให้หมดเลยค่ะ