เพราะว่าต้นอชปาลนิโครธนี้
เป็นจุดที่มหาบุรุษรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาด้วย
จึงขอกล่าวถึงประวัติของมหาบุรุษ
โดยเท้าความตั้งแต่ที่มหาบุรุษเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นต้นมา
พระมหาบุรุษเมื่อทรงเลิกละทุกกรกิริยาแล้ว
ก็ทรงเริ่มเสวยพระอาหารข้น
บำรุงร่างกายให้กลับมีกำลังขึ้นได้เป็นปกติอย่างเดิมแล้ว
ก็ทรงเริ่มทำความเพียรทางจิตต่อไป
จนถึงราตรีวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เวลาบรรทมหลับ
ทรงพระสุบิน ๕ ประการ คือ
๑. ทรงพระสุบินว่า พระองค์ทรงผทมหงายเหนือพื้นปฐพี
พระเศียรหนุนเขาหิมพานต์เป็นพระเขนย
พระหัตถ์ซ้ายหยั่งลงในมหาสมุทรทิศตะวันออก
พระหัตถ์ขวาและพระบาททั้งคู่ก็หยั่งลงในมหาสมุทรทิศใต้
๒. ทรงพระสุบินว่า หญ้าแพรกเส้นหนึ่งรอกจากพระนาภี
สูงขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า
๓. ทรงพระสุบินว่า หมู่หนอนทั้งหลาย
สีขาวบ้าง ดำบ้าง เป็นอันมาก ไต่ขึ้นมาแต่พื้นพระบาททั้งคู่
ปกปิดลำพระชงฆ์หมด และไต่ขึ้นมาถึงพระชานุมณฑล
๔. ทรงพระสุบินว่า ฝูงนก ๔ จำพวก มีสีต่าง ๆ กัน
คือ สีเหลือง เขียว แดง ดำ บินมาแต่ทิศทั้ง ๔ ลงมาจับแท่นพระบาท
แล้วกลับกลายเป็นสีขาวไปสิ้น
๕. ทรงพระสุบินว่า เสด็จขึ้นไปเดินจงกลมบนยอดภูเขา
อันเต็มไปด้วยอาจม แต่อาจมนั้นมิได้ทรงเปื้อนพระยุคลบาท
ในพระสุบินทั้ง ๕ ข้อนั้น มีอธิบายว่า
ข้อ ๑. พระมหาบุรุษเจ้าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นผู้เลิศในโลกทั้ง ๓
ข้อ ๒. พระมหาบุรุษจะได้ทรงประกาศสัจธรรม
เผยมรรค ผล นิพพาน แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งมวล
ข้อ ๓. คฤหัสถ์ พราหมณ์ทั้งหลาย
จะเข้ามาสู่สำนักของพระองค์เป็นอันมาก
ข้อ ๔. ชาวโลกทั้งหลาย คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทย์
เมื่อมาสู่สำนักของพระองค์แล้ว
จะรู้ทั่วถึงธรรมอันบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสไปสิ้น
ข้อ ๕. ถึงแม้พระองค์จะพร้อมมูลด้วยสักการะอามิส
ที่ชาวโลกทุกทิศน้อมถวายด้วยความเลื่อมใส
ก็มิได้มีพระทัยข้องอยู่ให้เป็นมลทินแม้แต่น้อย
ครั้นพระมหาบุรุษตื่นบรรทมแล้ว
ก็ทรงดำริถึงข้อความในพระมหาสุบินทั้ง ๕
แล้วทำนายด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์เอง
ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่แท้
ครั้นได้ทรงทำสรีระกิจ สระสรงพระกายหมดจดแล้ว
ก็เสด็จมาประทับนั่ง ณ ที่ควงไม้นิโครธพฤกษ์
ในยามเช้าแห่งวันเพ็ญวิสาขะปุรณมี ดิถีกลางเดือน ๖ ปีระกา
ประจวบด้วยวันวาน เป็นวันที่นางสุชาดา
ธิดาของคฤหบดีผู้มั่งคั่งในตำบลนั้น
นางได้ตั้งปณิธานบูชาเทพารักษ์ไว้ว่า
ขอให้นางได้สามีที่มีตระกูลเสมอกัน
และขอให้ได้บุตรคนแรกเป็นชาย
ครั้นนางได้สามีและบุตรสมนึก
นางจึงคิดจะหุงข้าวมธุปายาสอันประณีตด้วยเครื่องปรุงทุกประการ
ไปบวงสรวงเทพารักษ์ที่ได้ไปบนบานไว้
ดังนั้นในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖
จึงสั่งให้บ่าวไพร่ตระเตรียมการทำข้าวปายาสเป็นการใหญ่
และกว่าจะสำเร็จเป็นข้าวปายาสได้ ก็ตกถึงเพลาเที่ยงคืน
แล้วนางสุชาดาจึงสั่งนางปุณณทาสี
หญิงคนใช้ที่สนิทให้ออกไปทำความสะอาด
แผ้วกวาดที่โคนต้นนิโครธพฤกษ์นั้น
เพื่อจะได้จัดเป็นที่ตั้งเครื่องสังเวยเทพารักษ์
ดังนั้น นางปุณณทาสี จึงได้ตื่นแต่เช้า
เดินทางไปยังต้นนิโครธพฤกษ์นั้น
เห็นพระมหาบุรุษทรงประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้นั้น
ผันพระพักตร์ทอดพระเนตรไปทางปราจีนทิศ (ตะวันออก)
มีรัศมีพระกายแผ่ซ่านออกไปเป็นปริมณฑล งามยิ่งนัก
นางก็นึกทึกทักตระหนักแน่ในจิตทันทีว่า
วันนี้ เทพยดาเจ้าลงจากต้นไทรงาม
นั่งคอยรับข้าวปายาสของสังเวยของเจ้าแม่ด้วยมือทีเดียว
นางก็ดีใจรีบกลับมายังเรือน บอกนางสุชาดาละล่ำละลักว่า
เทพารักษ์ที่เจ้าแม่มุ่งทำพลีกรรมสังเวยนั้น
บัดนี้ ได้มานั่งรอเจ้าแม่อยู่ที่ควงไม้ไทรแล้ว
ขอให้เจ้าแม่รีบไปเถอะ
นางสุชาดามีความปลาบปลื้มกล่าวว่า
ขอให้เจ้าเป็นลูกคนโตของแม่เถิด
แล้วจึงมอบเครื่องประดับแก่นางปุณณทาสี
และให้หยิบถาดทองมา ๒ ถาด
ถาดหนึ่งใส่ข้าวปายาสจนหมด มิได้เหลือเศษไว้เลย
ข้าวปายาสเต็มถาดพอดี แล้วให้ปิดด้วยถาดทองอีกถาดหนึ่ง
แล้วห่อหุ้มด้วยผ้าทองอันบริสุทธิ์
ครั้นนางสุชาดาแต่งกายงามด้วยอาภรณ์เสร็จแล้ว
ก็ยกถาดข้าวปายาสขึ้นทูลเหนือเศียรเกล้าของนาง
ลงจากเรือนพร้อมด้วยหญิงคนใช้เป็นบริวารติดตามมาเป็นอันมาก
ครั้นถึงต้นไทรเห็นพระมหาบุรุษงามด้วยรัศมีดังนั้น
ก็มีความโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดาโดยแท้
เดินยอบกายเข้าไปเฝ้าแต่ไกลด้วยคารวะ
ครั้นเข้าไปใกล้จึงน้อมถาดข้าวปายาสถวายด้วยความเคารพยิ่ง