"ข้าพเจ้าอ่าน..ราวกับกลัวว่า ความกระหายในการอ่าน จะเหือดหายไปในวินาทีข้างหน้า"
Group Blog
 
All Blogs
 

งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 Book Expo Thailand 2012


Book Expo Thailand 2012


อีกเพียง 2 เดือน งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17  หรือ Book Expo Thailand 2012 ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว โดยปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-28 ต.ค. 2555 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย

สำหรับคนที่รักการอ่านแล้วย่อมตั้งตารอ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ หรือกันทุกคน เพราะนอกจากจะมีหนังสือใหม่ๆ ที่สำนักพิมพ์ต่างๆ ทยอยกันออกมาในช่วงนี้ บรรดาสำนักพิมพ์เหล่านี้ ยังขนหนังสือมาลดราคากันอีกเพียบ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกมากมาย ทั้งการแลกเปลี่ยนเสวนา และการพบปะนักเขียนที่ชื่นชอบ ทำให้ทุกปีมีคนแห่ไป งานมหกรรมหนังสือระดับชาติกันล้มหลาม เป็นสัญญาณที่ดีของประเทศไทยว่า คนไทยนิยมอ่านหนังสือกันมากขึ้น และหวังว่า งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 Book Expo Thailand 2012 ครั้งนี้ จะมีผู้ร่วมงานมากกว่าทุกปี และในฐานะคนอ่านก็หวังว่าสำนักพิมพ์ทุกค่ายจะใจปล้ำเพื่อแฟนนานุแฟนทั้งหลาย อะไรที่พิเศษขนมาเถอะครับทั่น เราอยากบอกว่า เราเต็มใจรับเป็นอย่างยิ่ง  



งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ  Book Expo Thailand           เครดิตภาพ : matichon.co.th



สวนทางกับสำนักสถิติพบเด็กไทยอ่านหนังสือเพียง 39 นาทีต่อวัน!  

มีรายงานที่เป็นห่วงว่า สำนักสถิติแห่งชาติพบว่า การอ่านหนังสือของเด็กไทยจากเดิม 52 นาทีต่อวัน เหลือเพียง 39 นาที เนื่องจากเด็กและเยาวชน ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเล่นคอมพิวเตอร์และดูโทรทัศน์มากขึ้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน เพื่อการพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน และรู้หนังสือ ภายในปี 2555 โดยได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินการ ให้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 95 รวมถึงให้ค่าเฉลี่ยการอ่านหนังสือของคนไทยเพิ่มขึ้นจากปีละ 5 เล่ม เป็น 10 เล่ม ขณะเดียวกัน ให้เพิ่มแหล่งการอ่านครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง และสร้างภาคีเครือข่ายเพื่อปลูกฝังการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่าง ยั่งยืนทุกรูปแบบ

2 เมษายน วันรักการอ่าน  

คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ กำหนดให้วันที่ 2 เมษายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงมีคุณูปการต่อวงการหนังสือไทย เป็น “วันรักการอ่าน”  

เห็นข่าวแล้วก็หนักใจ ทำไมเด็กไทยจึงอ่านหนังสือกันน้อยอย่างนี้ คิดว่าเรื่องนี้ผู้ใหญ่มีส่วนสำคัญมาก เพราะผู้ใหญ่จะเป็นส่วนช่วยวางรากฐานและปลูกฝังค่านิยมในการอ่านให้กับบุตรหลาน สอนเขาเถอะครับทั่น สอนเขาให้เห็นคุณค่าของหนังสือ ให้เห็นคุณค่าของการอ่าน ช่วยสนับสนุนบุตรหลานของท่านในทุกๆ ทาง อาทิ การจัดหาหนังสือให้ การใช้เวลาอ่านหนังสือกับลูกๆ และการพาไปเยือนห้องสมุด เป็นต้น เมื่อเขามีนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เด็ก รับรองว่าโตขึ้นเขาจะต้องเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ดังมีประโยคภาษาอังกฤษประโยคหนึ่ง กล่าวไว้สั้นๆ แต่ได้ใจความว่า  


“Today a reader, tomorrow a leader.” - Margaret Fuller 

เราก็ได้แต่หวังว่าสถิติการอ่านของเด็กไทยในปี 2555 นี้จะเพิ่มมากขึ้น ให้สอดคล้องและสมกับการที่กรุงเทพมหานคร ได้รับเลือกให้เป็น กรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลกปี 2556 (Bangkok World Book Capital 2013)


ที่มาข้อมูล : //blog.lib.kmitl.ac.th/




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2555    
Last Update : 1 สิงหาคม 2555 16:25:46 น.
Counter : 1572 Pageviews.  

Jimbocho : Tokyo's Book Town จิมโบโช ย่านสวรรค์ของคนรักหนังสือ

ร้านหนังสือในย่านจิมโบโช
จิมโบโช (Jinbocho) เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่นี่แหละ ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านสวรรค์ของคนรักหนังสือ

สำหรับคนที่รักการอ่านแล้ว คงไม่มีอะไรจะสุขใจเท่ากับการได้อยู่ในดงหนังสือจริงไหม?  และจะดีแค่ไหนถ้าทุกย่างก้าวที่เดินไปเต็มไปด้วยร้านหนังสือมากมายจนสุดลูกหูลูกตา วันนี้ The Readers Online Cafe จะพาคุณไปรู้จักกับย่าน จิมโบโช (Jinbocho) เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่นี่แหละ ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านสวรรค์ของคนรักหนังสือเชียวล่ะ




มีหนังสือทุกประเภท มากมายละลานตา
มีหนังสือทุกประเภท มากมายละลานตา

Jimbocho ย่านหนังสือชื่อดังของโตเกียว

ย่านจิมโบโช เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นย่านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นย่านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่ง




ร้านหนังสือในย่านจิมโบโช


กองหนังสือตั้งล้นออกมานอกร้าน
กองหนังสือตั้งล้นออกมานอกร้าน


ร้านหนังสือในย่านจิมโบโช

จิมโบโชเป็นแหล่งขายหนังสือมือสองที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่ย่านจิมโบโชนี้เต็มไปด้วยหนังสือราคาถูก หนังสือแปลกๆ หายาก ถูกอกถูกใจบรรดานักสะสมยิ่งนัก แต่ทว่าหนังสือที่ขายในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นหนังสือภาษาญี่ปุ่น แต่ก็พอจะหาร้านหนังสือที่ขายหนังสือต่างประเทศได้อยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ


ร้านหนังสือมือสองที่จำหน่ายหนังสือต่างประเทศก็พอมีอยู่บ้าง
ร้านหนังสือมือสองที่จำหน่ายหนังสือต่างประเทศก็พอมีอยู่บ้าง

ที่ย่านจิมโบโช ยังเป็นที่ตั้งของสำนักพิมพ์ ตัวแทนจำหน่ายหนังสือ ชมรมอนุรักษ์วรรณกรรมและหนังสือโตเกียวอีกด้วย





ไฟไหม้ครั้งใหญ่



ย้อนกลับไปในปี 1913 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ย่านจิมโบโช เพลิงได้เผาผลาญทำลายย่านนี้ราบเป็นหน้ากลอง มีตึกที่ได้รับความเสียหายกว่า 4000 หลังคา เพลิงยังได้ลุกลามไปติดป่าสนของพระราชวังอิมพีเรียลอย่างน่ากลัว

หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ผ่านพ้นไป ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์เล็กๆ ขึ้นที่ย่านนี้ บริษัทสำนักพิมพ์แห่งนี้ค่อยๆ เจริญเติบโต จนกลายเป็นหนึ่งในสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น นามว่า Iwanami Shoten จากนั้นก็ทยอยมีสำนักพิมพ์เปิดตามมาเรื่อยๆ มีออฟฟิศธุรกิจ ร้านหนังสือ และร้านกาแฟผุดขึ้นเกือบทุกหนทุกแห่ง ย่านจิมโบโชกลายเป็นย่านยอดนิยมสำหรับบรรดานักอ่าน




มาในปี 1920 ย่านจิมโบโชเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่า เป็นย่านรวมเหล่าปัญญาชน จนเป็นที่เกรงของรัฐบาลญี่ปุ่น ด้วยกลัวว่าจะแหล่งซ่องสุมพวกต่อต้านรัฐบาล จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ตำรวจลับของญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในนาม Kempeitai ก็เฝ้าจับตาย่านนี้อย่างใกล้ชิด

ทุกวันนี้ย่านจิมโบโช ยังคงเต็มไปด้วยสเน่ห์ ดึงดูดนักอ่าน ปัญญาชนทั้งหลายให้มารวมตัวกันเพื่ออ่านหนังสือ อภิปราย โต้วาทีกันอย่างสนุกสนาน ตามร้านกาแฟน่ารักๆ มีสเน่ห์ ที่มีอยู่มากมายหลายแห่งในย่านนี้



ร้านกาแฟน่ารักๆ มีสเน่ห์ ที่นักอ่านชอบมานั่งอ่านหนังสือ หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้


แหล่งขายอุปกรณ์กีฬาชั้นนำ


จิมโบโช ยังเป็นย่านที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งรวมร้านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น มีร้านขายอุปกรณ์กีฬามากกว่า 50 ร้าน นอกจากนี้ยังมีร้านขายอุปกรณ์กีฬาเฉพาะทาง เช่น สโนว์บอร์ด และรองเท้าสกี ที่ถูกที่สุดในญี่ปุ่น เรียกว่า ถ้าอยากได้รองเท้าสกีดีๆ ราคาถูก ก็ต้องมาที่นี่ 


ร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่มีมากกว่า 50 ร้านในย่านนี้
ร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่มีมากกว่า 50 ร้านในย่านนี้







แหล่งของนักชิม



เดินดูหนังสือเสร็จแล้ว แวะซดราเม็งซะหน่อย
เดินดูหนังสือเสร็จแล้ว แวะซดราเม็งซะหน่อย


จิมโบโช ยังเป็นแหล่งขึ้นชื่อสำหรับนักชิม เพราะราคาอาหารในร้านแถบนี้ถูกมากๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดาขาช็อป  และนักเรียน นักศึกษา ที่แห่กันมามากมายในแต่ละวัน และอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นราเม็งเจ้าอร่อยหลายๆ ร้านที่อยู่ในย่านนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นร้านแบบยืนกิน




ย่านแห่งมหาวิทยาลัย

จิมโบโช เป็นย่านที่เต็มไปด้วยมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากมายของประเทศญี่ปุ่น อาทิ 
มหาวิทยาลัยเมจิ, มหาวิทยาลัยโฮเซอิ, มหาวิทยาลัยโตโย งะกุเอ็น, มหาวิทยาลัยนิฮอน,
มหาวิทยาลัยเซนชู, มหาวิทยาลัยสตรีเคียวยุริทสึ, มหาวิทยาลัยจุนเทนโดะ และมาหวิทยาลัยชุโอะ


มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากมายอยู่ในย่านนี้
มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากมายอยู่ในย่านนี้

ที่ตั้งของย่าน จิมโบโช 


ย่านจิมโบโช ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เมืองโตเกียว 


พาไปชมเสียทั่วย่้านจิมโบโช เห็นแล้วอยากไปกันไหม เอาเป็นว่าใครมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่น อย่าลืมไปเยือนย่านนี้เป็นอันขาด แล้วกลับมาเล่าให้ฟังด้วยนะ ...


หากถูกใจอยากด Like เชิญที่ Facebook Fan Page : The Readers Online Cafe
หรือร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นที่ Twitter : https://twitter.com/ReadersCafe_






 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2555 17:08:14 น.
Counter : 3358 Pageviews.  

หนังสือ WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2

WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2

สงครามโลกครั้งที่ 2 กินระยะเวลาทั้งสิ้น 2,190 วัน นับตั้งแต่ ฮิตเลอร์สั่งกองทัพนาซีบุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg)  ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 สาเหตุมาจากฉนวนโปแลนด์(Polish Corridor) ซึ่งเยอรมนีเสียดินแดนส่วนนี้ให้แก่โปแลนด์ตามสนธิสัญญาแวร์ซาย์ และฉนวนโปแลนด์ยังแบ่งแยกดินแดนเยอรมนีเป็นสองส่วน คือส่วนปรัสเซียตะวันตกและปรัสเซียตะวันออก 

ฮิตเลอร์ ขอสร้างถนนผ่านฉนวนโปแลนด์ไปปรัสเซียตะวันออก อังกฤษและฝรั่งเศสคัดค้าน ฮิตเลอร์ จึงยกเลิกสัญญาที่เยอรมนีจะไม่รุกรานโปแลนด์ และทำสัญญาไม่รุกรานกับสหภาพโซเวียต อังกฤษและฝรั่งเศสจึงยื่นคำขาดได้เยอรมันถอนทหารออกจากโปแลนด์ เมื่อฮิตเลอร์ไม่ปฏิบัติตาม ทั้งสองประเทศจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี

เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ประเทศคู่สงครามแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายอักษะ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลีและญี่ปุ่น ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย ต่อมาประเทศต่าง ๆ ก็เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนสงครามได้แผ่ขยายกลายเป็นสงครามโลก ในปี ค.ศ. 1942 

ช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี) ได้บุกยึดยุทธภูมิสำคัญคือ รัสเซีย แอฟริกาเหนือ และแปซิฟิก ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเกือบทุกแห่ง โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งได้รับชัยชนะมากที่สุดในการยึดครองจักรวรรดิแปซิฟิก

สำหรับสงครามในโลกตะวันออกนั้นเริ่มต้นขึ้นในราว ค.ศ. 1941 เมื่อญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม ปี 1941 สหรัฐอเมริกาจึงประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันเยอรมนีและอิตาลีก็ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทั้งสองประเทศได้ทำสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่น จึงเท่ากับเป็นแรงผลักดันให้สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเต็มตัว 


ฝ่ายอักษะเริ่มพลาดท่า หลังจากสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ ชายฝั่งแคว้นนอร์มังดี (Nomandy) ประเทศฝรั่งเศส วัน D-DAY ด้วยกำลังพลนับล้านคน เครื่องบินรบ 11,000 เครื่อง เรือรบ 4,000 ลำ วิถีของสงครามจึงค่อย ๆ เปลี่ยนด้านกลายเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบ 


สงครามในยุโรปยุติลงหลังกองทัพแดงยึดกรุงเบอร์ลินได้ และการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 แม้จะถูกโดดเดี่ยวและตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นยังปฏิเสธที่จะยอมจำนน กระทั่งมีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์สองลูกถล่มญี่ปุ่นที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ ในวันที่ 6และ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 และการรุกรานแมนจูเรีย จึงได้นำไปสู่การยอมจำนนอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945

ผลของสงครามสร้างความสูญเสียใหญ่หลวงแก่มวลมนุษยชาติ ทิ้งเหลือไว้เพียงคราบน้ำตา และฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน

หนังสือ WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนังสือที่รวบรวมภาพเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ของช่างภาพกว่าร้อยคน และจากสมรภูมิกว่าทั่วทุกมุมโลก โดย  ริชาร์ด โฮล์มส์ นักเขียนสารคดีมืออาชีพ บอกเล่าที่มาและลำดับภาพเหตุการณ์สำคัญตั้งแต่สงครามโลกประทุในปี ค.ศ. 1939 กระทั่งถึงการปราชัยของฝ่ายอักษะในปี ค.ศ. 1945 ภาพถ่ายได้บอกเล่าเหตุการณ์แต่ละช่วงปีอย่างชัดเจน ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก มากกว่าคำบรรยายใต้ภาพหลายเท่านัก บางภาพเราอาจจะคุ้นตา แต่ทว่าอีกหลายร้อยภาพยังไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน 


หนังสือ WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าแก่การเก็บสะสม  ไว้เตือนใจเราถึงความโหดร้ายของสงคราม เพื่อไม่ให้พวกเราทุกคนเดินซ้ำรอยประวัติศาตร์อีกครั้ง...


WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2


ชื่อผู้แต่ง   : RICHARD HOLMES
ชื่อผู้แปล  : นพดล เวชสวัสดิ์
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์ มติชน
พิมครั้งล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 5 




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2555 12:00:34 น.
Counter : 2798 Pageviews.  

หนังสือ หอบลูกเที่ยวฮ่องกง - ลินดา โกมลารชุน วันหยุดยาวนี้แนะนำโปแกรมนี้เลย

หนังสือ หอบลูกเที่ยวฮ่องกง - ลินดา โกมลารชุน

ประเทศอะไรเอ่ย ไปง่ายยิ่งกว่าไปสายใต้ใหม่? คำตอบ คือ คือ คือ... "ฮ่องกง" ถูกต้องนะคร๊าบบบ! มันไปง่ายเสียจนคนเขาว่ากันว่า  เศรษฐีบางคนถึงกับบินไปกลับกรุงเทพ-ฮ่องกง เพียงเพื่อจะไปกิน หมูย่าง!  โอว..อะไรจะขนาดนั้น แต่มันคือเรื่องจริงครับทั่น ก็แหม..ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง เครื่องบินก็ร่อนลงจอด สนามบินนานาชาติฮ่องกง Hong Kong International Airport (HKIA) หรือ Chek Lap Kok Airport) แล้ว เรียกว่านั่งตูดยังไม่ทันร้อนก็ต้องลงเสียแล้ว


แม้ฮ่องกงจะเป็นเกาะเล็กๆ และดูเหมือนมันจะไม่มีอะไร จนใครที่คิดจะไปฮ่องกงมักโดนตั้งคำถามว่า "ไปทำ เฟี้ย อะไรวะที่ฮ่องกง ไม่เห็นจะมี ข่า อะไรเลย!!" แต่เชื่อเถอะครับทั่น ว่า "มันมีอะไร" มิเช่นนั้น ฮ่องกง จะเป็นประเทศยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมไปกันมากที่สุดได้หรือ 


ด้วยความที่วัฒนธรรมของเขาใกล้เคียงกับของเรา ทำให้เวลาเดินไปไหนมาไหนที่ฮ่องกงแล้วรู้สึกคุ้นเคย สบายอกสบายใจ ที่สำมะคัญคือ มีอาหารอร่อยๆ ให้ลิ้มลองเพียบ นี่ยังไม่รวมของดีของถูก (ถ้ารู้แหล่ง) ที่มีให้ช็อปมากหลาย ก็ไม่แปลกใจที่ฮ่องกงจะถูกใจวัยรุ่นพี่ไทยอย่างเราๆ นี่ยังไม่รวมโปรแกรมทัวร์ยอดนิยมสักการะพระ เจ้าแม่ที่เกาะฮ่องกงนะ อันนั้นถูกใจเหล่าบรรดา อาซิ้ม อากง อาม่า เขานักล่ะ


แล้วไปฮ่องกงเป็นครอบครัว จะมีที่ไหนให้เที่ยวไหม? ขอตอบว่า มี ครับทั่น หนังสือ "หอบลูกเที่ยวฮ่องกง" ให้คำตอบเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี หนังสือ "หอบลูกเที่ยวฮ่องกง" โดย ลินดา โกมลารชุน เป็นหนังสือ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเกาะฮ่องกงที่เหมาะกับครอบครัว ที่จะกระเตงพาลูกๆ ไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของฮ่องกง ซึ่งอัดแน่นครบทุกอรรถรส ทั้งเที่ยว ชม ชิม ช็อป จัดเต็มด้วยเนื้อหาและภาพประกอบสวยงามตลอดทั้งเล่ม เก็บเกี่ยวในทุกบรรยากาศของสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตในฮ่องกง เหมาะสำหรับการไปเที่ยวเป็นครอบครัว ในเล่มยังสอดแทรกการเรียนรู้นอกห้องเรียนของเด็กๆ และที่สำคัญสร้างสายใยความผูกพันที่แข็งแรงในครอบครัว


วางโปรแกรมไว้เนิ่นๆ วันหยุดยาวหน้า...หนีบลูกๆ ไปพักผ่อนที่ฮ่องกง และอย่าลืมเอาหนังสือ "หอบลูกเที่ยวฮ่องกง" ไปเป็นไกด์บุ๊กด้วยนะ ไม่เลวใช่ไหมล่ะ

หนังสือ หอบลูกเที่ยวฮ่องกง - ลินดา โกมลารชุน

ชื่อหนังสือ :  หอบลูกเที่ยวฮ่องกง 
ชื่อผู้แต่ง    : ลินดา โกมลารชุน
สำนักพิมพ์  : สำนักพิมพ์วงกลม
พิมพ์ครั้งล่าสุด : พฤษภาคม 2555

ป.ล.ไม่สบายเสียหลายวัน ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่าน กลับมาแร์หนังสือดีๆ กันเช่นเคยแล้ว :)




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2555 18:39:01 น.
Counter : 1680 Pageviews.  

หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ -Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehugh



หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ -Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehugh



คุณจำความรู้สึกที่ได้ฟังนิทานก่อนนอนได้ไหม? "กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วสินะ" ความทรงจำนั้นของเราลางเลือนเต็มที แต่ก็ไม่ถึงกับลางเลือนจนเบียดบัง ความรู้สึกสนุก ตื่นเต้น เพลิดเพลิน เมื่อหวนย้อนไปถึงยามที่เราได้ยินได้ฟังนิทาน ตอนเป็นเด็กเรามีความสุขกับอะไรง่ายๆ แค่นี้เอง แค่มีคนมาเล่านิทานให้เราฟัง

แต่พอโตขึ้นเหมือนว่ามาตรฐานความสุขของเราจะสูงขึ้นตามไปด้วย อะไรที่เคยสุขได้ง่ายๆ ในวันนี้ชักจะไม่ง่ายเรารอคอยปัจจัยอะไรก็ตามแต่ที่เราคิดไปว่า เมื่อมีมันเราถึงจะมีความสุข ความสุขกลายเป็นเรื่องต้องอาศัยปัจจัยเร้าจากภายนอก ทั้งๆ ที่ความสุขที่แท้แล้วอยู่ที่ใจเรานี่เอง แล้วมีเคล็ดลับอะไรที่จะทำให้เรามีความสุขจากที่ใจ ง่ายๆ ก็แค่ ต้องรู้จักรักตนเองให้เป็น


แต่การจะยอมรับตัวเอง รักตัวเอง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตนเองนั้น บางครั้งก็ต้องอาศัยคนมาสะกิดเราอยู่เหมือนกัน สะกิดแรงก็โกรธไม่รับฟัง แต่ถ้ามาสะกิดเบาๆ เอาใจเข้าแลก เราก็มีแนวโน้มว่าจะรับไว้ นิทานจึงเหมาะที่จะนำมาสอนใจกับผู้ใหญ่ประเภท "ไม้แก่ดัดยาก" เพราะนิทานเต็มไปด้วยความอ่อนโยน น่ารัก ดีงาม จึงมีแนวโน้มว่าเราจะเชื่อฟัง โดยปราศจากการต่อต้าน แข็งขืน 

หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ เป็นหนังสือที่มีนิทานน่ารักๆ อยู่ทั้งสิ้น 21 เรื่อง  คู่แม่ลูก Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehugh ร่วมกันเขียน หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ ขึ้นโดยดัดแปลงจากนิทานที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อาทิ ลูกหมูสามตัว ซินเดอเรล่า หนูน้อยหมวกแดง และอีกหลายเรื่องนำมาเล่าในมุมใหม่ที่ต่างออกไป แฝงด้วยความตลกขบขัน 


เช่น การยกเอาเรื่องซินเดอเรล่ามาเล่าให้เห็นอีกมุมหนึ่ง มุมโกรธ เกลียดชัง ขมขื่น เหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอขมขื่นจากการตายของพ่อแม่ และรู้สึกกล้ำกลืนที่ต้องอยู่กับแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสอง ซึ่งในความเป็นจริงแม่เลี้ยงและพี่สาวก็ดีต่อเธอ แต่ด้วยความขมขื่นในใจ ทำให้ภาพลักษณ์ที่ซินเดอเรล่ามีต่อแม่เลี้ยงและพี่สาวเป็นโหดร้ายไป  แต่เมื่อวันหนึ่งซินเดอเรล่าได้รู้ซึ้งเห็นใจแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองของเธอโดยปราศจากอคติ เธอก็ได้เห็นภาพลักษณ์แม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองของเธอในมุมใหม่ ทำให้เธอได้ตระหนักว่าที่แท้ที่ผ่านมาเธอไม่ยอมรับตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าตัวเองต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่ใคร นั่นทำให้เธอเลิกแสวงหาการยอมรับจากผู้อื่น และรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จนเลือกที่จะคิดและทำแต่สิ่งดีให้ตัวเอง

นอกจากความน่ารัก สนุกสนาน  ที่ได้จาก หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่  เล่มนี้แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อคิดสอนใจ ข้อคิดที่สอนให้เรารู้จักรักตนเอง และนำไปสู่การเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าความสุขและชีวิตที่ดีกว่าย่อมตามมา และผลกำไรที่เกิดจากความสุขใจที่เริ่มต้นจากตัวเรา ก็จะเหมือนการโยนหินลงไปในบึงน้ำวงน้ำนั้นก็จะแผ่ขยายกว้างไกลออกไป เหมือนความรักความสุขของเราที่แผ่ไปยังคนใกล้ตัวคนในสังคม และประเทศชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด คุณเริ่มเห็นภาพ "สังคมที่น่าอยู่" ขึ้นมาแล้วบ้างแล้วใช่ไหม อยากให้ 'ผู้ใหญ่' ได้อ่าน หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่  เล่มนี้กันทุกคน 


...ขอให้ 'ผู้ใหญ่' ทุกคนนอนหลับฝันดีทุกคืน


หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ -Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehugh



ชื่อผู้แต่ง    : Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehugh
ชื่อผู้แปล    : วิลาวัณย์ อเนกมุจลินท์
สำนักพิมพ์  : สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2555 15:24:53 น.
Counter : 2817 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

แกงสับปะรดของแม่
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการอ่าน แนะนำหนังสือที่ชอบ หรือจะฝากข้อคิดดีๆ จากหนังสือก็ทำได้ "ใครใคร่อ่าน...อ่าน" ใครใคร่วิจารณ์...ก็เชิญตามอัธยาศัย
Friends' blogs
[Add แกงสับปะรดของแม่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.