|
|
ความลับอีกข้อ ระวัง! ถูกแอบถ่าย "ดาราจำเป็น"
ระวัง! ถูกแอบถ่าย "ดาราจำเป็น"แอบถ่าย ‘ดาราจำเป็น’ (มันมากับความเงียบ) เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าในขณะที่คุณกำลังถอดเสื้อผ้าอยู่ในห้องน้ำ เวลาที่สภาพร่างกายของคุณไร้อาภรณ์ห่อหุ้ม หรือแม้แต่เวลาที่คุณกำลังทำอะไรที่เป็นส่วนตัวอย่างอื่นๆ คุณกำลังถูกจับตามองจากกล้องวงจรปิดที่ซุกซ่อนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของห้องนั้น ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับคุณ พื้นที่ส่วนตัวถูกบุกรุกจากคนไม่ประสงค์ดี เผลอๆ อาจจะกลายเป็นดาราหน้ากล้องไปโดยไม่รู้ตัว รู้อีกทีก็ปรากฏว่าภาพลับของคุณถูกเผยแพร่ไปตามวีซีดี ‘แอบถ่าย’ ที่กองพเนินอยู่บนแผงบ้านหม้อ พันธุ์ทิพย์ ไว้รอพวกที่มีรสนิยมชอบแอบดูมาหยิบจับไป ที่ผ่านมาคงเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง สำหรับการแอบติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในห้องน้ำห้างสรรพสินค้าหรือแม้กระทั่งห้องลองเสื้อผ้าของผู้หญิง และล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หากใครได้ติดตามข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ก็พอจะเห็นเรื่องราวการพบกล้องวงจรปิดในห้องพักของนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังในย่านบางเขน ซึ่งห้องพักดังกล่าวเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้นครึ่ง แบ่งเป็นห้องพักให้เช่า “หลังจากมีการตรวจสอบร่องรอยการติดตั้งพบว่าบริเวณมุมห้องมีวัตถุคล้ายกล่องเซฟทีคัต เมื่อเปิดดูก็พบว่ามีกล้องวงจรปิดซุกซ่อนอยู่ข้างใน” โอ้...แม่เจ้า แล้วตอนที่กำลังอาบน้ำ กำลังนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า กำลังทำอะไรๆ ที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ หรือแม้กระทั่งเวลาที่คุณกำลังเล่นบทรักกับแฟนหรือคู่รักของคุณ ก็แสดงว่า...กล้องวงจรปิดตัวที่ซ่อนตัวอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งนั้นได้บันทึกภาพเราไว้หมดแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าบางทีสถานที่ส่วนตัวของคุณก็อาจจะเป็นสถานที่สาธารณะสำหรับใครบางคน ที่เขาสามารถดูว่าคุณกำลังทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไรบ้าง และนำไปสู่การเผยแพร่สู่สายตาสาธารณชนต่อไป กล้องวงจรปิดกับนักกฎหมาย จากการสอบถามไปยัง ศิริวรรณ ว่องเกียรติไพศาล นักกฎหมายและทนายความซึ่งทำงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถึงกรณีนี้ว่าเป็นการผิดกฎหมายมาตราใด “ในเบื้องต้น สำหรับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่เขาได้จากการถ่ายกล้องวงจรปิดจะต้องเปิดโดยเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่ เพราะถ้าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และเป็นสื่อลามก ใน พ.ร.บ.นี้จะบอกไว้ว่าถ้านำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ใดๆ ก็ตาม มีลักษณะอันลามกก็จะมีความผิดอยู่แล้ว ซึ่งในกฎหมายไม่ได้บอกว่าต้องเผยแพร่ ผู้ใดกระทำความผิดตามที่ระบุไว้คือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ก็มีความผิดแล้ว โดยความผิดตรงนี้จะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ตามมาตรา 14” แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะศิริวรรณบอกว่า ถ้าเจ้าของห้องพักไม่ได้ดูผ่านคอมพิวเตอร์ กรณีนี้ก็จะไม่เข้าองค์ประกอบตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และจำต้องใช้กฎหมายแทน เช่น ในกรณีที่เจ้าของหอพักแอบเอากล้องวงจรปิดไปติดไว้ขณะที่เจ้าของห้องไม่อยู่ กรณีนี้ถือว่ามีความผิดฐานบุกรุก แต่ถ้าติดก่อนจะมีคนมาเช่าห้อง แบบนี้ก็เอาผิดข้อหาบุกรุกไม่ได้ “ถ้าเก็บไว้ดูเอง ไม่เข้าระบบคอมพิวเตอร์ อย่างนี้เอาผิดยาก เพราะกฎหมายเราตอนนี้ต้องยอมรับว่ามีช่องว่างค่อนข้างมาก ซึ่งจะตีความเป็นการอนาจารอาจจะไม่เข้าข่ายซะทีเดียว แต่มันจะมีมาตราเกี่ยวกับการทำให้ผู้อื่นได้รับความอับอาย ซึ่งเป็นเรื่องกฎหมายอาญาคือเอาไว้ดูเอง ทีนี้ ถ้าเจ้าตัวรู้ เกิดความอับอายหรือทำให้เขาเกิดความอับอาย ก็จะเป็นแค่ลหุโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่ในส่วนของผู้เสียหายถ้าเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือมีการกระทำที่เป็นการละเมิดก็มีความผิดในทางแพ่ง สามารถฟ้องร้องเรียกความเสียหายได้” ศิริวรรณบอกว่า กฎหมายที่มีอยู่ตอนนี้ยังไม่ครอบคลุมกรณีถ้ำมอง อย่างไรก็ตาม มีความมพยายามของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความั่นคงของมนุษย์ที่จะร่างกฎหมายขึ้นมาเพื่อให้ครอบคลุมและทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป กลัว-ไม่กลัวไม่รู้ รู้แต่ต้องระวัง หลังกระแสข่าวเรื่องการแอบถ่ายในหอเริ่มกระจายออกไป บรรดาลูกหอจำนวนมาก ก็ถึงกับตื่นตระหนกในข่าวนี้ บางคนถึงกับต้องลุกขึ้นมาตรวจดูจุดต่างๆ ในห้องอย่างจริงจัง เผื่อมีกล้องวงจรปิดติดอยู่จะได้รู้ตัวก่อน จากการพูดคุยกับบรรดาผู้ที่ต้องอาศัยอยู่หอพัก เพื่อสะท้อนว่าพวกเขามีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้บ้าง กลัวบ้างไหม แล้วหากเจอจริงๆ จะจัดการอย่างไร เริ่มจากหญิงสาววัย 24 ปี อย่าง นิชนันท์ กิตติคุณ พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเพิ่งย้ายหอพักมาหมาดๆ เธอเล่าว่า หลังจากได้ยินข่าวก็รู้สึกตกใจมาก ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ “มันน่ากลัวนะ พอมีข่าวแบบนี้ก็ทำให้อดคิดไม่ได้เลยว่าหอเราจะมีแบบนี้บ้างหรือเปล่า” เมื่อถามต่อว่า ตอนนี้ได้ตรวจดูตามจุดต่างๆ ในหอบ้างหรือยัง เธอหัวเราะ พร้อมกล่าวออกมาว่า ยังไม่มีเวลาตรวจเลย เพิ่งจัดห้องเสร็จ แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจระดับหนึ่งว่า คงไม่มีหรอก เพราะหอที่อยู่มีเด็กนักเรียนอยู่เยอะ และเจ้าของหอค่อนข้างน่าเชื่อถือ “แต่เราก็ไม่ได้ไม่ระวังเลยนะ ตอนนี้ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะไปตรวจดู เห็นเขาบอกว่ามีวิธีดูเหมือนกัน คือให้เอากระจกไปส่อง หากมีแสงกระทบออกมาแสดงว่าน่าจะมีกล้องอยู่” นอกจากนี้เธอกล่าวว่า คนที่ทำแบบนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีมากๆ ค่อนข้างโรคจิต ถ้าเจอกับตัวก็คงต้องแจ้งตำรวจ หรือถ้าไม่ใช่เจ้าของหอเป็นคนทำ ก็ต้องให้เขามาจัดการให้เด็ดขาดไปเลย ขณะที่ชายหนุ่มนักศึกษา วัย 20 ปี อย่าง นนทัช พรหมศรี ซึ่งเช่าหออยู่ร่วมกับเพื่อนๆ กล่าวว่า การทำแบบนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัวอย่างมาก ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และสมควรถูกลงโทษ แต่หากถามว่ากลัวไหม โดยส่วนตัวไม่ค่อยรู้สึกกลัวเท่าไหร่ “ผมไม่หนักใจเท่าไหร่ เพราะผมเป็นผู้ชาย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจจะหนักหน่อย เพราะเกิดหลุดออกไปก็จะเสียหาย” เมื่อถามว่าที่ผ่านมามีการตรวจดูภายในหอบ้างหรือไม่ นนทัชบอกว่า ก็ดูบ้าง แต่ไม่ค่อยละเอียดมากเท่าใด แต่หากเจอจริงก็คงต้องแจ้งผู้เกี่ยวข้องทราบ และจัดการ “จริงๆ เราก็ต้องระวังตัวเหมือนกันนะ ถ้าผมไปเจอ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ เอากระดาษกาวปิดกล้องเอาไว้ คนถ่ายมันจะได้มองไม่เห็น (หัวเราะ)” ตรวจดูว่ามีใครแอบดูอยู่หรือเปล่า เมื่อคุณเข้าสู่สถานที่เสี่ยงในการถูกแอบถ่าย เช่น ห้องพักรายวัน โรงแรม หอพักให้เช่า ห้องน้ำสาธารณะ สถานที่เหล่านี้ล้วนไม่สามารถรู้ได้ว่าในพื้นที่ส่วนตัวนั้นมีสายตาของใครที่จับจ้องผ่านกล้องวงจรปิดตัวจิ๋วที่ซุกซ่อนอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่ง ขั้นตอนวิธีการตรวจสอบว่าบริเวณนั้นมีกล้องที่ว่านี้ติดอยู่หรือเปล่า หากสัญญาณโทรศัพท์มือถือขาดหายขณะโทร.อยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง ขอให้สันนิษฐานว่ามีการแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ในบริเวณนั้นเพื่อ ‘แอบถ่าย’ เมื่ออยู่ในห้องน้ำสาธารณะหรือห้องลองเสื้อผ้าตามห้างสรรพสินค้าใช้โทรศัพท์มือถือโทร.ออกไปหาใครก็ได้ หากโทร.ติดแสดงว่าไม่มีกล้องซ่อนอยู่ ในทางตรงข้าม โทร.ไปหาใครต่อใครแล้วก็ไม่ติดสักทีทั้งๆ ที่มีสัญญาณอยู่ แสดงว่ามีกล้องซ่อนอยู่ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าคลื่นของโทรศัพท์ถูกรบกวนโดยคลื่นของกล้องที่ส่งไปยังเครื่องรับ ปกติกล้องพวกนี้จะใช้รังสีอินฟราเรด มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่มีวิธีตรวจด้วยโทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูปหรือวิดีโอ โดยเปิดระบบถ่ายรูปหรือวิดีโอของโทรศัพท์ไว้ และส่องดูจุดที่สงสัยว่าติดตั้งหรือไม่ ถ้าในจอภาพมือถือมีจุดสีแดงเกิดขึ้น หมายความว่าในห้องนั้นมีกล้องติดอยู่ วิธีตรวจสอบ การสังเกตง่ายๆ ให้นำโทรศัพท์มือถือเปิดระบบวิดีโอหรือระบบถ่ายรูปไว้ แล้วนำรีโมตของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหนก็ได้กดรีโมตค้างไว้ นำมือถือส่องดูจะเห็นเป็นจุดสีแดงที่หัวรีโมต ถ้ามองด้วยตาเปล่าเราจะมองไม่เห็นตัวของรังสีอินฟราเรด ลองทำดู เพื่อให้ระวังตัวไว้อย่าประมาท เคยมีบุรุษท่านหนึ่งโพสต์ข้อความในเว็บไซต์ pantip.com ว่า เมื่อเราไม่สามารถรู้ได้ว่ากำลังถูกแอบถ่ายอยู่หรือเปล่าก็ให้เรารู้วิธีป้องกันตัวเองไว้ เช่น เวลาเข้าห้องน้ำ โดยเขาแนะนำให้นำหนังสือพิมพ์หรือร่มมาปิดที่บริเวณของสงวนเวลาปฏิบัติภารกิจ และยังเคยมีดาราตลกหญิงคนหนึ่งพูดไว้ว่า เวลาเข้าห้องน้ำหรือเปลือยกายอยู่ให้หาอะไรรมาคลุมหน้าเอาไว้ เพราะคนที่ดูหรือเห็นจะได้ไม่รู้ว่าคนถูกถ่ายเป็นใคร (แม้ว่าคนดูจะได้เห็นสรีระของเราก็ตาม) .......... เมื่อกลายเป็นข่าวให้เห็นกันอยู่จนชิน เรื่องแบบนี้ เราในฐานะสามัญชนคนธรรมดาก็ได้แต่ป้องกันตัวเองเท่าที่จะทำได้ ตราบใดที่โลกยังคงหมุนอยู่ตามจังหวะของเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นไป มนุษย์เองก็ต้องมีการปรับตัวเตรียมรับมือให้เท่าทันมันเท่านั้นเอง... .......... ข้อมูลจาก ASTVผู้จัดการรายวัน
Create Date : 04 มีนาคม 2553 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2553 10:51:23 น. |
| |
Counter : 548 Pageviews. |
| |
|
|
|
เรื่องดีๆเก็บมาฝาก เคล็ดลับการเรียนเก่งด้วยตัวเอง
เคล็ดลับการเรียนเก่งด้วยตัวเองขอแนะเคล็ดลับวิธีการเรียนหนังสือให้เก่งแบบง่ายๆมาฝาก...เริ่มจาก ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหน จากนั้นลงมือทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้-หากวิชาไหนที่ยากมาก ลองรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว -หาเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนเป็นนิสัย -ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหา -ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา -อย่างสุดท้ายต้องตั้งใจเรียนด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครช่วยเราได้เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถเรียนเก่งได้ด้วยตัวเอง.
Create Date : 04 มีนาคม 2553 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2553 10:33:15 น. |
| |
Counter : 310 Pageviews. |
| |
|
|
|
เก็บมาเล่าอีกที 'สมาร์ทการ์ด' บัตรประชาชนไฮเทค
'สมาร์ทการ์ด' บัตรประชาชนไฮเทคปลอมยาก...ใบเดียวเบ็ดเสร็จช่วงเวลานี้ถ้าใครไม่พกบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า บัตรสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ถือว่าเชยมาก...ก!! “บัตรประจำตัวประชาชน” เป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้เฉพาะผู้มีสัญชาติไทย เพื่อพิสูจน์ทราบ และยืนยันตัวบุคคล นับได้ว่าเป็นเอกสารที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ จะนำไปสู่การมีสิทธิด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้สิทธิเลือกตั้ง การสมัครงาน การติดต่อธุรกิจการค้า การทำนิติกรรมสัญญา รวมทั้งการติดต่อประสานงาน กับส่วนราชการหรือภาคเอกชน นอกจากนั้น ยังเป็นหลักฐานที่หน่วยงานต่าง ๆ ใช้ตรวจสอบบุคคล เพื่อประกอบการออกหนังสือสำคัญต่าง ๆ เช่น บัตรประจำตัว ผู้ป่วยของโรงพยาบาล ใบอนุญาตขับขี่ หนังสือเดินทาง รวมทั้งบัตรเครดิตประเภทต่าง ๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่สามารถชี้ชัดได้ว่า คนไทยเริ่ม มีการใช้หนังสือยืนยันตัวบุคคล ปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ปีพุทธศักราช 2457 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาตรา 90 ที่บัญญัติว่า “กรมการอำเภอเป็นพนักงานทำหนังสือเดินทางสำหรับราษฎรในท้องที่อำเภอนั้น จะนำไปมาค้าขายในท้องที่อื่น” คนไทยเริ่มรู้จักและใช้ บัตรประจำตัวประชาชนอย่างเป็น ทางการ ในปี พ.ศ. 2486 รัชสมัย ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 โดยการนำของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้เสนอออกกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นมาบังคับใช้เป็นการเฉพาะครั้งแรก เรียกว่า “พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พุทธศักราช 2486” นับเป็นกฎหมายฉบับแรกที่เกี่ยวกับการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่คนไทย แต่ประกาศและบังคับใช้เฉพาะราษฎรใน 2 จังหวัดเท่านั้น คือ จังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี (กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน) ปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทยได้ออกบัตรประจำตัวประชาชนชนิดใหม่ที่เรียกกันว่า บัตรประชาชนอเนกประสงค์ หรือบัตรสมาร์ทการ์ด ขึ้นมา ทำให้ประชาชนทั่ว ประเทศต่างทยอยไปทำบัตรใหม่กัน ซึ่งรุ่นใหม่หน้าบัตรจะมีรูปครุฑอยู่ด้านบนซ้าย ที่สามารถเก็บข้อมูล ได้มากขึ้นกว่าเดิมจาก 64 กิโลไบต์ เป็น 80 กิโลไบต์ โดยบัตรสมาร์ทการ์ดจะมีลักษณะแตกต่างจากบัตรทุกรุ่นที่ผ่านมา คือ ตัวบัตรทำด้วยพลาสติกชนิดพิเศษ มีความแข็งแรงทนทาน รายการในบัตรมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างสากล มีไอซี ชิพ (IC Chip) สำหรับจัดเก็บข้อมูลจากหลายหน่วยงาน พร้อมลายพิมพ์ นิ้วมือเจ้าของบัตร เพื่อใช้ในการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลในการขอรับบริการต่าง ๆ จากหน่วยงานภาค รัฐและเอกชน และมีสัญลักษณ์สำหรับตรวจสอบป้องกันการปลอมแปลงบัตรที่มีประสิทธิภาพยากแก่การปลอมแปลง ไอซี ชิพ ที่ฝังไว้ในตัว บัตรสมาร์ทการ์ด เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ที่มีประสิทธิ ภาพสูง สามารถเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและหน่วยงานได้อย่างมหาศาล ซึ่งปัจจุบัน มีหน่วยงานต่าง ๆ นำมาใช้แล้ว เช่น สำนักงานประกันสังคม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อขอรับบริการจากหน่วยงานเหล่านั้น สมดี คชายั่งยืน ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการเข้าถึงบัตรสมาร์ทการ์ดของประชาชนให้ฟังว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีประชาชนที่ถือบัตรประชาชนอยู่ประมาณ 43 ล้านคน กระทรวงมหาดไทยได้ทยอยทำบัตรสมาร์ทการ์ดให้กับประชาชนไปแล้วประมาณ 20 ล้านคน หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ถือบัตรประจำตัวประชาชนได้ใช้บัตรสมาร์ทการ์ดแล้ว และจะทยอยทำให้จนครบทั่วทั้งประเทศ “ใครที่มีบัตรประจำตัวประชาชนเก่าและยังไม่หมดอายุ สามารถใช้ต่อไปได้จนกว่าบัตรจะหมดอายุ หรือหากต้องการเปลี่ยน เป็นบัตรสมาร์ท การ์ดก็สามารถทำได้ แต่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทำบัตรคนละ 20 บาท แต่บัตรประจำตัวประชาชนแบบเดิม จะไม่ได้รับความสะดวกในการเข้ารับบริการจากหน่วยงาน เนื่องจากบัตรเก่าไม่มี ไอซี ชิพ ซึ่งเป็นโปรแกรมอ่านหน้าบัตรประจำตัวประชาชน เมื่อเข้ารับบริการ อาทิ ธนาคาร บัตรสมาร์ทการ์ดที่มี ไอซี ชิพ จะสามารถตรวจสอบข้อมูลเจ้าของบัตรได้ เพราะไม่ใช่ดูเพียงข้อมูลจากหน้าบัตรเท่านั้น เพื่อป้องกันการปลอมแปลงบัตร” รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข จะเริ่มใช้บัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์รุ่นใหม่แทนบัตรทองในการเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล โดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีการพัฒนา การเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศกับศูนย์เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และศูนย์เทคโนโลยี สารสนเทศของกระทรวงสาธารณสุข ในการให้บริการผู้ป่วย โดยทางสถานบริการสามารถตรวจสอบข้อมูลการเข้าใช้บริการของผู้ป่วยได้ตลอดเวลา ป้องกันการใช้บริการซ้ำซ้อน ซึ่งขณะนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้มีแผนบูรณาการบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้ากับบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ ซึ่ง จะบรรจุข้อมูลสิทธิหลักประกันสุขภาพได้อย่างครบถ้วนทั้ง 3 กองทุน ทั้งสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับสำนักบริหารการทะเบียนของ กระทรวงมหาดไทย ทำให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ นอกจากนี้ จะมีการนำข้อ มูลมาจัดเก็บเพิ่มเติมใน ไอซี ชิพ อีกหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับประวัติของเด็ก รวมทั้ง สภากาชาดไทย ซึ่งจะใช้ในการจัดเก็บข้อมูลของผู้บริจาคอวัยวะ และ ในอนาคตหากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐทุกแห่งนำข้อมูลมาจัดเก็บไว้ในไอซี ชิพ มากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้บัตรเพียงใบเดียวขอรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องพกพาเอกสารอื่นอีกต่อไป แม้กระทั่งสมุดทะเบียนบ้าน บัตรสมาร์ทการ์ด นอกจากจะใช้เพื่อแสดงตนในการรับบริการ หรือทำนิติกรรมกับหน่วยงาน ต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถใช้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบข้อมูลของตนเอง รวมทั้ง การตรวจสอบคัดรับรองสำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน ตลอดจนการตรวจ สอบสิทธิเลือกตั้ง ผ่านทางเครื่องบริการประชาชนแบบอเนกประสงค์ หรือ เครื่องเอ็มพีเอ็มซึ่งกรมการปกครองจะนำมาติดตั้งให้บริการในปลายปีนี้ โดยในระยะแรกจะติดตั้ง ณ สำนักทะเบียนอำเภอที่เป็นที่ตั้งของศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 9 จังหวัด และจะทยอยติดตั้งให้ครบทุกจังหวัด “ถึงแม้จะมีการจัดเก็บข้อมูลของประชาชน หรือของหน่วยงานหลาย ๆ เรื่องไว้ใน บัตรสมาร์ทการ์ดก็ตาม แต่การจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้งานได้ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของบัตรด้วย โดยการเสียบบัตรเข้ากับเครื่องอ่านบัตรสมาร์ทการ์ดและให้เจ้าของบัตรวางนิ้วชี้ เพื่ออนุญาตให้อ่านข้อมูลก่อนทุกครั้ง ประชาชนทุกคนที่มีบัตรสมาร์ทการ์ดจึงไม่ต้องกังวลว่าบุคคลภายนอกจะล่วงรู้ข้อมูลส่วนตัวที่จัดเก็บไว้ในบัตร และไม่ว่าบัตรของท่านจะสูญหายหรือบุคคลใดเก็บบัตรได้ แล้วนำบัตรไปเสียบเข้าเครื่องอ่านบัตรก็ไม่สามารถอ่านข้อมูลในบัตรของท่านได้เลย ตราบใดที่ท่านไม่ได้อนุญาตโดยการวางนิ้วบนเครื่องอ่านบัตร ยกเว้นหน่วยงานที่ออกบัตรเท่านั้น และ หากพบการทุจริตปลอมแปลงบัตรสามารถแจ้งมาได้ที่เบอร์ 1548” ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กล่าวทิ้งท้าย ในเมื่อบัตรสมาร์ทการ์ดมีข้อมูลของเจ้าของบัตรอยู่มากมาย...เพราะฉะนั้นนับจากนี้ควรเก็บรักษาไว้ให้ดี เดินทางไปไหนติดตัวไว้ตลอด!!.วิวัฒนาการบัตรประชาชนนับตั้งแต่เริ่มมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนมาจนถึงฉบับปัจจุบัน คนไทยมีบัตรประจำตัวประชาชนใช้ กันมาแล้ว 5 รุ่น ด้วยกัน ได้แก่ บัตรรุ่นแรก ทำด้วยกระดาษ มีลักษณะคล้ายบัตรยืมหนังสือของห้องสมุด พับเป็น 4 ตอน มี 8 หน้า เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 ถึง พ.ศ. 2505 ออกให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัด พระนครและธนบุรี (กรุงเทพฯในปัจจุบัน) บัตรรุ่นที่ 2 ตัวบัตรทำด้วยกระดาษทรง สี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพกพา มีรูปถ่ายผู้ถือบัตร เป็นรูปขาว-ดำ พิมพ์รายการผู้ถือบัตรด้วยเครื่อง พิมพ์ดีดธรรมดาและเคลือบด้วยพลาสติกใส เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2506 บัตรรุ่นที่ 3 ตัวบัตรทำด้วยกระดาษ มีลักษณะคล้ายกับบัตรรุ่นที่สอง จุดแตกต่าง คือ รูปถ่ายผู้ถือบัตรเป็นรูปสีธรรมชาติ รายการผู้ถือบัตรพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และเคลือบด้วยวัสดุป้องกันการปลอมแปลงชนิดพิเศษ เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2531 บัตรรุ่นที่ 4 ตัวบัตรทำด้วยพลาสติก มีลักษณะคล้ายบัตรเครดิต มีแถบแม่เหล็กสำหรับบันทึกข้อมูลโดยมีสำนักทะเบียนเป็นผู้ผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ สามารถรับบัตรได้ภายใน 15 นาที เริ่มใช้ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ในเขตท้องที่อำเภอเมือง จ.ปทุมธานีและทุกสำนักงานเขตในกรุงเทพฯ ต่อมา ได้ขยายระบบคอมพิวเตอร์ครอบคลุมทุกสำนักทะเบียนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2547 ทำให้ประชาชนสามารถยื่น คำขอมีบัตรได้ทุกสำนักทะเบียน โดยไม่ต้องคำนึงถึงที่อยู่ในทะเบียนบ้าน รายการใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้น มาในบัตรรุ่นนี้ คือ การลงรายการหมู่โลหิตและรายการศาสนาในบัตร ตามความสมัครใจของผู้ขอมีบัตร บัตรมีอายุ 6 ปี โดยถือว่าวันครบรอบวันเกิด เป็นวันบัตรหมดอายุ บัตรรุ่นที่ 5 บัตรประจำตัวประชาชนแบบ อเนกประสงค์ หรือบัตร Smart Card เริ่ม ใช้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เกิดขึ้นจากแนวคิดที่จะให้ประชาชนมีบัตรเพียงใบเดียวใช้แทนบัตรทุกประเภทที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกในการพกพา และประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐในการออกบัตรประเภทอื่น ๆ.Dailynews
Create Date : 04 มีนาคม 2553 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2553 0:42:40 น. |
| |
Counter : 392 Pageviews. |
| |
|
|
|
คุณรู้รึป่าว 'จัดฟันแฟชั่น'ได้สวยไม่คุ้มเสีย?!!
'จัดฟันแฟชั่น'ได้สวยไม่คุ้มเสีย?!!ปัจจุบัน การจัดฟันที่ เรานิยมทำกันไม่ใช่ เพื่อการรักษาฟันแล้ว แต่กลายเป็นการจัดฟันตามแฟชั่นที่เป็นกระแสฮิตมากในหมู่วัยรุ่น นำมาเป็นเครื่องประดับเพื่อเพิ่มความสวยงามกิ๊บเก๋โดยหารู้ไม่ว่า มีภัยร้ายแอบซ่อนอยู่มากมาย ล่าสุดได้เกิดเหตุสลดขึ้นกับน้องนักเรียนหญิงคนหนึ่งโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ใส่อุปกรณ์จัดฟันแฟชั่นในร้านที่ไม่ได้มาตiฐานจนติดเชื้อในกระแสเลือด และเสียชีวิตในที่สุด โดยปกติแล้วการจัดฟันเป็นการรักษาทางการแพทย์อย่างหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฟันเรียงสวยเป็นระเบียบสร้างความมั่นใจและสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันตแพทย์ไพศาล กังวลกิจ เลขาธิการทันตแพทยสภา อธิบายและให้ข้อบ่งชี้สำหรับ ผู้ที่จำเป็นต้องจัดฟัน คือ ผู้ที่มีฟันเกหรือฟันซ้อนมาก เพราะทำความสะอาดฟันได้ยากมีผลทำให้ฟันผุและเหงือกอักเสบ ผู้ที่มี ฟันห่างมาก มีผลทำให้มองดูไม่สวยงาม เสียบุคลิกภาพและ ผู้ที่มีปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เช่น ฟันบนหรือล่างยื่นทำให้การบดเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดส่งผลต่อระบบการย่อยอาหาร จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดฟันเพื่อรักษาอาการดังกล่าว แต่ขณะนี้พบว่ามีการใช้ลวดจัดฟันปลอมในกลุ่มวัยรุ่นเป็นแฟชั่นเพื่อความสวยเก๋และที่น่าเป็นห่วงคือสามารถหาซื้อได้ง่ายตามตลาดนัดหรือร้านค้าขายของแฟชั่นทั่วไปในราคาที่ถูกกว่าร้านจัดฟันจริงหลายเท่าตัว โดยมีการนำลวดเส้นเล็ก ๆ มาร้อยลูกปัดสีสันต่าง ๆ ตกแต่งให้สวยงามขายในราคาเส้นละ 50-120 บาทและหากต้องการให้ผู้ขายใส่ให้ราคาจะแพงขึ้นมาเล็กน้อยประมาณ 150-200 บาท ซึ่งผู้ขายจะใช้กาวทาที่เหล็กและติดที่ฟันให้ลูกค้าโดยผู้ที่ทำไม่มีความรู้ความชำนาญด้านทันตกรรมการจัดฟันแต่อย่างใด “อุปกรณ์ที่ใช้ก็ไม่ได้มาตร ฐาน ไม่ใช่เครื่องมือแพทย์ เนื่องจากลวดสเตนเลสที่ใช้เป็น เครื่องมือแพทย์นั้นจะต้องเป็นเครื่องมือที่นำเข้าจากต่างประเทศเพราะในประเทศไทยไม่มีผลิตหรือจำหน่ายจึงมีราคาแพงแต่ปลอดภัยและรักษาได้ผลอย่างมี ประสิทธิภาพ ส่วนลวดจัดฟันแฟชั่นตามร้านค้าที่นำมาจำหน่ายเป็นลวดธรรมดาที่เมื่อใช้ไปแล้ว จะเป็นสนิมและสกปรก มีสารหนู สารตะกั่ว พลวง ซิลิเนียม โครเมียมและอื่น ๆ หากเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย เช่น ตับ ไตและเมื่อนานเข้าก็จะก่อให้เกิดเป็นโรคมะเร็ง” นอกจากนี้ลวดหรือลูกปัดต่าง ๆ ที่อยู่ในปากซึ่งมีน้ำลาย หากทานอาหารจะทำให้พวกสารต่าง ๆ เหล่านี้ละลายไหลลงไปสู่กระเพาะอาหารและถ้ารับประทานของเปรี้ยว ๆ ก็จะยิ่งทำให้สารเหล่านี้ละลายมากขึ้น จึงไปสะสมมากมีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีจุดอ่อนเป็นโรคหัวใจเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นกับน้องนักเรียน หญิงที่ตกเป็นเหยื่อและเสียชีวิต สำหรับผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวก็เกิดผลเสียในแบบเดียวกันได้แต่เป็น ในระยะยาว ข้อสำคัญการใส่ลวดจัดฟันแฟชั่นมีผลเสียทำให้แปรงฟันลำบาก กักเก็บเศษอาหาร เกิดฟันผุ เหงือกอักเสบ ถ้าใส่นอนหรือใส่กินอาหารอาจหลุดเข้าลำคอทำให้เสียชีวิตได้ บางคนถูกลวดเกี่ยวกระพุ้งแก้มเป็นแผลและเกิดหนองทำให้ปากเหม็น อีกทั้งอาจทำให้ฟันที่เรียงสวยอยู่แล้วเกิดบิดเบี้ยว เกและห่างไปคนละทิศละทางเพราะเมื่อติดเหล็กที่ฟันแล้วจะทำให้รู้สึกเจ็บเนื่องจากฟันเคลื่อนที่ ซึ่งผู้ทำไม่มีความชำนาญและไม่ได้ทำตามขั้นตอนของแพทย์ที่ถูกต้อง จึงไม่สามารถติดเครื่องมือจัดฟันแบบบังคับทิศทางของฟันให้เคลื่อนที่ในตำแหน่งองศาที่ควรจะเป็นได้ ผลที่ได้รับจึงไม่คุ้มค่ากับความสวยงามที่แลกมาด้วยความเจ็บปวดและอาจถึงขั้นเสียชีวิตด้วยทางที่ดีอย่าไปใส่เลยถ้าไม่มีความจำเป็น จากการตรวจสอบพบว่าต้นกำเนิดลวดจัดฟันแฟชั่นน่าจะเริ่มเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะจากการประชุมร่วมกับทันตแพทย์ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไม่มีประเทศใดมีปัญหาการใช้ลวดจัดฟันแฟชั่นนี้ โดยจากการสำรวจสถานที่จัดฟันแฟชั่นพบว่ามีคลินิกเถื่อนประมาณเกือบ 10,000 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่นที่มีผู้เสียชีวิตนั้นมีจำนวนกว่า 400 แห่ง ซึ่งกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทางทันตแพทยสภาได้ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อดำเนินการกับผู้จำหน่ายสินค้าดังกล่าวรวมทั้งการใส่ลวดจัดฟันปลอมจากวัสดุที่เป็นอันตรายในช่องปาก เนื่องจากทันตแพทยสภาไม่มีอำนาจไปจับกุมผู้ผลิตจำหน่ายลวดจัดฟันแฟชั่น แฟชั่นรักสวยรักงามหากรู้จักตามอย่างมีสติและใช้ความคิด จะมีประโยชน์ ไม่ตกเทรนด์และปลอดภัย แต่หากละเลยที่จะคำนึงถึงความถูกต้องและความเสี่ยง เราอาจตกเป็นเหยื่อที่แลกความสวยเก๋ด้วยชีวิตก็เป็นได้. ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนจีดฟันอย่างถูกต้องและปลอดภัย หากมีความจำเป็นต้องรับบริการทางการจัดฟัน ทันตแพทย์ไพศาล กังวลกิจ เลขาธิการทันตแพทยสภา แนะนำว่า เครื่องมือจัดฟันมี 2 ชนิด คือ ชนิดถอดได้มักใช้กรณีมีความผิดปกติเล็กน้อยเคลื่อนฟันบางซี่ สามารถถอดออกได้ และชนิดที่ 2 เป็นแบบติดแน่น เรียกว่า “เหล็กจัดฟัน” วัสดุเป็นโลหะไร้สนิมขนาดเล็ก ๆ ติดบนด้านหน้าของฟัน ใช้ในกรณีที่ต้องเคลื่อนฟันหลาย ๆ ซี่พร้อมกัน ขั้นตอนแรกต้องเข้าพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟันเพื่อปรึกษาและวินิจฉัย ตรวจสภาพช่องปาก โดยเริ่มจากการเอกซเรย์ฟันทั้งปากและศีรษะ พิมพ์ฟันทำแบบจำลองฟัน จากนั้นนำมาวิเคราะห์ วางแผนการรักษาและวินิจฉัยหาสาเหตุความผิดปกติของฟันและวิธีการแก้ไข หากพบว่ามีความผิดปกติและมีความจำเป็นต้องรักษาแพทย์จะทำการรักษาให้ ส่วนค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับอาการของฟันว่าซ้อน เกและยื่นมากหรือน้อย ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐราคาประมาณ 10,000-20,000 บาท ส่วนเอกชนจะอยู่ที่ 30,000-40,000 บาท ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมตัวก่อนติดเครื่องมือโดยผู้ป่วยที่จะทำการรักษาจะต้องตรวจสุขภาพฟันก่อน โดยผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจช่องปาก หากมีฟันผุต้องอุดให้เรียบร้อยและขูดหินปูนให้สะอาด หากมีโรคเหงือกต้องได้รับการรักษาจนถึงระดับที่ควบคุมโรคเหงือกได้และในกรณีที่ฟันซ้อนเกมากหรือฟันยื่นมาก การถอนฟันจะทำให้มีช่องว่างเพื่อที่จะเรียงฟันที่ซ้อนเกหรือดึงฟันเข้าเพื่อลดความยื่น โดยส่วนใหญ่คนไข้จะถูกถอนฟันออกประมาณ 3-4 ซี่ หรือแล้วแต่ความผิดปกติของฟันซึ่งมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ขั้นตอนระหว่างการจัดฟัน ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจและทำความสะอาดฟันเป็นระยะ ๆ โดยทันตแพทย์ประจำตัวจนกว่าจะจัดฟันเสร็จ ในระหว่างนี้ผู้ป่วยควรดูแลทำความสะอาดฟันและใช้แปรงสีฟันสำหรับผู้ป่วยจัดฟันตามที่แพทย์แนะนำเท่านั้น ไม่เช่นนั้นหลังจัดฟันเสร็จแล้วอาจมีปัญหาฟันผุตามมา ซึ่งใช้เวลาในการจัดประมาณ 2 ปี แพทย์จึงจะถอดเหล็กออก จากนั้นผู้ป่วยจะต้องใส่รีเทนเนอร์ครอบฟันเพื่อคงสภาพฟันไว้ เพราะฟันเคลื่อนที่จากที่เดิมมาจัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วอาจจะเคลื่อนกลับที่เดิมได้ เนื่องจากกระดูกที่รากฟันจะละลายกลับที่เก่า จึงต้องใส่ไว้อีกประมาณ 3-4 ปี รอจนกระทั่งกระดูกเข้าที่แล้วจึงหยุดใส่ ทั้งนี้เราสามารถทำการรักษาได้ที่คลินิกทั่วไปหรือโรงพยาบาลรัฐและเอกชนหรือถ้าไม่มั่นใจว่าแพทย์ที่ทำการรักษาเป็นทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือมีทะเบียนหรือไม่ให้นำชื่อ-นามสกุลเข้ามาตรวจเช็กได้ที่สถาบันทันตแพทยสภา หรือที่เว็บไซต์ //www.dentalcouncil.or.thDailynews
Create Date : 04 มีนาคม 2553 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2553 0:21:33 น. |
| |
Counter : 367 Pageviews. |
| |
|
|
|
เค้าว่ากันว่า เรื่องต้องรู้ก่อนไป"ทัวร์ศัลยกรรม" สวยอย่างดาราเกาหลี-ไม่มีทาง!!!
เรื่องต้องรู้ก่อนไป"ทัวร์ศัลยกรรม" สวยอย่างดาราเกาหลี-ไม่มีทาง!!!เป็นเพราะภาพ "บีฟอร์ แอนด์ อาฟเตอร์" ของบรรดานางเอกเกาหลีที่ถูกขุดขึ้นมาเปิดเผย ให้เห็นว่า "ก่อนหน้า" และ "หลังทำ" ศัลยกรรมนั้นแตกต่างกันอย่างไรแท้ๆ ที่ทำให้เดี๋ยวนี้กระแสทัวร์ศัลยกรรมผุดขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นๆ ในบ้านเราแหม,ก็ภาพที่เห็นน่ะ จากเด็กสาวหน้าตาบ้านๆ ดูสามัญอย่างยิ่ง ยังกลายเป็นหญิงงามระดับนางเอกได้นี่นา แล้วคนหน้าตาธรรมดาๆ อย่างเราจะงามแบบดารากับเขาบ้างไม่ได้เลยหรือ..."ไม่ได้หรอก" "นพ.จอง อิน ซอน" แพทย์ศัลยกรรมมือหนึ่งของเกาหลี ที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ บอกชัดเจน ฟังแล้วเหมือนโดนชกจนน็อค แต่ไม่อยากจะเชื่อ ก็ไหนใครๆ เขาว่าพกรูปดาราที่เราชอบไปสักคน จะ "จวน จี ฮุน,ยุน อึน เฮ" หรือว่า "คิม แต ฮี" ไปยื่นให้จ่ายเงินแล้วไปขึ้นเขียงให้หมอกรีด เลาะ เย็บ ฯลฯ ซึ่งแม้จะเจ็บ แต่ก็สวยอย่างใจได้ยังไงเล่า "หมอฟังคำแย้ง แล้วยิ้ม ยืนยันซ้ำอีกทีว่า ไม่จริงหรอก" นพ.จอง อิน ซอน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านศัลยกรรมให้ดาราเกาหลี ตามที่สมาคมนักแสดงที่นั่นรับประกันคุณภาพบอกว่า เขาเคยมีคนไข้ประเภทที่มาถึงก็ยื่นรูปนักแสดงให้อยู่เหมือนกัน ซึ่งพอเจออย่างนั้นก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจเรื่องศัลยกรรมกันใหม่-ตั้งแต่ต้น "ความคิดของคนเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมคืออะไร..." หมอถาม "ทำให้สวยขึ้น" เราตอบอย่างมั่นใจ แต่หมอได้ยินแล้วส่ายหน้า บอกว่าผิด "คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าศัลยกรรมจะทำให้เป็นคนใหม่ ซึ่งไม่ใช่ ความจริงศัลยกรรมก็เหมือนบ้านที่หลังคารั่ว ก็ต้องซ่อมเพื่อให้อยู่สบาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนหลังคาทั้งหมด ศัลยกรรมไม่ใช่การทำให้เราสวยขึ้น ไม่ใช่การทำเพื่อให้คนอื่นมอง ไม่ใช่ทำให้เหมือนดารา ศัลยกรรมเป็นแค่การแต่งหน้าที่ทำให้เราดูดี เหมือนหน้ามีปัญหาแล้วแก้ไข" ไม่ใช่ว่าจริงๆ แล้วทุกอย่างก็ดูดีอยู่ แต่เจ้าของไม่ชอบใจ อยากสวยเหมือนดาราที่เห็นในซีรี่ส์แล้วมาทำ "ที่จริงพวกนั้นไม่ได้ทำศัลยกรรมกันเยอะนะ" คุณหมอบอก โดยว่าอย่างมากพวกเธออาจจะมาทำตาที่เล็ก ตาที่มีชั้นเดียวให้เป็น 2 ชั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจิ๊บๆ ใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็เสร็จ มีบ้างที่มาทำจมูกให้โด่ง หรือทำให้หน้าตึง ไร้รอยเหี่ยวย่น "คนชอบคิดว่าเมื่อก่อนดาราไม่สวย แต่เดี๋ยวนี้สวย เพราะศัลยกรรม ซึ่งไม่จริง เพราะถ้าเมื่อก่อนไม่สวย เดี๋ยวนี้ก็สวยไม่ได้ แต่เป็นเพราะเบสิคเขาสวยมาแล้ว มาแก้นิดเดียวก็ดูดี เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดว่าเขาสวยเพราะศัลยกรรม มันไม่ใช่" ไม่เพียงแต่เรื่อง "เบสิค" เท่านั้น คุณหมอยังว่าความจริงอีกอย่างที่ต้องคำนึงถึง คือคนแต่ละคนโครงหน้าไม่เหมือนกัน ด้วยต่างคนต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การที่เราจะเป็นเหมือนคนอื่นจึงเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง "แล้วการทำศัลยกรรม ไม่ใช่มาทำเพราะเราไม่สวย แต่สวยคนละแบบ หมอจริงๆ ควรดูว่าสำหรับคุณควรแก้ตรงไหน อย่างไร ไม่ใช่คุณบอกว่าอยากได้แบบไหน ถือรูปไปให้แล้วเขาก็ทำแบบนั้น ถ้าไปเจอประเภทนี้ เปลี่ยนคนดีกว่า นั่นไม่ใช่หมอ" ไม่ใช่จริงๆ เขาย้ำ เป็น "ไม่ใช่" แบบเดียวกับความเข้าใจของคนทั่วไปที่คิดว่า คนเกาหลีร้อยทั้งร้อยผ่านมีดหมอเพื่อสวยมาทั้งนั้น หรือเรื่องที่พ่อแม่ชาวเกาหลีเตรียมของขวัญวันเรียนจบเป็นสตางค์ให้ลูกไปทำศัลยกรรมก็ไม่ถูก ทั้งหมดเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนด้วยการตีความจากสื่อที่นำเสนอ-นี่หมอบอก อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า มีคนเกาหลีจำนวนหนึ่งที่ทำศัลยกรรมจริง โดย 70% ของจำนวนนั้นมักทำตาให้เป็น 2 ชั้น กับทำจมูกให้โด่งขึ้น เขาซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องศัลยกรรมดวงตา ก็เคยทำตาให้สาวๆ มาแล้วถึง 15,000 คน แน่นอนในจำนวนนั้นไม่ใช่คนเกาหลีทั้งหมด คนต่างชาติก็มีเยอะ โดยในส่วนของต่างชาตินั้นระยะหลังเขาพบประเภทที่มาทัวร์เพื่อทำศัลยกรรมโดยเฉพาะมากขึ้น คนไทยเองก็มี แต่ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ในฐานะหมอศัลยกรรม นพ.จอง อิน ซอน ขอฝากข้อความทิ้งท้ายไว้ว่า "สำหรับคนที่คิดจะมาทัวร์ศัลยกรรม เรื่องฝีมือสำคัญมาก ของอย่างนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้ มันไม่ใช่การทำขนมปังนะ ถ้าจะทำก็เช็คให้ดีว่าทำกับใคร ฝีมือขนาดไหน ประสบการณ์เป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือความคิดของตัวเอง ห้ามคิดว่าการทำศัลยกรรมคือการปรับเป็นคนใหม่ เพราะศัลยกรรมคือเสริม ไม่ใช่เปลี่ยน" ไม่ใช่เราเป็นเราอยู่ดีๆ แล้วจะมีหน้าตาเหมือนดาราเกาหลีได้ "คิดเสียให้ดีก่อนเสียเงินเรือนแสนซื้อทัวร์"
Create Date : 04 มีนาคม 2553 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2553 0:03:36 น. |
| |
Counter : 317 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
beaushi |
|
|
|
|