"ข้าพเจ้าอ่าน..ราวกับกลัวว่า ความกระหายในการอ่าน จะเหือดหายไปในวินาทีข้างหน้า"
Group Blog
 
All Blogs
 

หนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success

หนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success


เคยเห็นใช่ไหมครับทั่น? คนที่สามารถตัดตะเกียบด้วยกระดาษทิชชู่ หรืองอช้อนได้ อันนี้ยังเด็กๆ เขาว่ากันว่า พวกที่พลังจิตแก่กล้าสามารถย่นระทาง หายตัว และทำให้คงกระพันได้ด้วย?! คนเหล่านี้เขาทำได้อย่างไร หนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success จะเปิดเผยให้ท่านทราบ ณ บัดนี้แล้ว แต่ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า


ศาสตร์แห่งพลังจิตคืออะไร? ศาสตร์แห่งพลังจิตก็คือ ศาสตร์แห่งธรรมชาติที่มีค้นพบกันมานานนมแล้วครับ  เป็นการเรียนรู้ฝึกจิตขึ้นโดยบังเอิญ ยุคต่อๆ มาได้มีการคิดค้นศึกษา ถ่ายทอด และพัฒนากันอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง

พลังงานแห่งจิต เป็นเรื่องของ จิตวิทยา (Psychology) สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เรียกว่า วิทยาศาสตร์ทางจิต (Mind Science) ซึ่งพลังจิตนี้สามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น จิตที่สงบนิ่งมีสมาธิสามารถแปลงสสารให้เปลี่ยนเป็นพลังงานได้ จิตที่สงบมีสมาธิสามารถส่งกระแสคลื่นพลังงานแห่งจิตไปสู่บุคคลที่สอง และบุคคลที่สามได้ 


มีเรื่องเล่าว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศรัสเซียเคยทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องพลังจิตอย่างจริงจัง และนำมาใช้ประโยชน์ในทางทหาร โดยเฉพาะการสอบเค้นความจริงจากพวกสายลับ และเชลยศึกที่จับได้ด้วยการสั่งจิต และ ประเทศอังกฤษ เป็นประเทศแรกในโลกที่มีการเปิดโรงเรียนสอนศาสตร์แห่งพลังจิตอย่างเป็นทางการ ต่อมาสหรัฐอเมริกาก็ได้เปิดสถาบันสอนวิชาการสั่งจิตและการสั่งจิตบำบัดโรคอย่างเป็นทางการเช่นกัน


แล้วการสั่งจิตคืออะไร? ง่ายๆ ครับท่าน การสั่งจิต ก็คือ การทำให้จิตสำนึกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากระบบการทำงานตามปกติ ปรับสภาวะจิตจากความว้าวุ่น สับสน ไปสู่สภาวะที่นิ่งสงบ ผ่อนคลาย ในขณะที่จิตสำนึกกำลังนิ่งสงบอยู่นั้น จิตใต้สำนึกก็จะทำหน้าที่แทนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งการสั่งจิตนี้จะเป็นการเปิดระบบของการรับรู้จดจำได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และพร้อมปฏิบัติตามสิ่งเร้าที่มากระทบ ตามปกติแล้ว จิตสำนึก (Conscious Mind) และ จิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) มีการทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างอิสระ จำสำนึกคือจิตที่อยู่ในสภาวะแห่งการรับรู้ตามปกติในขณะตื่นตัว จิตสำนึกจะหยุดหน้าที่เราพักผ่อนนอนหลับ


ส่วนจิตใต้สำนึก เป็นสภาวะจิตแห่งสัญชาตญาณ (Instinct) ที่มีความสงบ ผ่อนคลาย โดยจะมีการทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลาและสม่ำเสมอ ไม่มีการหยุดพัก แม้ในยามที่เราหลับ จิตใต้สำนึกจะเป็นผู้จัดเก็บระบบข้อมูล ความรู้ เรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดที่เข้ามากระทบกับชีวิตเพื่อนำไปเก็บไว้ยังคลังสมองของเรา ไม่ว่าจะเป็นความคิด (Thoughts) คำพูด (Words) และการกระทำ (Deeds) ทั้งของเราและของผู้อื่น


เหตุใดจึงต้องฝึกฝนพลังจิต? เมื่อเรารู้ว่าจิตใต้สำนึกเป็นแหล่งเก็บข้อมูลที่สำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเรา จึงต้องเริ่มที่จะฝึกตนให้เป็นคนคิดบวก คิดดี คิดสร้างสรรค์ โดยให้ความคิดที่ดีๆ คำพูดที่ดีๆ และการกระทำที่ดีๆ ของเรา ถูกฝังไว้ในจิตใต้สำนึก ซึ่งถือว่าเป็นคลังสมองแหล่งเก็บความจำที่สำคัญต่อชีวิตของเราด้วย แล้วความคิด คำพูด และพฤติกรรมที่ดีของเราก็จะเคลื่อนไปสู่ผู้อื่น ผู้อื่นก็จะสัมผัสได้ถึงความดีที่เรากระทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ชีวิตของเราก็จะมีความสุข และมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า เข้าทำนอง คิดดี ทำดี ได้ดี นั่นแล


การฝึกฝนพลังจิตก่อให้เกิดผลดีอย่างไรบ้าง? มากมายทีเดียวครับทั่น มีการฝึกฝนสั่งจิตเพื่อบำบัดรักษาโรค การสั่งจิตแก้ปัญหาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำสมาธิเพื่อพลังอำนาจจิต การใช้พลังอำนาจจิตให้ร่างกายและผิวพรรณแลดูอ่อนกว่าวัย และอีกสารพัด


หนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success เล่มนี้ จะชี้ให้คุณเห็นกระบวนการทางจิตอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีระบบ แบบแผน เป็นขั้นเป็นตอน ทุกเรื่องสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุและผล เริ่มตั้งแต่ชี้เราให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก วิธีการดึงเอาพลังจิตในตัวออกมาใช้ วิธีการฝึกจิตในรูปแบบต่างๆ เช่น การสั่งจิตเพื่อการผ่อนคลาย หรือแม้กระทั่งการสั่งจิตเพื่อลดน้ำหนัก!


ผู้เขียน ดร.บุญเลิศ สายสนิท เขียนให้อ่านเข้าใจง่าย เห็นภาพ และฝึกปฏิบัติตามได้ไม่ยาก และเมื่อได้ลองปฏิบัติตามแล้วก็เห็นว่าได้ผลจริง โดยเฉพาะการฝึกจิตเพื่อลดความเครียด ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลายได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นวิธีฝึกฝนจิตที่นำมาปฏิบัติต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ 


เห็นว่าหนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย หากได้รู้เคล็ดลับดึงเอาพลังงานอันมหัศจรรย์ภายในตัวเราออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และฝึกปฏิบัติต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันทุกวัน จนสามารถควบคุมพลังอำนาจจิตของตนได้แล้ว ท่านก็จะสามารถบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามใจได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ว่าใครก็สามารถฝึกปฏิบัติได้โดยถ้วนทั่วกัน



หนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success


ชื่อหนังสือ : เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind                         Power For Success 
ชื่อผู้แต่ง    : ดร.บุญเลิศ สายสนิท
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์มายเบสท์บุ๊คส์
พิมพ์ล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 1 มกราคม 2555




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2555 11:31:29 น.
Counter : 3813 Pageviews.  

หนังสือ อภิปรัชญาที่ควรค่าแก่การอ่าน "ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom) - ลีโอ ตอลสตอย

book-ปฏิทินปัญญา A Calendar of Wisdom



พ.ศ. 2460 เกิดปฏิวัติรัสเซีย ล้มล้างระบอบจักรวรรดิเป็นการปกครองโดยคอมมิวนิสต์ "ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom) ของตอลสตอยตกเป็น "หนังสือต้องห้าม" ด้วยเนื้อหาพาดพิงคำสอนทางศาสนาและจิตวิญญาณ

กระทั่งรัสเซียเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกครั้ง "ปฏิทินปัญญา"  (A Calendar of Wisdom) ก็ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นใหม่เมื่อปี 2538 และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกในอีก 2 ปีต่อมา 

ก่อนเสียชีวิต 5 ปี ตอลสตอยวางหนังสือ "ปฏิทินปัญญา"  (A Calendar of Wisdom) เล่มนี้บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขาตลอดเวลา เป็นหนังสือเล่มโปรดที่เขาพลิกอ่านเป็นประจำตลอดเวลาที่เหลือของชีวิต 

ลีโอ ตอลสตอย หรือชื่อเต็มว่า เคานต์ เลฟ นีคาลาเยวิช ตัลสตอย เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1828 ในตระกูลขุนนางแห่งยาสนายา โพลียานาเมืองตูลา ประเทศรัสเซีย เรียกว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ แลฐานะทางสังคมที่ดี แต่ทว่าเขากลับเรียนไม่จบระดับมหาวิทยาลัย ด้วยขออาสาไปรับใช้ชาติเสียก่อน จากนั้นก็ท่องไปทั่วยุโรป และกลับมาเปิดโรงเรียนสอนลูกหลานชาวนาที่บ้านเกิด


ชีวิตส่วนตัวแต่งงานกับ โซพี อันเดรเยฟนา เบอร์ส ในปี 1862 มีลูก 13 คน ภายหลังแหล่งพำนักของเขา กลายเป็นศูนย์กลางของนักแสวงบุญจากทุกมุมโลก งานเขียนช่วงนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวพันกับเรื่องของจิตใจ ศาสนา การดำรงชีวิต ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาขยายไปทั่วยุโรป ศาสนจักรเริ่มหวั่นเกรงต่อลัทธิแนวความเชื่อของตอลสตอย ทำให้มีคำสั่งห้ามตีพิมพ์ข้อเขียนของเขา และจับกุมผู้ที่มีข้อเขียนของเขาในครอบครอง แต่ก็ไม่อาจยับยั้งแนวคิดการค้นหา “สัจจะ” ของตอลสตอยได้ จนกระทั่งปี 1901 ศาสนจักรได้ประกาศขับไล่เขาออกจากศาสนา


ตลอดชีวิตของเขามีช่วงเวลาที่เป็นที่สุดของทั้งความสุข และความทุกข์ ได้พบเจอความเป็นไปของโลกที่ร่ำรวย ฟุ้งเฟ้อ และยากจน เคียดแค้น การแก่งแย่ง กดขี่ การเป็นนักคิดของเขาเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายแห่งการมีชีวิตอยู่ รวมทั้งแนวทางในการศึกษาค้นคว้าทางด้านอภิปรัชญาชาและศาสนา เขาประกาศสละยศบรรดาศักดิ์เป็นสามัญชน และอุทิศงานเขียนช่วงหลังปี 1880 ให้เป็นสมบัติกับประชาชน มีผลงานที่เป็นที่รู้จักกันดีเช่น สงครามและสันติภาพ และ Anna Karenina

ลีโอ ตอลสตอย ใช้เวลาในช่วงบั้นปลายชีวิตเกือบ 15 ปี ทุ่มเทในการเขียนและปรับปรุงหนังสือ "ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom) หนังสือรวบรวมปรัชญาชีวิตจากนักคิด นักเขียนสาขาอาชีพต่างๆ นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกในรอบนับพันปีตลอดจนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และสุภาษิตจากทั่วโลก อาทิ พระคริสตธรรมคัมภีร์, คัมภีร์อุปนิษัท, คัมภีร์ปุราณะของอินเดีย, คัมภีร์อัลกุรอาน, คัมภีร์ทาลมุดของยิว จนถึงคำสอนของพระศาสดาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธ เจ้า, พระมุฮัมมัด, พระเยซู, ขงจื๊อ, เล่าจื๊อ, โซโรอัสเตอร์, ซูฟี เป็นต้น

"ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom) ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2447 หลังจากนั้นตอล สตอยปรับปรุงใหม่อีก 3 ครั้ง (ระหว่างปี 2447-2453) นอกจากเพิ่มเติมเนื้อหา ยังจัดหมวดหมู่ความคิดให้เข้ากัน อาทิ พระเจ้า, สติปัญญา, บทบัญ ญัติ, ความรัก, ธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์, ศรัทธา, สิ่งล่อใจ, คำพูด, การเสียสละ, ความเป็น นิรันดร์, ความดีงาม, ความเมตตา, ความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้คน (กับพระเจ้า), การอธิษฐาน, อิสรภาพ, ความดีพร้อม, การทำงาน ฯลฯ 

"ข้าพเจ้าหวังว่าผู้อ่านหนังสือเล่มนี้จะได้รับประโยชน์ และช่วยยกระดับความรู้สึกนึกคิด เช่นเดียวกับที่ได้เกิดกับตัวข้าพเจ้าเองครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่าขณะที่กำลังเขียน หรือเมื่อได้อ่านซ้ำๆ อยู่ทุกวัน"


ลีโอ ตอลสตอย เขียนถึงผลงาน "ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom)  ของเขาไว้เช่นนั้น

ท้ายที่สุด ลีโอ ตอลสตอย จบชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยวเยี่ยงคนจรหมอนหมิ่น ด้วยโรคหวัดท่ามกลางความหนาวเหน็บ ณ สถานีรถไฟเล็ก ๆ ปิดฉากนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และทรงอิทธิผลต่อชาวรัสเซียและยุโรปผู้นี้


book-ปฏิทินปัญญา A Calendar of Wisdom


ชื่อผู้แต่ง : ลีโอ ตอลสตอย
ชื่อผุ้แปล : มนตรี ภู่มี
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
พิมพ์ครั้งล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 1 มกราคม 2555




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2555 13:15:04 น.
Counter : 2145 Pageviews.  

กระแส The Hunger Games เกมล่าชีวิต -Suzanne Collins ร้อนเร่าเหลือหลาย จึงต้องขอพูดถึงสักหน่อยแล้ว

The Hunger Games เกมล่าชีวิต

กระแสหนังสือ The Hunger Games ของซูซาน คอลลินส์ ร้อนเร่าเหลือเกิน ใครๆ ก็พูดถึง ยิ่งเมื่อถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์ นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรงจากฮอลลีวู้ด ร่วมด้วย จอช ฮัทเชอร์สัน จาก Journey 3D, The Kids Are All Right และ เลียม เฮมส์เวิร์ธ ด้วยแล้ว กระแสของ The Hunger Games ก็ยิ่งถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง 


อาจกล่าวได้ว่าใครที่เคยอ่าน The Hunger Games เกมล่าชีวิต ก็อยากจะดูภาพยนตร์เรื่องนี้ หรือใครที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องไปสรรหาหนังสือ The Hunger Games เกมล่าชีวิต มาอ่าน ส่วนตัวแล้วไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน ที่ตัดสินใจซื้อเพราะพล็อตเรื่องน่าสนใจ คลับคล้ายคลับคลากับภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่เคยดูเมื่อนานมาแล้วชื่อเรื่อง เกมนรก โรงเรียนพันธุ์โหด ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่องดัง Battle Royale ของ โคชุน ทาคามิ แม้โครงเรื่องของ The Hunger Games เกมล่าชีวิต ออกจะคล้ายกับนวนิยาย Battle Royale ของโคชุน ทาคามิ แต่ทว่า ซูซาน คอลลินส์ ให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่เคยได้ยิน เกี่ยวกับหนังสือ และคนเขียน Battle Royale มาก่อน 


เธอกล่าวว่า ไอเดียในการเขียน The Hunger Games เกมล่าชีวิต ของเธอ มาจากวันหนึ่งที่เธอดูข่าวสงครามอิรัก ตัดสลับกับรายการเรียลลิตี้โชว์ จึงเกิดประกายความคิดขึ้นมา ในที่สุดก็ตกผลึกมาเป็นหนังสือ The Hunger Games ฉบับภาษาอังกฤษ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Scholastic สำนักพิมพ์เดียวกับ หนังสือ Harry Potter สำหรับ The Hunger Games เกมล่าชีวิต ฉบับภาษาไทย จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊ก ตีพิมพ์ครั้งล่าสุด ครั้งที่ 2 (ปรับปรุงใหม่) พฤษภาคม 2555 แปลโดย นรา สุภัคโรจน์ ซึ่งเป็นฉบับเดียวกับที่มีอยู่ในมือ 


เนื่องจากไม่เคยดูภาพยนตร์ The Hunger Games มาก่้อนก็ปรากฎข้อดีว่าจินตนาการที่มีต่อตัวละคร และบทบรรยายในเรื่องจึงไม่ถูกครอบงำ เมื่อได้อ่าน The Hunger Games เกมล่าชีวิต จึงวาดลวดลายจินตนาการได้อย่างเต็มที่ 


เนื้อเรื่อง The Hunger Games เกมล่าชีวิต เล่าจากมุมมองของเด็กสาวอายุ 16 ตัวละครเอกในเรื่อง แคตนิส เอเวอร์ดีน เธออาศัยอยู่ในเขต 12 ซึ่งเป็นเขตหนึ่งจากทั้งหมด 12 เขต ที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของ "แคปิตอล" แคปปิตอลกำหนดให้มีเกมส์การแข่งขัน "ล่าชีวิต" เป็นประจำทุกปี โดยกำหนดให้ทั้ง 12 เขตจะต้องส่งเด็กผู้หญิงหนึ่งและเด็กผู้ชายหนึ่ง เข้าร่วม Hunger Games แล้วชื่อของ พริม น้องสาวของแคตนิส เอเวอร์ดีน ก็ถูกจับขึ้นมา ต้องเป็นตัวแทนไปแข่ง Hunger Games ครั้งนี้ แคตนิส ผู้รักน้องสาวยิ่งกว่าชีวิต ยอมไม่ได้ที่จะให้น้องสาวไปตาย จึงอาสาสมัครเข้าร่วมการแข่งขันเกมล่าชีวิตนี้แทนน้องสาว ร่วมด้วยตัวแทนเด็กผู้ชายจากเขต 12 พีตาร์ หนุ่มผู้เคยช่วยชีวิตแคตนิสเมื่อวัยเด็ก ด้วยการให้ขนมปังแก่เธอ ยามที่เธอหิวโหยเจียนตาย  


ทั้ง แคตนิส และพีตาร์ ออกเดินทางจากเขต 12 มุ่งสู่แคปปิตอล เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน Hunger Games เกมล่าชีวิต เกมที่มีกฎกติการง่ายๆ แต่สุดบีบคั้นหัวใจ คือ ใครที่แข็งแกร่งอยู่รอดเป็นคนสุดท้าย คือผู้ชนะ นั่นหมายถึง เด็กทุกคนจะต้องเข่นฆ่ากันเองเพื่อเอาชีวิตรอด แม้ว่าจะไม่อยากฆ่าใคร แต่ก็จำต้องสวมบทเป็น "นักฆ่า" เพราะถูกบีบคั้นจากผู้ร่วมแข่งขัน และในบางขณะก็จากแคปปิตอล ที่สร้างสถานการณ์ต่างๆ นานาให้จำ "ต้องฆ่า" ไม่มีใครสามารถออกจากเกมได้นอกจากความตาย 


ด้วยลักษณะการดำเนินเรื่องราวจากการบอกเล่าของ แคตนิส เอเวอร์ดีน ทำให้การอ่านรู้สึกเนือยๆ ไปบ้างในช่วงแรก เพราะเหมือนกับมีมิติเดียว ด้วยโครงเรื่องที่สนุกในตัวอยู่แล้ว หากเปลี่ยนวิธีการเล่าเป็นแบบอื่น น่าจะทำให้เนื้อเรื่องมีความสลับซับซ้อน ชวนติดตาม และมีหลากมิติมากขึ้น สิ่งที่รู้สึกได้จึงเหมือนกับจะถึงจุดสุดๆ ของความสนุกแต่ก็ไม่สุด เรื่องเพิ่งจะมาทวีความเข้มข้นชวนอ่าน ก็ตอนที่ แคตนิส และพีตาร์ เดินทางเข้าสู่แคปปิตอลเพื่อเตรียมลงแข่งเกมล่าชีวิตแล้ว 


อ่านถึงตอนนี้แล้ววางไม่ลง ชอบบทบรรยายทักษะการเอาตัวรอดของเด็กหนุ่มสาวในเรื่อง แต่ละตัวละคร มีจุดเด่นทักษะแตกต่างกันไป ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร จึงทำให้เรื่องน่าตื่นเต้น คอยลุ้นว่าใครจะเป็น "รายต่อไป" ที่ถูกฆ่า พร้อมๆ กับลุ้นเอาใจช่วย แคตนิส และพีตาร์ ตัวละครเอกจากเขต 12 ให้เป็นผู้ชนะ  แต่ทว่าอย่างไรเสีย กฎกติกาของ Hunger Games ก็จำต้องให้มีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว จะเป็นแคตนิส หรือพีตาร์ ที่จะอยู่ ต่างก็บีบคั้นหัวใจทั้งคู่ และท่านจะได้เห็นความชาญฉลาดของผู้เขียนที่หาทางออกให้เรื่องนี้ได้จากในเล่ม สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร และภาคต่อจะเป็นอย่างไร ต้องลองหามาอ่านเอาครับทั่น และขณะนี้ภาคต่อของ The Hunger Games เกมล่าชีวิต ก็ออกมาแล้ว ชื่อ ปีกแห่งไฟ Catching Fire ใครติดใจจากภาคแรกก็หาซื้ออ่านกันได้แล้ว


 The Hunger Games เกมล่าชีวิต

ชื่อหนังสือ : The Hunger Games เกมล่าชีวิต
ชื่อผู้เขียน  : ซูซานน์ คอลลินซ์ (Suzanne Collins) 
ชื่อผู้แปล   : นรา สุภัคโรจน์ 
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊ก 
พิมพ์ครั้งล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 2 (ปรับปรุงใหม่) พฤษภาคม 2555




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2555 17:17:03 น.
Counter : 1956 Pageviews.  

เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About Running

book-เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About Running


หลังจากที่อ่านงานของ HARUKI MURAKAMI จบไปประมาณ 5 เล่ม ก็เกิดความกระหายอยากอ่านงานของเขาอีก ไม่ใช่กระหายแบบบ้าคลั่ง แต่เป็นความกระหายอยากรู้ว่า เขาจะเขียนถึงอะไรอีกคราวนี้

พอเห็นหนังสือ เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About Running ในร้านหนังสือ ก็เลยซื้อแบบไม่ต้องคิดมาก กลับมาบ้าน เปิดอ่าน เพิ่งจะรู้ว่า เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง เล่มนี้ ไม่มีตัวละคร ไม่มีบุหรี่ควันคลุ้ง ไม่มีกาแฟ ไม่มีเรื่องพิลึกพิลั่น มีแต่มูราคามิและก้าววิ่ง ก็ชวนแปลกใจให้อ่านต่อไป


หนังสือ เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About Running เป็นชื่อหนังสือที่ HARUKI MURAKAMI ได้จากชื่อชุดรวมเรื่องสั้นของนักเขียนที่เขาหลงรัก  เรย์มอนด์ คาร์เวอร์ ชื่อนั้นคือ What We Talk About When We Talk About Running


สารภาพเลยว่า หลายครั้งที่อ่าน เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง แล้วหลับคอพับไปพร้อมหนังสือเล่มนี้ เพราะเรื่องเรียบเรื่อยสุดสามัญ แต่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คือการค่อยๆ ซึมซับ อะไรบางอย่าง บางอย่างที่เขาบอกเล่าและเขียนถึง


เราได้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของก้าววิ่ง การฝึกฝน ความพยายามมุมานะ การเอาชนะตนเอง และบางครั้งเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการวิ่ง ถึงกับขยาดเกือบถอดใจ แต่เหมือนกับตุ๊กตาล้มลุก ชกอย่างไรก็ไม่ล้ม มูราคามิ ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ทุกครั้ง 


"....แม้จะแก่ชรากว่านี้ ร่างอ่อนแอปวกเปียก ในยามที่ผู้คนรอบข้างเตือนผมให้โยนผ้ายอมแพ้ได้แล้ว ผมไม่แคร์ ตราบเท่าที่ร่างกายยังเคลื่อนที่ได้ ผมจะวิ่งต่อไป แม้ว่าเวลาในการวิ่งจะเลวร้ายหนักไปกว่านี้ ผมจะทุ่มเทให้มากขึ้น...อาจจะมากยิ่งขึ้น...เพียงแค่จะวิ่งให้เต็มระยะทาง ผมไม่แคร์ว่าใครจะพูดว่าอย่างไร...นี่คอธรรมชาติของผม..."


บทตอนนี้จาก หนังสือ เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About Running สะท้อนความเป็นตัวตนของมูราคามิได้ดี ตัวตนที่ดื้อรั้น แต่ความดื้อรั้นของเขาไม่ได้ทำความระคายเคืองให้ใครเป็นเพียงแต่ความดื้อรั้นที่จะต่อสู้กับจิตใจและร่างกายของเขาเท่านั้น และความดื้อรั้นนี้อาจกล่าวได้ว่า เป็นการไม่ยอมแพ้ ย่อท้อ ต่ออะไรง่ายๆ กล่าวให้ชัดลงไปอีก คือ ความมีวินัยระดับเข้มข้น


ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ดีเท่าเขา บางคนออกนอกเส้นทางเพียงเพราะว่าเบื่อหน่ายท้อแท้ มาถึงหนทางสุดท้ายของความตั้งใจล้มเลิกไปก็มาก แต่มูราคามิเอาชนะมันได้ ด้วยการมองโลกด้วยในแง่ดี เท่าที่เขาพึงจะทำได้


แม้ว่าเขาลงแข่งขันนับครั้งไม่ถ้วน และไม่เคยได้รับรางวัลที่ประกาศถึงความสำเร็จ แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นวิ่งต่อไปเพราะรางวัลและการแข่งขันกับคนอื่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา แต่เป้าหมายของเขาคือการแข่งขันกับตนเอง หนังสือ เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About Running ของ HARUKI MURAKAMI เล่มนี้ ได้ย้ำเตือนให้เราตระหนักว่า ชัยชนะที่แท้จริงคือการเอาชนะตนเองให้ได้ต่างหาก


อ่านจบแล้วรู้สึกสุขใจ มีกำลังใจยิ่ง แม้จะไม่ได้อยากลุกขึ้นมาวิ่งในทันทีทันใด แต่ก็บังเกิดความฮึกเหิมอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก อะไรต่างๆ ที่ทำอยู่ที่ไม่รื่นรมย์ ก็เกิดความมุ่งมั่นที่จะทำต่อไป HARUKU MURAKAMI เปรียบเปรยไว้ในหนังสือ หนังสือ เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About Running ว่า "ความทุกข์หรืออุปสรรคก็เหมือนกระเป๋าเดินทางใบเก่าๆ แบกไปนานวันเข้า เราก็จะคุ้นชินในสักวัน" เมื่อใดที่เอาชนะตนเองได้เราคงจะรับรู้ความรู้สึกชื่นใจได้อย่างเขาเช่นกัน

book-เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About Running

ชื่อหนังสือ : เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง What I Talk About When I Talk About      
                    Running 
ชื่อผู้แต่ง    : HARUKI MURAKAMI
ชื่อผู้แปล   : นพดล เวชสวัสดิ์
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์กำมะหยี่
พิมพ์ล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 2 เมษายน 2555




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 10 กรกฎาคม 2555 18:16:19 น.
Counter : 3592 Pageviews.  

หนังสือ เกิดมาเป็นลูกคนกลาง The Third Son

เกิดมาเป็นลูกคนกลาง The Third Son
"ผมเคยสงสัยว่าผมต่างกับพวกเขาตรงไหน 
แม้ผมจะไม่เคยอยากเป็นเหมือนพวกเขาเลยก็ตาม"



หลังจากที่จีนพ่ายแพ้แก่ญี่ปุ่นในสงครามเจี๋ยอู่ ทำให้จีนต้องลงนามในสนธิสัญญาหม่ากวน เพื่อยกเกาะไต้หวันและหมู่เกาะเผิงหูให้แก่ญี่ปุน ไต้หวันจึงตกอยู่ในอาณานิคมของญี่ปุ่นอยู่นานถึง 50 ปี ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองไต้หวัน และตั้งศาลาว่าการที่เมืองไทเป พร้อมผลักดันให้เกาะไต้หวันเป็นฐานผลิตทางการเกษตร ไต้ไหวันได้รับการพัฒนาอย่างมากทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตและการคมนาคม

ทางด้านการศึกษาญี่ปุ่นก็บังคับให้เด็กๆ ต้องเรียนอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่น เด็กๆ ทุกคนมีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น กัวจ้าวหลิน ตัวละครเอกจากหนังสือ เกิดมาเป็นลูกคนกลาง The Third Son เกิดและเติบโตมาในยุคสมัยนั้น

กัวจ้าวหลิน หรือชื่อญี่ปุ่นว่า มิจิ เขามีพี่น้องหกคน ตัวเขาเป็นลูกคนกลาง เขามักโดนเปรียบเทียบกับคาซูโอะ พี่ชายคนโตอยู่เสมอ คาซูโอะลูกรักของพ่อทั้งคู่มีส่วนคล้ายกัน คือ สุขุม รอบคอบ และฉลาด ส่วนตัวกัวจ้าวหลินก็เหมือนเด็กซุกซนเที่ยวเล่นไปวันๆ 

วันหนึ่งขณะที่เล่นอยู่เขาถูกงูกัด เขาไปให้ โตกุ ญาติผู้เป็นแพทย์รักษา โตกุได้มอบหนังสือ "โลก" ให้แก่ กัวจ้าวหลิน หนังสือเล่มนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจในด้านการศึกษาของเขา


เขาสอบเข้าโรงเรียนระดับมัธยมปลายเฉินกั๋ว โรงเรียงที่เยี่ยมที่สุดของเกาะไต้หวันได้ สร้างความประหลาดใจและเอิกเกริก มีการประกาศลงในหนังสือพิมพ์และวิทยุ เพราเขาเป็นนักเรียนคนแรกของเถาหยวนที่สอบได้ แต่แล้วกลับถูกไล่ออกเพราะไปเขียนผนังล้อเลียนคุณครู สร้างความไม่พอใจให้แก่พ่อของเขาเป็นอย่างมาก

กัวจ้าวหลิน ต้องระเห็ดไปเรียนอาชีวะ ส่วนพี่ชายคนโต คาซูโอะ สอบเข้าแพทย์ได้ ยิ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบ เขาเก็บกดความน้อยใจที่พ่อแม่เย็นชาต่อเขาตลอดมา ทว่าเขากลับใช้มันเป็นแรงผลักดัน เขาตั้งมั่นว่าเขาจะ "เอาดีให้ได้" ระหว่างที่เขาถูกเกณฑ์ทหารเขาจึงศึกษาตำราทั้ง เคมี ฟิสิกส์ วิศวกรรม เพื่อเตรียมตัวสอบคัดเลือกไปอเมริกา

หลังการเกณฑ์ทหารสิ้นสุ ดเขากลับมาเจอ โยชิกะ เด็กสาวที่เขาตกหลุมตั้งแต่วัยเด็กอีกครั้ง ทั้งคู่แต่งงานกัน ข่าวดีอีกอย่างในชีวิตคือเขาสอบไปอเมริกาได้ ที่นั่นเขาตั้งใจร่ำเรียน บากบั่น จนประสบความสำเร็จ ในท้ายที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับจากพ่อ


หนังสือ เกิดมาเป็นลูกคนกลาง The Third Son เนื้อเรื่องเรียบเรื่อยไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่ทว่าต้องชมผู้เขียน จูลี่ วู ที่เขียนชวนให้ติดตามได้ตลอดทั้งเล่ม ชีวิตของกัวจ้าวหลินเป็นตัวอย่างที่ดีของความบากบั่น มุมานะ เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้ หากเรารักที่จะ "ใฝ่ดี" ชอบนะเล่มนี้ เล่มนี้ยังได้รับรางวัล The William Faulkner ประเภทงานเขียนที่มีความคิดสร้างสรรค์ปี 2009 ด้วย



เกิดมาเป็นลูกคนกลาง The Third Son













ชื่อหนังสือ :  เกิดมาเป็นลูกคนกลาง The Third Son
ชื่อผู้แต่ง : จูลี่ วู
ชื่อผู้แปล : นิลุบล พรพิทักษ์พันธุ์
สำนักพิมพ์ : สันสกฤต
พิม์ครั้งล่าสุด : พ.ศ.2554




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2555 14:49:33 น.
Counter : 1792 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

แกงสับปะรดของแม่
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการอ่าน แนะนำหนังสือที่ชอบ หรือจะฝากข้อคิดดีๆ จากหนังสือก็ทำได้ "ใครใคร่อ่าน...อ่าน" ใครใคร่วิจารณ์...ก็เชิญตามอัธยาศัย
Friends' blogs
[Add แกงสับปะรดของแม่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.