|
บล็อกบำบัด
ตั้งใจเขียนบล็อกหลังจากไม่ได้เขียนมาหลายวัน... วันนี้พระอาทิตย์ตกที่นาข้าวสวยมาก ลมหนาวมาแล้ว พัดเอากลิ่นหอมของข้าวที่แก่แตกรวงฟุ้งตลบสองข้างทาง อีกไม่นานทุ่งรวงทองจะกลายเป็นซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยว ผืนนาจะว่างเปล่า รอฝน...รอการไถ รอการหว่าน รอด้วยความหวังอีกครั้ง ทุกอย่างดูสงบเงียบสวยงามที่ตรงนั้น ผมยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน... รับรู้ถึงความสงบ ความสวยงามของธรรมชาติและวิถีชีวิต โลกควรเป็นอย่างนี้ แต่ความจริง โลกไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย... ทุกอย่างบนโลกเวลานี้ดูวุ่นวายสุดๆ...เราตกเป็นทาสของข่าวสารตั้งแต่เมื่อไหร่? เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ข่าวสารหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ... กรอกหู ผ่านตา ทะลุความรู้สึกทุกวันและทั้งวัน หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา ใบปลิว เสียงตามสาย ฟอร์เวิร์ดเมลล์ เรื่องที่ไม่อยากรับรู้ก็ต้องรับรู้.... ยังจำความรู้สึกตอนไปเที่ยวแถบยุโรป 15 วันแม้ดูไม่นาน..หากเป็นเวลาที่ยาวนานในการที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไร ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนไม่สนใจโลก สังคม ผู้คน หรือเป็นพวกสุขนิยมที่รักแต่จะรับรู้เรื่องดีๆให้ผ่านหูผ่านตา... แต่ว่า ทุกวันนี้ผมคิดว่า เรื่องหนักๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่ควรเกิด... มันมีมากมายเกินกว่าที่เราจะรับรู้มาใส่ใจได้ทั้งหมด ความสามารถในการรับรู้เรื่องราวทั้งดีและไม่ดีของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด เวลาเรื่องแย่ๆผ่านเข้ามาให้รับรู้มากมายย่อมทำให้เราจิตตก เวลาเรื่องดีๆผ่านเข้ามาให้รับรู้มากมายก็อาจทำให้เราสำลักความสุข และจมอยู่กับมันจนหลงลืมโลกแห่งความเป้นจริงไปได้ง่ายๆ.... ว่าเหรียญมีสองด้าน ... ว่าพระอาทิตย์มีขึ้นมีตก ... การเขียนบล็อก เขียนบันทึก เป็นทางออกอย่างหนึ่ง ให้เราได้มีเวลานั่งคุยกับตัวเอง และกลับมาดูว่า เราเคยคุยอะไรกับตัวเองได้เสมอ... "บล็อกบำบัดหัวใจ" ได้ - ผมเชื่ออย่านั้น
Create Date : 25 ตุลาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 22:07:33 น. |
| |
Counter : 346 Pageviews. |
| |
|
|
|
People Make It Happen....
25-30 กรกฎาคม 2551... "ความสวย ชัยชนะ ความสำเร็จ เป็นของชั่วคราว ความงาม ความดี และความถูกต้องเป็นของถาวร" รศ.ดร.นิกร วัฒนพนม บทสรุปปิดท้ายจากการสัมมนาช่วงหนึ่ง ในห้องบรรยายที่บรรยากาศเงียบ สงบ และอากาศเย็นเฉียบ ไม่มีการพูดคุย ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีการลุกเดินไปมา สิ่งเหล่านี้ดูจะเป็น "วัฒนธรรม" ที่แข็งแกร่งของการสัมมนาการพัฒนาภาวะผู้นำธุรกิจและชุมชน ที่นำพาให้ผู้คนจากต่างที่ต่างถิ่นทั่วไทยรวม 49 ชีวิตมารวมกันอยู่ ณ ที่นี้ ศูนย์ฝึกอบรมงานอภิบาล "บ้านผู้หว่าน" ที่ซึ่งตลอดห้าคืนหกวันสำหรับผม ชีวิตวนเวียนอยู่เพียงห้องบรรยาย ห้องพัก ห้องทานอาหาร ล็อบบี้และศาลาริมสระน้ำ และนั่นอาจกลายเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่สงบ ที่ท้าทายของชีวิต.... ที่เราต่างได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้การสร้างภาวะผู้นำ โดยเริ่มจากตนเอง และเริ่มจากคำถามง่ายๆแต่ทรงพลังว่า เราคือใคร? ชีวิตาดำรงอยู่เพื่ออะไร? ทำมาหากินไปทำไม? ชีวิตต้องการอะไรในอนาคต? เราอยู่ตรงไหน? ............................ ทั้งทีแรก ผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เรามาที่นี่ทำไม และมาทำอะไร? พ้นการบรรยายครึ่งวันแรก กับวิสัยทัศน์สั้นๆจากผู้ก่อตั้งมูลนิธิแห่งนี้ขึ้นมา "การสร้างผู้นำที่พึงประสงค์บนพื้นฐานความถูกต้อง" เท่านั้นเป็นอันเข้าใจ และจากนั้นมา เราก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากพื้นฐานสามคำหลักๆ ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ เป็นอุดมการณ์ เป็นศรัทธาของมูลนิธิ นั่นคือ ผู้นำ พึงประสงค์และความถูกต้อง ในความรู้สึกของผม มูลนิธิฯโดยอาจารย์และทีมงานหลายๆท่านกำลังทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือ "การมีชีวิตที่ดำรงอยู่เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ตนเอง ผู้อื่นและสังคม" มูลนิธิฯพยายามทำในสิ่งที่ซึ่งผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ละเลย นั่นคือ อุดมการณ์ มูลนิธิไม่ได้รวบรวม"คนดี"มาร่วมสร้างอุดมการณ์เพื่อขับเคลื่อนสังคมที่พึงปราถนา แต่มูลนิธิรวบรวม"คนที่มีความสามารถในการเป็นคนดี"ให้มาอยู่รวมกัน และกระตุ้นให้ "คนเหล่านั้น" ได้ขบคิด ตรึกตรองและคิดทบทวนในสองคำถามหลัก "คุณคือใคร?" และ "คุณดำรงอยู่เพื่ออะไร?" ซึ่งชัดเจนในตัวคำถามว่า หากเราหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ นั่นย่อมหมายความว่า เราจะไม่สามารถเป็นผู้นำตนเองได้เช่นกัน และการที่จะเป็น "ผู้นำ" ผู้อื่นนั้น อาจจะยังไม่ต้องพูดถึง.... หากจะเปรียบห้องประชุมนักบุญโจเซฟ นิตโย ที่มีพวกเราทั้ง 49 ชีวิตรวมกันอยู่.... ห้าคืนหกวันที่ผ่านไป... ที่นี่คงเหมือนวิหารหลังใหญ่ ที่ซึ่งอาจารย์ เจ้าหน้าที่และผู้ที่ร่วมแรงร่วมใจมาช่วยงานแบบไม่มีค่าตอบแทน ต่างช่วยกันวาดภาพบนเพดานมหาวิหารให้สวยงามที่สุดโดยใช้แรงบันดาลใจและอุดมการณ์เป็นหลัก เราผู้มาทีหลัง เมื่อได้เห็นความงามอันวิจิตรตระการตาที่ซึ่งต้องแหงนคอตั้งบ่ามองดู ใครจะไปล่วงรู้ว่า วันข้างหน้าอาจมีผู้จดจำแรงบันดาลใจและอุดมการณ์ในลักษณะเดียวกัน ก้าวออกไปสู่โลกกว้างและเขียนภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้อีกนับร้อยนับพันภาพ ......................... ผมคงจะต้องจดจำความสวยงามของภาพวาดที่มหาวิหารหลังนี้ไว้ในหัวใจ... ทั้งมั่นใจอยู่ลึกๆว่า "ปัญญาและความกล้าหาญ" พรสองสิ่งที่มักขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ จะเป็นคุณค่าหลัก ในการนำพาให้สามารถยึดถือแรงบันดาลใจและอุดมการณ์ที่สวยงามเหล่านี้ ในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่นและสังคมตลอดไป...
Create Date : 25 ตุลาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 21:49:33 น. |
| |
Counter : 169 Pageviews. |
| |
|
|
|
วินาทีที่มีความหมาย
14 มิถุนายน 2551 , 11.30 น. เร็วเท่าที่สมองจะมีปัญญาคิดนึก...เป็นความคิดที่ไวกว่าความรู้สึก เหมือนสมองจะรับรู้ว่า เวลาที่เหลือให้คิดถึงเรื่องราวต่างๆมีเหลือหน่วยนับเป็นเสี้ยววินาที.... เสี้ยววินาทีก่อนที่รถจะพลิกคว่ำเราจะนึกถึงอะไรบ้าง พ่อ แม่ พี่น้อง คนรัก คนข้างหลังอีกมากมายที่เรายังมีความหมายต่อพวกเขา เราจะรู้สึกว่าตัวเราเองสูงค่ามากเกินกว่าที่จะจากโลกนี้ไปแบบไม่ทันบอกลา เราจะรู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่าอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน เราจะรู้สึกไม่อยากจากไปไหน เราจะรู้สึกถึงคุณค่าของเสี้ยววินาทีที่เหลือ แม้วินาทีที่เหลือจะทำได้เพียงวาบความรู้สึกคิดนึก... ทันทีที่ล้อรถเปลี่ยนผิวสัมผัสจากถนนลาดยางเป็นกรวดลูกรังที่โรยเอาไว้สำหรับซ่อมทาง วาบนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า ชีวิตกลายเป็นเพียงผงฝุ่นที่ตัวเองคงกอบเอาไว้กับตัวไม่ได้เสียแล้ว สติเท่าที่มีอาจไม่มีประโยชน์มากเท่ากับสัตชาตญาณในการเอาตัวรอด เสี้ยววินาทีแบบนั้น "ตาย" กับ "อยู่" เหมือนถูกกั้นกลางเพียงเส้นบางๆ ตอนรถเสียหลักหมุนมาฟาดกับเสาทางโค้งดังโครมใหญ่ เสียงตัวรถที่หงายท้องเอาหลังคาลงฟาดกับพื้นกลับดังโครมใหญ่ยิ่งกว่า ก่อนที่รถจะพลิกคว่ำอีกสองตลบพร้อมเสียงกระจกแตกกระจายรอบทิศเหมือนใครเอาลูกระเบิดมายัดใส่... นาทีนั้นที่รถหมุนคว้าง...เสาไฟใหญ่ตั้งประจันหน้าอยู่ ผมเห็นกับตา...คิดว่าจะเป็นฉากอุบัติเหตุที่สมบูรณ์แบบมากหากจบด้วยการฟาดกับเสาไฟต้นนั้น แต่อาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าสติและยิ่งใหญ่กว่าสัญชาตญาณ... อะไรบางอย่างที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่ช่วยให้รถที่ตีลังกามาสองสามตลบและไม่ได้มาจบฉากที่เสาไฟใหญ่ต้นนั้น... สุภาษิตฝรั่งเศสบทหนึ่งบอกว่า "โชคคือความพร้อมกับโอกาสที่มาบรรจบพบกันพอดี" เหตุการณ์นาทีชีวิตครั้งนี้สอนผมว่า "อุบัติเหตุคือความประมาทกับโอกาสที่มาบรรจบพบกันพอดี" 14 มิถุนายน 51 ที่ทางหลวงหมายเลข 24 จากแยกปักธงชัยมาแยกโชคชัย ความประมาทของผมมาบรรจบกับโอกาสที่เหมาะเจาะอย่างยิ่งในการเกิดอุบัติเหตุ โอกาสที่ว่าคือถนนที่กำลังซ่อมแซมแต่ไม่มีการวางเครื่องหมายแสดงออกถึงการปรับปรุงผิวทางจราจร อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้น หากผลลัพธ์ที่เกิดมันกลายเป็น "โชค" ที่ผมเองรอดชีวิตมาได้อย่างเหลือเชื่อ ความพร้อมคือการรัดเข็มขัดนิรภัย โอกาสคือรถที่พลิกคว่ำ สองอย่างนี้มาบรรจบกัน มันจึงเป็น "โชค" สำหรับผมจริงๆ ตอนรถหยุดแน่นิ่ง....ลมหายใจยังอยู่ ความรู้สึกยังมี... ปีนออกจากรถ เวลานั้น..ผมเห็นโลกสวยมากขึ้นเป็นกอง ยืนดูสภาพรถที่ยับเยิน... นึกขอบคุณที่รถเจ็บแทนเรา รถปกป้องเราจากสิ่งต่างๆภายนอก ยืนเพ่งมองรถ เหมือนพลทหารไรอันยืนเคารพศพผู้หมวดที่ช่วยชีวิตตัวเองออกจากสนามรบ ทำให้พลทหารไรอันตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ชีวิตต่อไปบนโลกนี้อย่างดีที่สุด เป็นวินาทีที่มีความหมาย....ที่ผมรู้สึกว่า หนึ่งชีวิตคนเรามีค่ามากมายเพียงใด และความมีคุณค่านั้น มันถูกหลอมรวมมาจากความรักของใครต่อใครมากมาย ใครต่อใครเคยถามกันมากมาย ผมไม่เคยใส่ใจที่จะหาคำตอบ "คนเราเกิดมาทำไม?" วันที่ชีวิตมีทางแยกชัดเจนระหว่าง"การอยู่"และ"การจากไป" ผมจึงค้นพบคุณค่าอะไรบางอย่างในวินาทีที่มีความหมายนั้น... เราเกิดมาเพื่ออยู่และใช้ชีวิตให้มีคุณค่าต่อกันและกันจนกว่าตัวเราจะต้องจากไป
Create Date : 25 ตุลาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 21:47:21 น. |
| |
Counter : 184 Pageviews. |
| |
|
|
|
วอลท์ ดิสนีย์-ผู้ใหญ่เป็นเพียงเด็กที่ตัวโตขึ้นเท่านั้น
วอลท์ ดิสนีย์-ผู้ใหญ่เป็นเพียงเด็กที่ตัวโตขึ้นเท่านั้น
Our greatest natural resource is the minds of our children.
ทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือ "ความเป็นเด็กในหัวใจ"
วอลท์ ดิสนีย์
เมื่อคืนสมาชิกในกลุ่มหลายคนอาจยังไม่จุใจกับการช้อปปิ้งที่ชินจูกุ
เช้าวันที่อากาศแสนจะเหน็บหนาวในมหานครโตเกียว
หลายคนเลยเลือกที่จะแยกย้ายกันไปตามที่ต่างๆที่ตนเองมั่นหมาย ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นหลุดโลกที่ฮาราจูกุ
ศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อะกิฮาบาร่า สินค้าแบรนด์หรูที่ย่านกินซ่า
รวมถึงย่านเมืองใหม่โอไดบะเพื่อถ่ายภาพสวยๆกับสะพานสายรุ้ง...
แต่กว่าครึ่งของสมาชิกเลือกจุดหมายปลายทางที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์
ดินแดนในฝันของทุกคนที่มีความเป็นเด็กอยู่ในหัวใจ
อย่างที่ลุงวอลท์ ดิสนีย์บอกไว้...ผู้ใหญ่เป็นเพียงเด็กที่ตัวโตขึ้นเท่านั้น
ผมเองก็คล้อยตามเช่นนั้น...เราต่างมีความเป็นเด็กอยู่ในหัวใจ
เวลาที่เหนื่อยล้ากับชีวิตในวัยผู้ใหญ่ การย้อนมองกลับไปถึงความสุขในวัยเด็ก
วัยที่อะไรๆก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้เสมอ วัยที่มองอะไรก็ดูสดใสสวยงาม
วัยที่มองดูอะไรก็บริสุทธิ์จริงใจไร้มารยา .....
วันวัยที่ผ่าน....อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ในชีวิตคนเราหายไป
ใช่หรือไม่ว่า อาจเป็นวิธีการคิดที่ทำให้มองเห็นโลกใบเดิมแตกต่างกันไปในวัยสองวัย..
ผมไม่รู้...แต่เมื่อได้เห็นประโยคสั้นๆประโยคหนึ่งในดินแดนแห่งความฝันแห่งนี้
Our greatest natural resource is the minds of our children.
ทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือ "ความเป็นเด็กในหัวใจ"
ก็ได้คำถามดีๆให้กับตัวเองว่า เราหลงเหลือความเป็นเด็กในหัวใจมากน้อยเพียงไหน?"
รวมถึงคำตอบดีๆจากคำถามที่ตัวเองสงสัย อีตอนที่นั่งดูขบวนพาเหรด Christmas ของตัวละครคุณลุงวอลท์ ดิสนีย์
บรรเลงความสุขให้ผู้ชมผ่านรูปปั้นลุงวอลท์ ดิสนีย์ ที่ยืนยิ้มจับมือกับมิคกี้เมาส์ลูกรักอยู่ตรงนั้น
"คุณลุงทำได้ยังไง ดินแดนในฝันที่หลอมรวมให้ทุกคนย้อนกลับมานึกถึงความเป็นเด็กในหัวใจของตนเอง?"
.....................................
ประโยคสั้นๆประโยคนั้น ตอบคำถามที่ผมสงสัยหมดสิ้นแล้ว
Create Date : 25 ตุลาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 21:55:31 น. |
| |
Counter : 208 Pageviews. |
| |
|
|
|
ภาพดีสื่อสิ่งที่เห็น..ภาพดีกว่าสื่อสิ่งที่เป็น...ภาพดีที่สุดสื่อตัวเรา
ตอนที่ได้รับคำเชิญชวนจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ ในงานสถาปัตย์สัญจรประจำปีที่กำลังรวบรวมสมาชิกไปม่วนซื่นที่หลวงพระบาง แทบไม่ต้องคิดในการตีตั๋วจองที่นั่งขอติดขบวนไปอย่างใจง่าย.. ด้วยว่าเป็นเมืองในความใฝ่ฝันที่อยากไปสัมผัสมาแต่ครั้งเรียนสถาปัตยกรรม ด้วยว่าได้ร่วมเดินทางไปกับพี่ๆสถาปนิกใหญ่มากหน้าหลายตา ด้วยว่ามีวิทยากรระดับคุณจีระนันท์ พิตรปรีชา... กวีซีไรท์ "ใบไม้ที่หายไป" ที่เป็นจุดกำเนิดให้หลงรักในบทกลอนบทกวี... เย็นวันหนึ่งปลายฤดูหนาวที่ยอดพูสีใจกลางเมืองหลวงพระบาง ผมจึงได้มายืนดูแม่น้ำโขงไหลเอื่อยสบกับแม่น้ำคาน ท่ามกลางอ้อมกอดของหุบเขาสลับซับซ้อน... แม่น้ำสองสายโอบล้อมเมืองน่ารักๆที่เป็นดินแดนแสนสงบ นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา... ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น กำลังรอชมภาพพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่นี่ ข้างๆผมคือคุณธีรภาพ โลหิตกุล... นักเขียนสารคดีผู้โด่งดังซึ่งมารับหน้าที่แทนคุณจีระนันท์ พิตรปรีชา ที่ติดธุระด่วนร่วมเดินทางมาไม่ได้.. เรา....ต่างกำลังพยายามคร็อปภาพแห่งความทรงจำที่ดีที่สุดของหลวงพระบาง คุณธีรภาพบอกว่า การถ่ายภาพเป็นเหมือนการบันทึกความรู้สึกในเวลานั้นๆ เมื่อเวลาที่เราหยิบภาพเก่าๆที่เราถ่ายเก็บไว้ ภาพเหล่านั้นไม่เพียงเป็นภาพที่สื่อถึงสิ่งที่เห็นด้วยตา... แต่ต้องสามารถสื่อสิ่งที่เป็นอยู่ในภาพได้อย่างที่ไม่ต้องแต่งเติมคำอธิบายให้มากมาย เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวเราในเวลานั้นด้วยต่างหาก ผมถามคุณธีรภาพ..คิดอย่างไรกับประโยคที่ว่า ถ้าอยากเห็นเชียงใหม่เมื่อสามสิบปีก่อน ให้มาดูที่หลวงพระบาง... ไม่มีความคิดเห็นกับประเด็นนี้ นอกจากบอกว่า แกรักความเป็นล้านช้างของหลวงพระบาง และชื่นชอบความเป็นล้านนาของเชียงใหม่อย่างมากเช่นกัน ไม่ได้สนใจว่า สามสิบปีก่อนเชียงใหม่เป็นเช่นไร รู้แต่ว่าในคูเมืองเชียงใหม่มีอะไรดีๆแอบซ่อนอยู่มากมาย... แล้วถามผมกลับด้วยคำถามเดียวกัน ผมตอบว่า มันเป็นเพียงการพูดเพื่อการเปรียบเปรย ความเป็นจริง...แต่ละเมืองมีเสน่ห์ มีรูปแบบความเป็นเมืองในแบบของตัวเอง ตอบให้ชัดๆ ผมคิดว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเปรียบเปรยอย่างนั้น ถ้าอยากเห็นเชียงใหม่เมื่อสามสิบปีก่อน ก็ควรไปดูรูปภาพเชียงใหม่เมื่อสามสิบปีก่อน และมองให้เห็นสิ่งที่เห็น สิ่งที่เป็น และอารมณ์ที่ต้องการสื่อของภาพถ่ายนั้นๆน่าจะดีกว่า หลวงพระบางคือหลวงพระบาง และเชียงใหม่ก็คือเชียงใหม่...
ตอนลั่นชัตเตอร์ภาพส่งท้ายวันของหลวงพระบาง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า อีกสามสิบปีข้างหน้า ภาพที่เพิ่งถ่าย... จะสื่อความหมายในตัวมัน และอธิบายความรู้สึกในตัวเราได้ดีเพียงใด เมื่อวันนั้นเดินทางมาถึง...
Create Date : 25 ตุลาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 21:37:19 น. |
| |
Counter : 182 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
คีตกวี |
|
|
|
|