พุทธประวัติที่เกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ในคืนวันวิสาขมาส
พระมหาบุรุษเสด็จขึ้นประทับรัตนบัลลังก์แก้ว
ขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ตรงไปยังปราจินทิศ
หันพระปฤษฎางค์ (หลัง) ไปทางลำต้นโพธิ์พฤกษ์
ก่อนที่จะเริ่มทำความเพียรโดยสมาธิจิต
ได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานในพระทัยว่า
ถ้าอาตมายังมิได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด
แม้พระโลหิตและพระมังสะจะเหือดแห้งไป
จะเหลือแต่พระตจะ(หนัง) พระนหาลุ(เอ็น) และพระอัฏฐิ (กระดูก)
ก็ตามที จะไม่เลิกละความเพียร โดยเสด็จลุกไปจากที่นี้
ครั้งนั้น เทพยดาทั้งหลายพากันชื่นชมโสมนัส
มีหัตถ์ทรงซึ่งเครื่องสักการะบูชาบุบผามาลัยมีประการต่าง ๆ
พากันมาสโมสรสันนิบาตห้อมล้อม
โห่ร้องซ้องสาธุการบูชาพระมหาบุรุษ
สุดที่จะประมาณ เต็มตลอดมงคลจักรวาฬนี้.
ขณะนั้น พญาวัสวดีมาราธิราช
ได้สดับเสียงเทพเจ้าบันลือเสียงสาธุการ
ก็ทราบชัดในพระทัยว่า พระมหาบุรุษจะตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ
ทำลายบ่วงมารที่เราวางขึงรึงรัดไว้ แล้วหลุดพ้นไปได้
ก็น้อยใจ คิดฤษยา เคียดแค้น ป่าวประกาศเรียกพลเสนามารมากกว่ามาก
พร้อมด้วยสรรพาวุธและสรรพวาหนะที่ร้ายแรงเหลือที่จะประมาณเต็มไปในท้องฟ้า
พญาวัสวดีขึ้นช้างพระที่นั่งคีรีเมขล์ นิรมิตมือพันมือ ถืออาวุธพร้อมสรรพ
นำกองทัพอันแสนร้าย เหาะมาทางนภาลัยประเทศ
เข้าล้อมเขตบัลลังก์ของพระมหาบุรุษเจ้าไว้อย่างแน่นหนา
ทันใดนั้นเอง บรรดาเทพเจ้าที่พากันมาห้อมล้อม
ถวายสักการะบูชาสาธุการพระมหาบุรุษอยู่
เมื่อได้เห็นพญามารยกพหลพลมารมาเป็นอันมาก
ต่างมีความตกใจกลัวอกสั่นขวัญหาย
พากันหนีไปยังขอบจักรวาฬ
ทิ้งพระมหาบุรุษเจ้าให้ต่อสู้พญามารแต่พระองค์เดียว
เมื่อพระมหาบุรุษไม่ทรงแลเห็นผู้ใด
ใครที่ไหนจะช่วยได้ ก็ทรงระลึกถึงบารมีธรรมทั้ง ๓๐ ประการ
ซึ่งเป็นดุจทหารที่แก่นกล้า มีศัตราวุธครบครัน
สามารถผจญกับหมู่มาร ขับไล่ให้ปราชัยหนีไปให้สิ้นเชิงได้
และพร้อมกันมารับอาสาอยู่พร้อมมูลเช่นนั้น
ก็ทรงโสมนัส ประทับนิ่งอยู่ โดยมิได้สะทกสะท้านแต่ประการใด
ฝ่ายพญามารวัสวดีเห็นพระมหาบุรุษประทับนั่งนิ่ง
มิได้หวั่นไหวแต่ประการใดก็พิโรธร้องประกาศก้อง
ให้เสนามารรุกเข้าทำอันตรายหลายประการจนหมดฤทธิ์
บรรดาสรรพาวุธศัตรายาพิษที่พุ่งซัดไป
ก็กลับกลายเป็นบุบผามาลัยบูชาพระมหาบุรุษจนสิ้น
ครั้งนั้นพญามารตรัสแก่พระมหาบุรุษด้วยสันดานพาลว่า
ดูกรสิทธัตถะ บัลลังก์แก้วนี้ เกิดเพื่อบุญเรา เป็นของสำหรับเรา
ท่านเป็นคนไม่มีบุญ ไม่สมควรจะนั่ง จงลุกไปเสียโดยเร็ว "
พระมหาบุรุษหน่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ก็ตรัสตอบว่า
"ดูกรพญามาร บัลลังก์แก้วนี้ เกิดขึ้นด้วยบุญของอาตมา
ที่ได้บำเพ็ญมาแต่อสังไขยยกัปป์ จะนับจะประมาณมิได้
ดังนั้น อาตมาผู้เดียวเท่านั้น สมควรจะนั่ง ผู้อื่นไม่สมควรเลย"
พญามารก็คัดค้านว่า ที่พระมหาบุรุษรับสั่งมานั้น
ไม่เป็นความจริง ให้พระองค์หาพยานมายืนยันว่า
พระองค์ได้บำเพ็ญกุศลมาจริง ให้ประจักษ์เป็นสักขีพยานในที่นี้
เมื่อพระมหาบุรุษไม่เห็นผู้อื่นใด
ใครจะกล้ามาเป็นพยานยืนยันในที่นี้ได้
จึงตรัสเรียกนางวสุนธรา เจ้าแห่งธรณีว่า
"ดูกร วสุนธรา นางจงมาเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศล
ของอาตมาในกาลบัดนี้ด้วยเถิด"