ทัศนคติคือสิ่งเล็กๆ ที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

บล็อกบำบัด



ตั้งใจเขียนบล็อกหลังจากไม่ได้เขียนมาหลายวัน...

วันนี้พระอาทิตย์ตกที่นาข้าวสวยมาก
ลมหนาวมาแล้ว พัดเอากลิ่นหอมของข้าวที่แก่แตกรวงฟุ้งตลบสองข้างทาง
อีกไม่นานทุ่งรวงทองจะกลายเป็นซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยว
ผืนนาจะว่างเปล่า รอฝน...รอการไถ รอการหว่าน รอด้วยความหวังอีกครั้ง
ทุกอย่างดูสงบเงียบสวยงามที่ตรงนั้น ผมยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน...
รับรู้ถึงความสงบ ความสวยงามของธรรมชาติและวิถีชีวิต
โลกควรเป็นอย่างนี้ แต่ความจริง โลกไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย...

ทุกอย่างบนโลกเวลานี้ดูวุ่นวายสุดๆ...เราตกเป็นทาสของข่าวสารตั้งแต่เมื่อไหร่?

เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ข่าวสารหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ...
กรอกหู ผ่านตา ทะลุความรู้สึกทุกวันและทั้งวัน
หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา ใบปลิว เสียงตามสาย ฟอร์เวิร์ดเมลล์
เรื่องที่ไม่อยากรับรู้ก็ต้องรับรู้....

ยังจำความรู้สึกตอนไปเที่ยวแถบยุโรป
15 วันแม้ดูไม่นาน..หากเป็นเวลาที่ยาวนานในการที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไร
ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนไม่สนใจโลก สังคม ผู้คน
หรือเป็นพวกสุขนิยมที่รักแต่จะรับรู้เรื่องดีๆให้ผ่านหูผ่านตา...
แต่ว่า ทุกวันนี้ผมคิดว่า เรื่องหนักๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่ควรเกิด...
มันมีมากมายเกินกว่าที่เราจะรับรู้มาใส่ใจได้ทั้งหมด

ความสามารถในการรับรู้เรื่องราวทั้งดีและไม่ดีของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด
เวลาเรื่องแย่ๆผ่านเข้ามาให้รับรู้มากมายย่อมทำให้เราจิตตก
เวลาเรื่องดีๆผ่านเข้ามาให้รับรู้มากมายก็อาจทำให้เราสำลักความสุข
และจมอยู่กับมันจนหลงลืมโลกแห่งความเป้นจริงไปได้ง่ายๆ....
ว่าเหรียญมีสองด้าน ...
ว่าพระอาทิตย์มีขึ้นมีตก ...

การเขียนบล็อก เขียนบันทึก เป็นทางออกอย่างหนึ่ง
ให้เราได้มีเวลานั่งคุยกับตัวเอง
และกลับมาดูว่า เราเคยคุยอะไรกับตัวเองได้เสมอ...
"บล็อกบำบัดหัวใจ" ได้ - ผมเชื่ออย่านั้น




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551   
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 22:07:33 น.   
Counter : 346 Pageviews.  

People Make It Happen....



25-30 กรกฎาคม 2551...

"ความสวย ชัยชนะ ความสำเร็จ เป็นของชั่วคราว
ความงาม ความดี และความถูกต้องเป็นของถาวร"
รศ.ดร.นิกร วัฒนพนม


บทสรุปปิดท้ายจากการสัมมนาช่วงหนึ่ง
ในห้องบรรยายที่บรรยากาศเงียบ สงบ และอากาศเย็นเฉียบ
ไม่มีการพูดคุย ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีการลุกเดินไปมา
สิ่งเหล่านี้ดูจะเป็น "วัฒนธรรม" ที่แข็งแกร่งของการสัมมนาการพัฒนาภาวะผู้นำธุรกิจและชุมชน
ที่นำพาให้ผู้คนจากต่างที่ต่างถิ่นทั่วไทยรวม 49 ชีวิตมารวมกันอยู่ ณ ที่นี้
ศูนย์ฝึกอบรมงานอภิบาล "บ้านผู้หว่าน"
ที่ซึ่งตลอดห้าคืนหกวันสำหรับผม
ชีวิตวนเวียนอยู่เพียงห้องบรรยาย ห้องพัก ห้องทานอาหาร ล็อบบี้และศาลาริมสระน้ำ
และนั่นอาจกลายเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่สงบ ที่ท้าทายของชีวิต....
ที่เราต่างได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้การสร้างภาวะผู้นำ โดยเริ่มจากตนเอง
และเริ่มจากคำถามง่ายๆแต่ทรงพลังว่า
เราคือใคร?
ชีวิตาดำรงอยู่เพื่ออะไร?
ทำมาหากินไปทำไม?
ชีวิตต้องการอะไรในอนาคต?
เราอยู่ตรงไหน?
............................
ทั้งทีแรก ผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เรามาที่นี่ทำไม และมาทำอะไร?

พ้นการบรรยายครึ่งวันแรก
กับวิสัยทัศน์สั้นๆจากผู้ก่อตั้งมูลนิธิแห่งนี้ขึ้นมา
"การสร้างผู้นำที่พึงประสงค์บนพื้นฐานความถูกต้อง"
เท่านั้นเป็นอันเข้าใจ และจากนั้นมา
เราก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากพื้นฐานสามคำหลักๆ ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ เป็นอุดมการณ์ เป็นศรัทธาของมูลนิธิ
นั่นคือ ผู้นำ พึงประสงค์และความถูกต้อง
ในความรู้สึกของผม มูลนิธิฯโดยอาจารย์และทีมงานหลายๆท่านกำลังทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่
คือ "การมีชีวิตที่ดำรงอยู่เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ตนเอง ผู้อื่นและสังคม"
มูลนิธิฯพยายามทำในสิ่งที่ซึ่งผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ละเลย นั่นคือ อุดมการณ์
มูลนิธิไม่ได้รวบรวม"คนดี"มาร่วมสร้างอุดมการณ์เพื่อขับเคลื่อนสังคมที่พึงปราถนา
แต่มูลนิธิรวบรวม"คนที่มีความสามารถในการเป็นคนดี"ให้มาอยู่รวมกัน
และกระตุ้นให้ "คนเหล่านั้น" ได้ขบคิด ตรึกตรองและคิดทบทวนในสองคำถามหลัก
"คุณคือใคร?" และ "คุณดำรงอยู่เพื่ออะไร?"
ซึ่งชัดเจนในตัวคำถามว่า หากเราหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ นั่นย่อมหมายความว่า
เราจะไม่สามารถเป็นผู้นำตนเองได้เช่นกัน
และการที่จะเป็น "ผู้นำ" ผู้อื่นนั้น อาจจะยังไม่ต้องพูดถึง....

หากจะเปรียบห้องประชุมนักบุญโจเซฟ นิตโย ที่มีพวกเราทั้ง 49 ชีวิตรวมกันอยู่....
ห้าคืนหกวันที่ผ่านไป...
ที่นี่คงเหมือนวิหารหลังใหญ่
ที่ซึ่งอาจารย์ เจ้าหน้าที่และผู้ที่ร่วมแรงร่วมใจมาช่วยงานแบบไม่มีค่าตอบแทน
ต่างช่วยกันวาดภาพบนเพดานมหาวิหารให้สวยงามที่สุดโดยใช้แรงบันดาลใจและอุดมการณ์เป็นหลัก
เราผู้มาทีหลัง เมื่อได้เห็นความงามอันวิจิตรตระการตาที่ซึ่งต้องแหงนคอตั้งบ่ามองดู
ใครจะไปล่วงรู้ว่า วันข้างหน้าอาจมีผู้จดจำแรงบันดาลใจและอุดมการณ์ในลักษณะเดียวกัน
ก้าวออกไปสู่โลกกว้างและเขียนภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้อีกนับร้อยนับพันภาพ
.........................

ผมคงจะต้องจดจำความสวยงามของภาพวาดที่มหาวิหารหลังนี้ไว้ในหัวใจ...
ทั้งมั่นใจอยู่ลึกๆว่า
"ปัญญาและความกล้าหาญ"
พรสองสิ่งที่มักขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ
จะเป็นคุณค่าหลัก ในการนำพาให้สามารถยึดถือแรงบันดาลใจและอุดมการณ์ที่สวยงามเหล่านี้
ในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่นและสังคมตลอดไป...




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551   
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 21:49:33 น.   
Counter : 169 Pageviews.  

วินาทีที่มีความหมาย

14 มิถุนายน 2551 , 11.30 น.

เร็วเท่าที่สมองจะมีปัญญาคิดนึก...เป็นความคิดที่ไวกว่าความรู้สึก
เหมือนสมองจะรับรู้ว่า เวลาที่เหลือให้คิดถึงเรื่องราวต่างๆมีเหลือหน่วยนับเป็นเสี้ยววินาที....

เสี้ยววินาทีก่อนที่รถจะพลิกคว่ำเราจะนึกถึงอะไรบ้าง

พ่อ แม่ พี่น้อง คนรัก คนข้างหลังอีกมากมายที่เรายังมีความหมายต่อพวกเขา
เราจะรู้สึกว่าตัวเราเองสูงค่ามากเกินกว่าที่จะจากโลกนี้ไปแบบไม่ทันบอกลา
เราจะรู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่าอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เราจะรู้สึกไม่อยากจากไปไหน
เราจะรู้สึกถึงคุณค่าของเสี้ยววินาทีที่เหลือ แม้วินาทีที่เหลือจะทำได้เพียงวาบความรู้สึกคิดนึก...

ทันทีที่ล้อรถเปลี่ยนผิวสัมผัสจากถนนลาดยางเป็นกรวดลูกรังที่โรยเอาไว้สำหรับซ่อมทาง
วาบนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า ชีวิตกลายเป็นเพียงผงฝุ่นที่ตัวเองคงกอบเอาไว้กับตัวไม่ได้เสียแล้ว
สติเท่าที่มีอาจไม่มีประโยชน์มากเท่ากับสัตชาตญาณในการเอาตัวรอด
เสี้ยววินาทีแบบนั้น "ตาย" กับ "อยู่" เหมือนถูกกั้นกลางเพียงเส้นบางๆ
ตอนรถเสียหลักหมุนมาฟาดกับเสาทางโค้งดังโครมใหญ่
เสียงตัวรถที่หงายท้องเอาหลังคาลงฟาดกับพื้นกลับดังโครมใหญ่ยิ่งกว่า
ก่อนที่รถจะพลิกคว่ำอีกสองตลบพร้อมเสียงกระจกแตกกระจายรอบทิศเหมือนใครเอาลูกระเบิดมายัดใส่...
นาทีนั้นที่รถหมุนคว้าง...เสาไฟใหญ่ตั้งประจันหน้าอยู่
ผมเห็นกับตา...คิดว่าจะเป็นฉากอุบัติเหตุที่สมบูรณ์แบบมากหากจบด้วยการฟาดกับเสาไฟต้นนั้น
แต่อาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าสติและยิ่งใหญ่กว่าสัญชาตญาณ...
อะไรบางอย่างที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่ช่วยให้รถที่ตีลังกามาสองสามตลบและไม่ได้มาจบฉากที่เสาไฟใหญ่ต้นนั้น...

สุภาษิตฝรั่งเศสบทหนึ่งบอกว่า "โชคคือความพร้อมกับโอกาสที่มาบรรจบพบกันพอดี"
เหตุการณ์นาทีชีวิตครั้งนี้สอนผมว่า "อุบัติเหตุคือความประมาทกับโอกาสที่มาบรรจบพบกันพอดี"
14 มิถุนายน 51 ที่ทางหลวงหมายเลข 24 จากแยกปักธงชัยมาแยกโชคชัย
ความประมาทของผมมาบรรจบกับโอกาสที่เหมาะเจาะอย่างยิ่งในการเกิดอุบัติเหตุ
โอกาสที่ว่าคือถนนที่กำลังซ่อมแซมแต่ไม่มีการวางเครื่องหมายแสดงออกถึงการปรับปรุงผิวทางจราจร
อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้น หากผลลัพธ์ที่เกิดมันกลายเป็น "โชค" ที่ผมเองรอดชีวิตมาได้อย่างเหลือเชื่อ
ความพร้อมคือการรัดเข็มขัดนิรภัย โอกาสคือรถที่พลิกคว่ำ สองอย่างนี้มาบรรจบกัน
มันจึงเป็น "โชค" สำหรับผมจริงๆ

ตอนรถหยุดแน่นิ่ง....ลมหายใจยังอยู่ ความรู้สึกยังมี...
ปีนออกจากรถ เวลานั้น..ผมเห็นโลกสวยมากขึ้นเป็นกอง
ยืนดูสภาพรถที่ยับเยิน... นึกขอบคุณที่รถเจ็บแทนเรา รถปกป้องเราจากสิ่งต่างๆภายนอก
ยืนเพ่งมองรถ เหมือนพลทหารไรอันยืนเคารพศพผู้หมวดที่ช่วยชีวิตตัวเองออกจากสนามรบ
ทำให้พลทหารไรอันตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ชีวิตต่อไปบนโลกนี้อย่างดีที่สุด
เป็นวินาทีที่มีความหมาย....ที่ผมรู้สึกว่า
หนึ่งชีวิตคนเรามีค่ามากมายเพียงใด และความมีคุณค่านั้น มันถูกหลอมรวมมาจากความรักของใครต่อใครมากมาย

ใครต่อใครเคยถามกันมากมาย
ผมไม่เคยใส่ใจที่จะหาคำตอบ
"คนเราเกิดมาทำไม?"

วันที่ชีวิตมีทางแยกชัดเจนระหว่าง"การอยู่"และ"การจากไป"
ผมจึงค้นพบคุณค่าอะไรบางอย่างในวินาทีที่มีความหมายนั้น...

เราเกิดมาเพื่ออยู่และใช้ชีวิตให้มีคุณค่าต่อกันและกันจนกว่าตัวเราจะต้องจากไป




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551   
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 21:47:21 น.   
Counter : 184 Pageviews.  

วอลท์ ดิสนีย์-ผู้ใหญ่เป็นเพียงเด็กที่ตัวโตขึ้นเท่านั้น

วอลท์ ดิสนีย์-ผู้ใหญ่เป็นเพียงเด็กที่ตัวโตขึ้นเท่านั้น



“Our greatest natural resource is the minds of our children.”

ทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือ "ความเป็นเด็กในหัวใจ"

วอลท์ ดิสนีย์

เมื่อคืนสมาชิกในกลุ่มหลายคนอาจยังไม่จุใจกับการช้อปปิ้งที่ชินจูกุ

เช้าวันที่อากาศแสนจะเหน็บหนาวในมหานครโตเกียว

หลายคนเลยเลือกที่จะแยกย้ายกันไปตามที่ต่างๆที่ตนเองมั่นหมาย ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นหลุดโลกที่ฮาราจูกุ

ศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อะกิฮาบาร่า สินค้าแบรนด์หรูที่ย่านกินซ่า

รวมถึงย่านเมืองใหม่โอไดบะเพื่อถ่ายภาพสวยๆกับสะพานสายรุ้ง...

แต่กว่าครึ่งของสมาชิกเลือกจุดหมายปลายทางที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์

ดินแดนในฝันของทุกคนที่มีความเป็นเด็กอยู่ในหัวใจ

อย่างที่ลุงวอลท์ ดิสนีย์บอกไว้...ผู้ใหญ่เป็นเพียงเด็กที่ตัวโตขึ้นเท่านั้น

ผมเองก็คล้อยตามเช่นนั้น...เราต่างมีความเป็นเด็กอยู่ในหัวใจ

เวลาที่เหนื่อยล้ากับชีวิตในวัยผู้ใหญ่ การย้อนมองกลับไปถึงความสุขในวัยเด็ก

วัยที่อะไรๆก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้เสมอ วัยที่มองอะไรก็ดูสดใสสวยงาม

วัยที่มองดูอะไรก็บริสุทธิ์จริงใจไร้มารยา .....

วันวัยที่ผ่าน....อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ในชีวิตคนเราหายไป

ใช่หรือไม่ว่า อาจเป็นวิธีการคิดที่ทำให้มองเห็นโลกใบเดิมแตกต่างกันไปในวัยสองวัย..

ผมไม่รู้...แต่เมื่อได้เห็นประโยคสั้นๆประโยคหนึ่งในดินแดนแห่งความฝันแห่งนี้

“Our greatest natural resource is the minds of our children.”

ทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือ "ความเป็นเด็กในหัวใจ"

ก็ได้คำถามดีๆให้กับตัวเองว่า เราหลงเหลือความเป็นเด็กในหัวใจมากน้อยเพียงไหน?"

รวมถึงคำตอบดีๆจากคำถามที่ตัวเองสงสัย อีตอนที่นั่งดูขบวนพาเหรด Christmas ของตัวละครคุณลุงวอลท์ ดิสนีย์

บรรเลงความสุขให้ผู้ชมผ่านรูปปั้นลุงวอลท์ ดิสนีย์ ที่ยืนยิ้มจับมือกับมิคกี้เมาส์ลูกรักอยู่ตรงนั้น

"คุณลุงทำได้ยังไง ดินแดนในฝันที่หลอมรวมให้ทุกคนย้อนกลับมานึกถึงความเป็นเด็กในหัวใจของตนเอง?"

.....................................



ประโยคสั้นๆประโยคนั้น ตอบคำถามที่ผมสงสัยหมดสิ้นแล้ว




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551   
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 21:55:31 น.   
Counter : 208 Pageviews.  

ภาพดีสื่อสิ่งที่เห็น..ภาพดีกว่าสื่อสิ่งที่เป็น...ภาพดีที่สุดสื่อตัวเรา



ตอนที่ได้รับคำเชิญชวนจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ
ในงานสถาปัตย์สัญจรประจำปีที่กำลังรวบรวมสมาชิกไปม่วนซื่นที่หลวงพระบาง
แทบไม่ต้องคิดในการตีตั๋วจองที่นั่งขอติดขบวนไปอย่างใจง่าย..
ด้วยว่าเป็นเมืองในความใฝ่ฝันที่อยากไปสัมผัสมาแต่ครั้งเรียนสถาปัตยกรรม
ด้วยว่าได้ร่วมเดินทางไปกับพี่ๆสถาปนิกใหญ่มากหน้าหลายตา
ด้วยว่ามีวิทยากรระดับคุณจีระนันท์ พิตรปรีชา...
กวีซีไรท์ "ใบไม้ที่หายไป" ที่เป็นจุดกำเนิดให้หลงรักในบทกลอนบทกวี...

เย็นวันหนึ่งปลายฤดูหนาวที่ยอดพูสีใจกลางเมืองหลวงพระบาง
ผมจึงได้มายืนดูแม่น้ำโขงไหลเอื่อยสบกับแม่น้ำคาน ท่ามกลางอ้อมกอดของหุบเขาสลับซับซ้อน...
แม่น้ำสองสายโอบล้อมเมืองน่ารักๆที่เป็นดินแดนแสนสงบ
นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา... ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น กำลังรอชมภาพพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่นี่
ข้างๆผมคือคุณธีรภาพ โลหิตกุล...
นักเขียนสารคดีผู้โด่งดังซึ่งมารับหน้าที่แทนคุณจีระนันท์ พิตรปรีชา ที่ติดธุระด่วนร่วมเดินทางมาไม่ได้..
เรา....ต่างกำลังพยายามคร็อปภาพแห่งความทรงจำที่ดีที่สุดของหลวงพระบาง
คุณธีรภาพบอกว่า การถ่ายภาพเป็นเหมือนการบันทึกความรู้สึกในเวลานั้นๆ
เมื่อเวลาที่เราหยิบภาพเก่าๆที่เราถ่ายเก็บไว้
ภาพเหล่านั้นไม่เพียงเป็นภาพที่สื่อถึงสิ่งที่เห็นด้วยตา...
แต่ต้องสามารถสื่อสิ่งที่เป็นอยู่ในภาพได้อย่างที่ไม่ต้องแต่งเติมคำอธิบายให้มากมาย
เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวเราในเวลานั้นด้วยต่างหาก

ผมถามคุณธีรภาพ..คิดอย่างไรกับประโยคที่ว่า
ถ้าอยากเห็นเชียงใหม่เมื่อสามสิบปีก่อน ให้มาดูที่หลวงพระบาง...
ไม่มีความคิดเห็นกับประเด็นนี้ นอกจากบอกว่า
แกรักความเป็นล้านช้างของหลวงพระบาง และชื่นชอบความเป็นล้านนาของเชียงใหม่อย่างมากเช่นกัน
ไม่ได้สนใจว่า สามสิบปีก่อนเชียงใหม่เป็นเช่นไร รู้แต่ว่าในคูเมืองเชียงใหม่มีอะไรดีๆแอบซ่อนอยู่มากมาย...
แล้วถามผมกลับด้วยคำถามเดียวกัน
ผมตอบว่า มันเป็นเพียงการพูดเพื่อการเปรียบเปรย
ความเป็นจริง...แต่ละเมืองมีเสน่ห์ มีรูปแบบความเป็นเมืองในแบบของตัวเอง
ตอบให้ชัดๆ ผมคิดว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเปรียบเปรยอย่างนั้น
ถ้าอยากเห็นเชียงใหม่เมื่อสามสิบปีก่อน ก็ควรไปดูรูปภาพเชียงใหม่เมื่อสามสิบปีก่อน
และมองให้เห็นสิ่งที่เห็น สิ่งที่เป็น และอารมณ์ที่ต้องการสื่อของภาพถ่ายนั้นๆน่าจะดีกว่า

หลวงพระบางคือหลวงพระบาง และเชียงใหม่ก็คือเชียงใหม่...



ตอนลั่นชัตเตอร์ภาพส่งท้ายวันของหลวงพระบาง
ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า
อีกสามสิบปีข้างหน้า ภาพที่เพิ่งถ่าย...
จะสื่อความหมายในตัวมัน
และอธิบายความรู้สึกในตัวเราได้ดีเพียงใด

เมื่อวันนั้นเดินทางมาถึง...




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551   
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 21:37:19 น.   
Counter : 182 Pageviews.  

1  2  3  

คีตกวี
Location :
สุรินทร์ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add คีตกวี's blog to your web]