บทความสั้นๆ ของ อ.ฉันทฤทธิ์วิโรจน์ศิริ สถาปนิก และนักผังเมืองอาวุโส ที่ให้แนวความคิดเกี่ยวกับทำเลที่ตั้งของกลุ่มอาคารศาลฎีกาในปัจจุบัน พร้อมทั้งเสนอแนะในมุมมองของนักวิชาการทางด้านผังเมืองและสถาปนิกนักออกแบบ
เข้าสู่บทความครับ
Copy//ในฐานะประชาชนและสถาปนิกคนหนึ่งผมขออนุญาตนำเรียนเสนอในที่นี้ต่อศาลฎีกาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมสูงสุดแห่งชาติสยามในกรณีที่ตั้งของศาลฎีกาซึ่งปัจจุบันกำลังดำเนินการอยู่บนพื้นที่ด้านทิศตะวันออกของสนามหลวงอันเคยเป็นพื้นที่ตั้งศาลต่างๆของกรุงรัตนโกสินทร์และต่อมาก็ได้มีการย้ายไปสู่ที่ตั้งยังตำแหน่งต่างๆเพื่อให้เหมาะแก่สภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่หยุดยั้งของกรุงเทพมหานคร
ในบริบทพัฒนาการของประเทศที่ตั้งของศาลอันเคยประกอบไปด้วยศาลระดับแผนกต่างๆ ณใจกลางกรุงรัตนโกสินทร์แห่งนี้ได้กลายเป็นตำแหน่งที่มีปัญหาการจราจรคับคั่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่มาเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวังซึ่งบุรพกษัตริย์ได้ทรงสร้างขึ้นไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ และต่อมาความคับคั่งของพื้นที่บริเวณนี้ก็ได้เป็นเหตุผลทำให้แม้องค์กษัตริย์รัชกาลต่อๆก็มาทรงพระกรุณาโปรดให้ย้ายที่ประทับออกไปสู่พื้นที่มีความเหมาะสมมากกว่านอกเกาะกรุงรัตนโกสินทร์และต่อมาหน่วยราชการอื่นๆที่เคยตั้งอยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง เช่น กระทรวงกลาโหมกรมรักษาดินแดน ฯลฯ ก็ได้ย้ายออกไปสู่ที่ตั้งใหม่ที่เหมาะสมกว่าทำให้บริเวณนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก
ผมมีความวิตกกังวลว่า การอยู่ตรงนี้จะเป็นข้อจำกัดแก่กิจกรรมของศาลเป็นอันมากที่เมื่อกาลเวลาผ่านไปได้มีความต้องการพื้นที่มากขึ้นเพื่อให้เหมาะสมแก่ขนาดองค์กรที่ต้องพัฒนาไปตามความเจริญเติบโตของจำนวนประชากรของประเทศกิจกรรมของศาลหากตั้งอยู่ที่ตรงนี้ย่อมจะต้องประสบกับปัญหาผลกระทบจากการจราจรที่คับคั่งอยู่มากขึ้นตลอดเวลาในบริเวณทั้งยังจะเป็นปัญหาอย่างยิ่งแก่การรักษาความปลอดภัยในกรณีที่อาจเกิดเหตุแย่งชิงตัวผู้ต้องหาในขณะมาศาลซึ่งในอดีตก็ได้เคยเกิดขึ้นในบริเวณนี้มาแล้วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นกรณีของศาลสูงสุด ซึ่งมีผลสุดท้ายต่อความเป็นความตายของผู้ต้องหาซึ่งย่อมจะยอมเสียได้ทุกอย่างเพื่อโอกาสของตน
ผมขออนุญาตเรียนเสนอว่าที่ตั้งของศาลฎีกาแห่งใหม่นี้หากได้มีการทบทวนพิจารณาไปอยู่บริเวณศูนย์ราชการที่แจ้งวัฒนะน่าจะเหมาะสมที่สุดเพราะเป็นที่ตั้งของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกระทรวงยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว การไปตั้งอยู่ ณบริเวณนี้ของศาลฎีกาจะเป็นการเพิ่มพูนความสำคัญและเป็นสง่าราศีให้แก่ศูนย์ราชการหลักของประเทศอีกด้วย
ผมใคร่ขอเสนอความเห็นว่าที่ตรงนี้ควรจะพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ระบบยุติธรรมของประเทศไทยเพื่อให้เป็นแหล่งให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์กฎหมายความเป็นมาของระบบยุติธรรมของประเทศและจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมที่มีคุณค่าและเหมาะสมอย่างยิ่งต่อบริบทของการท่องเที่ยวของพื้นที่บริเวณนี้ทั้งยังจะเป็นเกียรติคุณแก่ศาลเป็นอย่างสูงยิ่งที่ได้มอบมรดกแห่งศิลปวัฒนธรรมด้านนี้ให้แก่ประเทศชาติให้ประชาชนชาวไทยได้เรียนรู้ความเป็นมาของพัฒนาการระบบยุติธรรมของประเทศไทยที่ต้องฝ่าฟันต่อสู้มาในรัชสมัยต่างๆของบุรพกษัตริย์กว่าที่ประเทศไทยจะได้อยู่รอดปลอดภัยจากการคุกคามของมหาอำนาจผู้ล่าอาณานิคมได้มีเอกราชทางศาลอย่างสมเกียรติและศักดิ์ศรีเทียบเท่านานาอารยะประเทศในโลกให้ผู้คนได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัตริย์เหล่านั้นผู้ได้ทรงทุ่มเทต่อสู้มาอย่างหนักหนาสาหัสเพื่อประทานความร่มเย็นเป็นสุขและเสรีภาพต่อพศกนิกรของพระองค์
จึงขอเรียนมาด้วยความเคารพอย่างสูงกระผมหวังเป็นอย่างยิ่งต่อการได้รับพิจารณาจากศาลในความเห็นเสนอแนะจากประชาชนคนหนึ่ง
ฉันทฤทธิ์ วิโรจน์ศิริ
Jobb Virochsiri
มกราคม 2556
อ้างอิงลิ้งก์ บน Facebook
Thai Heritage มรดกศิลปวัฒนธรรมไทย
//www.facebook.com/photo.php?fbid=142482795910076&set=a.142482792576743.32556.141971419294547&type=1&theater
ผมเป็นทนายมา 20 ปีแล้ว ทราบดีว่าศาลฎีกาเป็นศาลที่ทนายไม่ติดต่อ เพราะการฎีกาทำที่ศาลชั้นต้น ยกเว้นคดีอาญาของนักการเมือง