spooky161
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add spooky161's blog to your web]
Links
 

 

แม่ฮ่องสอน (21/10/2004)

ในที่สุดทริปแม่ฮ่องสอนแห่งการรอคอยก็ได้มาถึงซะที วางแพลนมานานมาก อยากมาเต็มที่เพราะดูรูปที่คนอื่นเค้าถ่ายมาแล้วมันสวยมากๆ คราวนี้จะได้เที่ยวเองแล้ว

การเดินทางเริ่มขึ้นโดยสายการบินแอร์เอเชีย นั่งไปลงเชียงใหม่ เสร็จแล้วก็นั่งรถจากสนามบินไปท่ารถอาเขตตอนแรกว่าจะไปรถเมล์แต่เที่ยวกลับเต็มต้องรอถึง 11 โมง คิดไปคิดมาถ้ารอถึง 11 โมงกว่าจะไปถึงแม่ฮ่องสอนได้คงค่ำเลยตัดใจไปรถตู้ซึ่งเหมาไปกับคนอื่นๆไปลงที่ปาย นั่งไปประมาณเกือบ 3 ชม.ก็ถึงปายพอดี แต่จากนี้ล่ะ ที่ต้องนั่งรถเมล์จากปายไปลงแม่ฮ่องสอน กว่าจะได้ไปถึงแม่ฮ่องสอนก็รวมเบ็ดเสร็จ 6 ชม. ไปถึงก็เย็นพอดี พวกเราก็เข้าเช็คอินที่รีสอร์ทเลยเพราะเหนื่อยเต็มที

รีสอร์ทนี้ออกจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไปไม่กี่กิโลแต่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ รีสอร์ทชื่อเฟิร์นริมธาร อาหารอร่อยโคตรๆ



ที่รีสอร์ทนี้จะมีนาข้าวอยู่ในรีสอร์ทด้วย เค้าก็เข้าใจสร้างบรรยากาศดีนะ









หมดวันแรกของการเดินทาง พวกเราก็พักเอาแรงไว้ลุยต่อวันรุ่งขึ้น

วันที่สอง วันนี้เราเช่ารถพร้อมคนขับราคา 1200 บาท (ไม่รวมน้ำมัน) ให้พาเราไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ที่แรกที่พลาดไม่ได้ก็นี่เลย ถ้ำน้ำแข็ง ถ้ำนี้ต้องนั่งรถจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนมาอีก 3 ชม.





พอเที่ยวถ้ำเสร็จเราก็ย้อนกลับมาทางเดินเพื่อมาที่ดอยแม่อูคอหรือที่เรียกอีกชื่อนึงว่าทุ่งดอกบัวตอง แต่ช่วงที่มาเร็วไปนิดนึงดอกบัวตองยังไม่บาน ถ้ารอกลางพ.ย.คงได้เห็นดอกบานสะพรั่งเต็มดอยไปหมด

วิวที่ดอยแม่อูคอ



เราก็เลยขับเลยเข้าไปเที่ยวน้ำตกแม่สุรินท์รกัน เป็นน้ำตกที่ยาวที่สุดในประเทศไทย



วิวข้างทางส่วนมากก็จะเป็นทุ่งนา





พอกลับมาถึงเมืองแม่ฮ่องสอน พี่คนขับเค้าก็พาเราไปที่วัดพระธาตุดอยกองมู อันนี้อยู่ขึ้นเขาไปนิดนึงแต่อยู่ในบริเวณตัวเมือง ถ้ำขึ้นไปที่พระธาตุจะได้เห็นวิวตัวเมืองแม่ฮ่องสอนทั้งหมด





วิวตัวเมืองแม่ฮ่องสอน



แล้วเราก็มาที่วัดหนองจองคำ เป็นวัดในตัวเมือง



แล้วก็หมดวันไปด้วยความประทับใจ

วันที่สองเรานัดให้พี่มนต์สิทธิ์มารับเพื่อไปปายและก็เที่ยวระหว่างทาง พี่มนต์สิทธิ์นี่เป็นตำรวจแต่ให้เช่ารถด้วยเป็นพี่ที่ทางสิบสองพันนาแนะนำมา พี่คนนี้ตลกดี ชวนคุยตลอดทางและก็เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังมากมาย

ที่แรกที่พี่เค้าพาก็ที่หมู่บ้านรักษ์ไทย การจะมาที่หมูบ้านนี้ต้องขับขึ้นเขามาเพราะหมู่บ้านนี้เป็นพวกคนยูนานอยู่ติดชายแดน อาชีพคนที่นี่ก็คือปลูกชาขายแล้วก็มีม้าให้นักท่องเที่ยวเช่านั่งเพื่อชมวิวด้วย ที่นี่ขึ้นชื่อว่าถ้ามาต้องมากินขาหมูหมั่นโถกับน้ำชา เวลาอากาศเย็นๆได้กินชาร้อนๆก็ดีเหมือนกัน

ไร่ชาของที่นี่


บ้านส่วนใหญ่เค้าจะปลูกเป็นบ้านดิน



วิวรอบๆบ้านรักษ์ไทย



บ้านชาวบ้านยูนาน



ลงจากหมู่บ้านรักษ์ไทยเราก็แวะกันที่น้ำตกผาเสื่อ เป็นน้ำตกเล็กๆระหว่างทาง ก่อนกลับก็เห็นเด็กคนนี้วิ่งเตรียมโดดน้ำแล้ว



แล้วเราก็แวะกันที่ถ้ำปลา ถ้ำนี้ก็แปลกดีมันเป็นเหมือนอุโมงค์เล็กๆที่น้ำลอดผ่านแต่ปลาก็ต้องมากระจุกรวมกันที่ตรงในถ้ำนี่แหละไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม





แล้วเราก็มาที่ถ้ำลอดกัน ที่ถ้ำนี้จะมีน้ำไหลผ่านเข้าไปในถ้ำ ตัวถ้ำจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือส่วนแรกถ้ำเสาหิน ถ้ำนี้ต้องนั่งแพข้ามไป ส่วนถ้ำที่สองกับถ้ำที่สามที่เป็นโรงผีแมนเราไม่ได้เข้าไปเพราะช่วงนั้นเป็นหน้าน้ำหลากแพเค้าไม่อยากเข้าไปอันตราย



อันนี้เป็นส่วนของถ้ำส่วนแรก





มีกบคุยกันด้วย



ระหว่างทางกลับมาปาย พี่มนต์สิทธิ์เค้าจอดแวะให้เราซื้อของจากพวกชาวเขาด้วย ตรงนั้นเป็นจุดพักรถและชมวิวพอดี ชาวเขานี่เค้าลำบากมากๆพวกผู้หญิงกับเด็กต้องออกมาทำงานส่วนพวกผู้ชายส่วนใหญ่นอน วิธีการดูแลลูกอ่อนๆเค้าก็คือเลี้ยงในตะกร้านี่แหละ เวลาไปไหนก็ใส่ไว้ในนี้แหละ



แล้วเราก็มาถึงปายซะที หลังจากที่เมื่อวันก่อนใช้เป็นทางผ่านต่อรถไปแม่ฮ่องสอน เวลามานี่ สิ่งนึงที่ไม่แวะไม่ได้เลยคือ ร้านโปสการ์ด



ตกกลางคืนก็ออกมาเดินอีก มี 2 ร้านด้วยกัน





เกสต์เฮาส์ที่เราพักที่ปายก็นี่เลย สิบสองพันนา มาจาก 12,000 Rice Field





สภาพห้องนอน ของห้องที่ชื่อว่า River



แล้วก็มีรูปนี้ในห้องนอนด้วย



ตกดึกไม่รู้ทำไรก็นี่เลยตั้งวง



หรือถ้าจะเปลี่ยนบรรยากาศก็มานั่งที่บาร์ของเกสต์เฮาส์นี่ก็ได้ เปิดเพลงใช้ได้เลย



บรรยากาศตอนตื่นเช้ามา



วิวตรงข้ามห้องกับต้นพญาไร้ใบ



วิวที่พักอีกมุมนึง





วิวแม่น้ำปายจากในห้องนอน



หรือแม้แต่วิวจากศาลานั่งพักผ่อน



แม่น้ำปายยามแดดส่อง กับสะพานที่พังไปจากช่วงน้ำหลาก เวลาหน้าหนาวเค้าจะสร้างกลับมาทุกปี



ต้มลั่นทมในเกสต์เฮาส์



พอสายๆของวันนั้น ถ้ามองไปฝั่งตรงข้ามห้องพักจะมีชาวบ้านเค้ามาขุดดินเตรียมจะปลูกกระเทียมกัน แฟนอิฉันพอเห็นพี่เค้านั่งพักทานข้าวกะดื่มเหล้าขาวก็นึกได้ว่ามีเหล้าขาวที่ซื้อมาจากบนบ้านรักษ์ไทยวันก่อน เอาไปให้พี่เค้าดีกว่า คุณเธอก็เดินลงแม่น้ำข้ามเอาไปให้เค้าเลย น้ำแรงเหมือนกันดูๆแล้วตัวเกือบโดนพัดไปตามน้ำแล้วดีพี่เค้าช่วยยื่นมือมาจับ



แล้วมิตรภาพก็ไม่ต้องการความยุ่งยากใดๆ



ขากลับพี่เค้าเดินกลับมาส่งด้วย แต่ไม่รู้ใครส่งใครสิเนี่ย



เช้าวันถัดมา เราก็มีอันต้องจากลาปาย แล้วมุ่งหน้าสู่ห้วยน้ำดัง การเดินทางก็โดยนั่งรถเมล์จากปายมาลงที่ปากทางขึ้นห้วยน้ำดัง เสร็จแล้วก็นั่งรอโบกรถคนใจดีเพื่อขอติดขึ้นไปบนห้วยน้ำดังด้วย แล้วเราก็ได้เหยื่อ

ตอนที่เราขึ้นไปถึงเป็นเวลาแค่บ่าย 2 โมงเอง เจ้าหน้าที่เค้ามีเต้นท์กางทิ้งไว้ให้แล้ว เราสามารถไปเลือกนอนเต้นท์ที่ต้องการได้เลย ตอนไปถึงเนี่ยยังไม่มีใครมาเลยจึงเหมือนเขาเป็นของเราทั้งลูก มีแต่ความเงียบกับอากาศที่เย็นวาบไปถึงข้างใน กิจกรรมที่ทำก็นั่งอ่านหนังสือกับนอนเล่น พอเริ่มเย็นๆก็เริ่มมีรถกระบะทยอยกันขึ้นมาแล้วเต้นท์ที่ว่างก็ค่อยๆถูกจับจองไปทีละหลังสองหลังจนเต็ม

ห้วยน้ำดังยามพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า



ตอนเช้าที่ห้วยน้ำดัง



กับเต้นท์ของเรา



หลังจากลงจากห้วยน้ำดัง เราก็กลับมาที่เชียงใหม่เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับบ้านตอนกลางคืน ระหว่างฆ่าเวลาพวกเราก็แวะมาเยี่ยมน้องแพนด้า (ตามกระแส)






 

Create Date : 24 ธันวาคม 2548    
Last Update : 24 ธันวาคม 2548 10:50:55 น.
Counter : 1296 Pageviews.  

เดินป่าเขาสก-เขื่อนรัชประภา (3/12/2005)

ทริปนี้เป็นทริปทรมานกายแห่งปี เริ่มด้วยการเดินทางไปเขาสก พวกเรา 4 คน (คราวนี้ลากพี่กับน้องสาวไปด้วยกัน) นั่งรถบขส.ไปลงตะกั่วป่า แล้วพี่ปลาจากเขาสกทัวร์ก็มารับพวกเราไปที่ออฟฟิศเค้าเพื่อเตรียมตัวเดินป่า ระหว่างทางพี่เค้าก็พูดให้ฟังว่าวันนี้พวกเราต้องเจออะไรบ้าง คร่าวๆก็คือเราต้องเดินขึ้นและก็ลงเขาเป็นระยะทาง 3 กม.เพื่อไปยังน้ำตกธารสวรรค์เพื่อไปโรยตัว ทางจะเป็นแบบขึ้นเขาอย่างเดียวแล้วก็ลงอีกครึ่งทาง เสร็จจากโรยตัวต้องเดินป่าออกมาอีก 3 กม. รวมแล้ว 6 กม. พี่เค้าบอกว่ามีอีกทางจะเดินง่ายหน่อยเพราะไม่ค่อยขึ้นเขาแต่ก็เดินลำบากเหมือนกันเพราะเป็นทางป่า ให้เลือกเอาว่าจะเดินทางไหน เราก็เลยตามเสียงหมู่มากที่จะเดินขึ้นเขาซึ่งก็เป็นทางป่าเหมือนกันนั่นแหละ พี่เค้าถามด้วยว่าเคยเดินป่าที่ไหนมาก่อนรึเปล่า เราก็บอกว่าไม่เคย พี่เค้าก็เฉยๆแล้วพูดว่าไม่เป็นไรของอย่างงี้มันอยู่ที่ใจ ถ้าสู้ซะอย่างก็ไม่เป็นไร (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพี่เค้าหมายถึงอะไร)

ถึงเวลาเตรียมตัว (ตอนนี้ยังร่าเริงอยู่ เพราะยังไม่รู้ว่าต้องไปเจอกับอะไรบ้าง)



รูปช่วงการเดินทาง 2 วันแรกไม่มีให้ดูนะคะ เพราะมันพังไปกับกล้องโอลิมปัสตัวโปรด คงมีแต่ความทรงจำที่ถ่ายทอดมาเป็นตัวหนังสือ กับภาพบางส่วนจากกลัองพี่สาว

อันนี้ถ่ายที่หน้าออฟฟิศเขาสกทัวร์ พี่ๆที่นี่ดูแลดีมาก มีไกด์ที่พาเราไปทั้งหมด 4 คน มีพี่ปลา (เจ้าของเขาสกทัวร์) พี่ลูกหมู พี่ใบ้ (คนนี้เป็นใบ้แต่พูดมากๆๆๆๆ แบบใช้มือเอาอ่ะ) และก็พี่ผมยาว (จำชื่อไม่ได้) วันที่ไปเราไปจอยกับอีกกรุ๊ปนึงด้วย กลุ่มนี้แข็งแรงมากเดินก็เร็วด้วย



ช่วงแรกของการเดินป่าก็เป็นทางขึ้นเขาตลอด กลุ่มที่ไปกับเราเค้าเดินนำหน้าไปก่อนเพราะเค้าเดินเร็ว
อันนี้เป็นภาพทางเข้าป่า



ซักพักพี่เค้าวอมาบอกกลุ่มเราว่าพวกเราเดินช้าถ้าอย่างนี้ไม่ทันมืดแน่ให้เราถอยกลับแล้วไปเข้าอีกทางนึง พวกเราก็ต้องเดินลงเขากลับทางเดิม (เฮ้อเหนื่อยนะเฟ้ย) คนที่กลับก็มีเราสามสาวที่เมื่อกี้ยังร่าเริงอยู่แต่ตอนนี้ก็ยังร่าเริงอยู่นะ

(ทางลงเขาที่ลื่นชันจนบางครั้งไม่กล้าเดินต้องเอาก้นไถลงมา)



พี่ไกด์ผมยาวพาพวกเรากลับแล้วมานั่งรถของอุทยานเพื่อเข้าไปที่น้ำตก นั่งรถมาประมาณ 3 กม.ก็ถึงจุดกางเต้นท์คืนนี้ ตอนแรกนึกว่าเดินอีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงน้ำตกที่ไหนได้ต้องเดินอีก 3 กม.ถึงจะถึงน้ำตก ทางก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อกี้เท่าไหร่ ต้องเดิน ป่า 2 กม.แล้วเดินลำธารเข้าไปอีก 1 กม. บางช่วงต้องปีนป่ายขึ้นเขา (จะเรียกว่าเกาะขอบดินขึ้นไปมากกว่า) ขาทั้งล้าแทบยกไม่ขึ้นแต่ก็ต้องเดินต่อไป เกิดมาไม่เคยลำบากอะไรอย่างนี้มาก่อน คิดอย่างเดียวว่าต้องออกไปจากป่านี้ให้ได้

พอตอนเที่ยงพวกเราก็ได้พักผ่อน ก็นั่งทางข้าวกันที่ลำธารนั่นเลย มื้อนี้อร่อยที่ซู๊ด



พอไปถึงน้ำตกก็ต้องปีนขึ้นไปอีก 70 เมตรเพื่อโรยตัวลงมา เฮ้อเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่พอโรยตัวลงมาแล้วก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

ขากลับก็กลับมาทางเดิมอีก 3 กม. รวมแล้วเดินเกือบ 7 กม. แต่ตอนขากลับมีอยู่ช่วงนึงที่ต้องข้ามลำธาร พี่เค้าก็ให้ข้ามแบบใช้รอก เพิ่มความมันส์



ออกมาจากป่าได้ก็ 5 โมงกว่าแล้ว โชคดีไม่มืดซะก่อนเพราะไม่งั้นคงออกจากป่าไม่ได้ ที่น่ากลัวคือตอนขากลับได้ยินเสียงเสือคำรามด้วย เสียงมันก้องๆยังไงไม่รู้ ทุกคนในกลุ่มได้ยินกันหมดแต่ไม่มีใครกล้าทัก

ออกมาถึงเต้นท์ได้ก็อาบน้ำกันริมลำธารตรงนั้นเลย เปิดถุงเท้าออกมาโหโดนทากกัดตั้ง 12 แผลแน่ะ เลือดไหลไม่หยุด กว่าจะหยุดได้ตั้งเป็นชั่วโมง

แล้วพี่ๆเค้าก็ทำข้าวเตรียมไว้ให้ เป็นข้าวมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิต พี่เค้าหุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ พอจะทานก็เอากระบอกไม้ไผ่มาผ่าก็จะมีข้าวห่อใบอะไรไม่รู้ หอมเชียว กินเปล่าๆยังอร่อยเลย คืนนั้นก็หลับไปอย่างเหนื่อยล้า

วันรุ่งขึ้น พี่เค้าแจ้งว่าน้ำในแม่น้ำน้ำมันแห้งมากไม่สามารถล่องแพได้ เค้าเลยให้เราล่องห่วงยางแทน บางจุดที่เป็นแก่งห่วงยางก็ไหลเร็วดี แต่บางจุดน้ำก็นิ่งต้องกวักกันซะลิ้นห้อย ก็สนุกดีตัวเปียกไปหมด พร้อมกับกล้องที่พังไปด้วย



พอกลับจากล่องห่วงยางพวกเราก็นั่งรถเข้าไปที่เขื่อนโดยมีพี่เจี๊ยบ (ภรรยาพี่ปลา)เป็นคนไปส่ง เขื่อนรัชประภาได้ชื่อว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย เพราะในเขื่อนจะมีแต่ภูเขาหิน คล้ายๆกับที่วังเวียงเลย







นี่คือที่พักที่ตอนแรกว่าจะมา แต่เผอิญมันเต็มซะก่อน



เลยไปพักที่นี่แทน เงียบกว่าที่เมื่อกี้ด้วย



แล้วพี่ไกด์ก็พาไปเที่ยวถ้ำปะการัง





เช้าวันรุ่งขึ้น มีหมอกลอยขึ้นมาจากน้ำด้วย แต่ถ่ายรูปมามันมืดไปหมดเลย



ตอนเช้าพี่เค้าพาไปเที่ยวถ้ำน้ำทะลุ ต้องเดินทั้งหมด 7 กม.
แต่ทางไม่แย่เท่าไหร่เป็นทางแบบเรียบๆเดินไม่ยาก จะมีในถ้ำนี่แหละที่ต้องว่ายน้ำและเกาะเชือกบ้าง แต่ก็ตื่นเต้นดี

เที่ยงๆพวกเราก็กลับถึงที่พักเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมกลับบ้าน ขากลับเรือเค้าก็พาแวะที่กุ้ยหลิน มันก็คือไอ้หิน 3 แท่งที่โผล่มาจากน้ำนั่นแหละ แล้วก็เกิดเหตุการณ์ เรือเสียต้องจอดรออยู่ในเขื่อนซักพักใหญ่ๆก็มีเรือลำอื่นขับมาช่วย ในเขื่อนไม่มีสัญญาณมือถือใดๆทั้งสิ้นโชคดีที่มีเรือเข้าออกอยู่ตลอดเวลาเค้าเห็นจอดนิ่งๆอยู่เค้าก็คงรู้ว่าเรือเสียเลยมาช่วย



พอขึ้นจากเขื่อนพี่ๆเค้าก็ขับรถมาส่งที่ขนส่ง ทริปนี้ประทับใจพี่ๆที่เขาสกมากๆ




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2548    
Last Update : 4 มกราคม 2549 21:55:29 น.
Counter : 858 Pageviews.  

เพชรบูรณ์กับม๊าหมี่ (16/10/2005)

ทริปนี้เป็นทริปพาแม่เที่ยว ทริปลูกกตัญญูว่างั้นเหอะ การเดินทางก็ไม่มีไรให้ต้องเตรียมตัวมาก เช็ครถนิดหน่อยแล้วก็ออกเดินทางกันได้เลย

ผู้ร่วมเดินทาง แม่กะน้องสาว



ตามโปรแกรม (ก็ไม่ได้วางไรไว้เลย กะว่าไปคิดเอาข้างหน้า) วันนี้ก็ไปที่รีสอร์ทกันก่อน ที่จองไว้คืนแรกก็ที่เมทนีดล ของนีโน่นั่นแหละ ซื้อมาตั้งแต่งานท่องเที่ยวปีที่แล้วเพิ่งจะได้มีโอกาสได้มา

ที่นี่จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นแบบบ้านไม้ไผ่ ส่วนที่สองจะเป็นแบบบ้านปูน

ทางเข้าบ้านไม้ไผ่





บ้านแบบไม้ไผ่



แบบบ้านปูน



ส่วนที่ประทับใจของที่นี่คงเป็นร้านอาหาร ต้นไม้เยอะดีแถมจัดสวยด้วย พวกอาหารที่เป็นผัดผักกับที่ทำมาจากเห็ดหอมสดอร่อยมาก





วันรุ่งขึ้นด้วยความที่แต่ละที่ในเพชรบูรณ์อยู่ไกลกันค่อนข้างมากและโดยมากจะเป็นอุทยานแห่งชาติซึ่งต้องเดินค่อนข้างเยอะกะไม่มีไรให้ดูมาก แม่อิฉันด้วยความที่แก่แล้วเข่าก็ไม่ค่อยดีเดินมากก็ไม่ไหน จะพาไปล่องแก่งลำน้ำเข็กก็กลัวโดนด่าว่าจับมาทรมาน เลยได้แต่พาไปนั่งรถเล่น ที่แรกที่ไปก็อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ไปถึงแต่ไม่ได้เดินป่านะ สังเกตุมาแค่ถ่ายป้ายแล้วกลับ





แล้วเราก็ไปกันที่พระตำหนักเขาค้อ สังเกตุถ่ายป้ายอีกแล้ว จริงๆเป็นที่นั่งพักรอลูกๆเดินเข้าไปดูข้างใน ส่วนเจ๊แกบอกว่ามาบ่อยแล้วขี้เกียจเดินไปกันเหอะ



แต่นี่สิของชอบ มาเที่ยวนี้ไม่ยอมออกไรซักอย่างบอกไม่มีตังค์ แต่ซื้อหวยอยู่ได้



อีกจุดนึงบนเขาค้อ



แล้วคืนที่สองเราก็เปลี่ยนมาพักที่ อิมพีเรียล ภูแก้ว บรรยากาศดีเชียวเป็นบ้านพักรูปทรงเห็ดปลูกไล่ระดับความสูงกัน











ที่นี่จะมีอุปกรณ์ให้เด็กเล่นด้วย รถรูทกะโกล์คาร์ทก็มี แต่ไม่ได้เล่น โตแล้ว



สิ่งที่ผู้ใหญ่เค้าทำกันก็นี่เลย
......
......
......
......
......
......
นวดฝ่าเท้า (สบ๊าย สบาย)





 

Create Date : 21 ธันวาคม 2548    
Last Update : 21 ธันวาคม 2548 12:27:08 น.
Counter : 883 Pageviews.  

วังเวียง-หลวงพระบาง (12/08/2005)

ทริปนี้เริ่มต้นจากการเดินทางอันแสนยาวไกลจากกรุงเทพนั่งรถคืนนึงเพื่อไปลงที่หนองคาย แล้วที่ท่ารถเวลา 7.30 น.เราก็ได้ซื้อตั๋วรถบัสเพื่อเข้าเวียงจันทร์ รถบัสขับพาเราไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง พอผ่านพิธีการเสร็จรถก็ขับพาเราไปที่ตลาดเช้าที่ตัวเมืองเวียงจันทร์ ตามแผนการคร่าวๆตอนแรกว่าจะเที่ยวตัวเมืองเวียงจันทร์ตอนครึ่งเช้าแล้วค่อยนั่งรถเมล์ไปวังเวียง แต่ด้วยความเหนื่อยบวกเพลียจากการนั่งรถมาทั้งคืนไหนต้องนั่งรถอีก 6 ชม.เพื่อไปวังเวียงอีก ความคิดที่จะนั่งรถชมสถานที่ต่างๆในเวียงจันทร์จึงหมดไป พวกเราเลยถามพี่คนขับรถที่พาเรามาจากหนองคายว่ารถไปวังเวียงขึ้นที่ไหน พี่คนขับใจดีก็เดินพาเราไปดูที่ขึ้นรถแถมพาไปหาที่แลกเงินกะชี้ที่ทานข้าวให้อีก นี่แหละน้าน้ำใจคนไทย พอทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จเราก็ไปขึ้นรถเพื่อไปวังเวียง

รถเมล์เค้าเป็นแบบหวานเย็นบ้านเรานี่แหละ ระหว่างทางก็เป็นทางขึ้นเขาโค้งไปโค้งมา พอมาได้ครึ่งทางคนรถเค้าก็จอดให้ทำธุระ เราก็มองซ้ายมองขวาไหนหว่าห้องน้ำ ชาวบ้านเค้าวิ่งไปจับจองกันคนละพุ่มผู้หญิงก็เข้าไปลึกหน่อยส่วนผู้ชายก็ยืนกันข้างนอก ไอ้เราไม่กล้าก็อั้นต่อไป เวลาผ่านไป 6 ชม.กว่าๆแล้วเราก็มาถึงวังเวียง ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆเค้าจะเรียกกันว่าเป็นเมืองหยุดพักสำหรับพวกแบ็คแพกเกอร์ที่จะเดินทางไปหลวงพระบาง จริงๆมันก็เป็นเหมือนหมู่บ้านชนบทนี่แหละแต่มีเกสต์เฮาส์และร้านอาหารเล็กๆเรียงตาม 2 ข้างทางเพื่อคอยบริการนักท่องเที่ยว

วังเวียงถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาหิน สภาพโดยรวมแล้วจัดว่าสวยมากๆ โรแมนติดสุดๆ อากาศครึ้มๆกำลังดี แล้วเราก็เข้าเช็คอินที่ที่พักที่ติดแม่น้ำซอง

วิวหน้าห้อง




ที่วังเวียงนี่จะมีกิจกรรมให้ทำมากมายส่วนใหญ่ก็จะเป็นเที่ยวถ้ำ ล่องห่วงยางหรือพายคายัค แล้วเราก็เลือกทัวร์ที่จะทำพรุ่งนี้ได้ นั่นคือพายคายัคไปเที่ยวถ้าในราคา 220 บาท ถ้ำที่วังเวียงนี่มีเยอะมากแต่ด้วยช่วงที่ไปเป็นหน้าน้ำหลากพอดีการจะเดินไปถ้ำได้ต้องเดินข้ามสะพานแต่ด้วยหน้าน้ำสะพานต่างๆก็พังไปหมด เราก็เลยต้องเลือกพายคายัคแทน

วันรุ่งขึ้นเราก็พร้อมในเครื่องแบบเพื่อจะลุยกันแล้ว




ระยะทางที่ต้องพายวันนี้ประมาณ 10 กว่ากิโล มาได้นิดนึงเค้าก็ให้เราขึ้นฝั่งเพื่อจะไปเที่ยวถ้ำ นี่เลยบริเวณที่ให้เราจอดเรือ



แล้วก็เดินเท้าเข้าไปอีก 500 เมตร ผ่านหมู่บ้านกะไร่นา



ปากทางเข้าถ้ำ (อย่างงเพราะมันเป็นถ้ำลอด)



ต้องใช้อุปกรณอีกนิดหน่อย



ถ่ายรูปคู่กันนิดนึงจะได้รู้ว่ามาลำบากด้วยกัน



แล้วการผจญภัยก็เริ่มขึ้น



ช่วงปากทางเข้าถ้ำผนังก็เกือบชนหัวอยู่แล้ว แต่พอพ้นปากถ้ำไปได้เพดานมันก็จะสูงขึ้น ล่องเข้าไปประมาณ 200 เมตร เค้าก็ให้เราลงจากห่วงยางแล้วคลานเข่าเข้าไปดูหินก้อนนึง โอ้โหมีไรให้ดูเยอะมากเลย(ประชด) แต่ก็สนุกดี แล้วเราก็กลับมาขึ้นเรือกัน



ไปต่อกันที่จุดที่จะให้โดดเชือก ก็พายมาอีกนิดนึง





ขาพายเรือกลับมาที่พัก ฝนก็กระหน่ำตกลงมาแต่โชคดีที่มาตกตอนใกล้ถึงที่พักแล้ว พอกลับมาที่เกสต์เฮาส์เปิดดูข่าวก็ตกใจที่เห็นข่าวฝนตกน้ำท่วมหนักที่เชียงใหม่ ตอนนั้นถึงเพิ่งรู้ว่ามิน่าทำไมฟ้ามันครึ้มๆตลอดทั้งวันแถมฝนตกอีก

วันรุ่งขึ้นเราก็ต้องจำใจจากลาวังเวียง (ถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก) เพื่อเดินทางไปหลวงพระบางกัน รถที่เรานั่งไปก็เป็นรถตู้ประจำทาง ระหว่างทางเกิดเรื่องนิดหน่อย ยางรั่ว



มีนักท่องเที่ยวใจดีไปกางร่มให้พี่คนขับด้วย


ทางระหว่างวังเวียงหลวงพระบางนี่บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดทั้งวิวและความวิบาก ถนนเป็นทางแคบๆตามไหล่เขา นึกเสียวถ้าพลาดนิดเดียวคงไม่เหลือไหนจะคดเคี้ยวยิ่งกว่าทางไปแม่ฮ่องสอนซะอีก แถมวันนั้นฝนตกทั้งวันยิ่งขึ้นที่สูงหมอกก็บังทางซะมิด มองไรไม่เห็นเลยไม่รู้พี่คนขับเค้าขับได้ไงแต่แล้วเราก็ผ่าน 7 ชม.แห่งความเสียวมาได้ด้วยดี

กว่าจะมาถึงหลวงพระบางได้ก็ 4 โมงเย็นแล้วเราเลยเข้าที่พักก่อนที่ The Grand Luangprabang







จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นในเมือง ไปที่ตลาดม้งซึ่งเป็นแหล่งศูนย์กลางของเมืองแล้วก็เป็นแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ของที่นี่ ของที่ขายส่วนใหญ่ก็เป็น ผ้าทอกับเครื่องเงิน ราคาถูกมากถ้าเทียบกับบ้านเรา







วันที่ 4 ของการเดินทาง เราก็ไปเที่ยวถ้ำกันอีกแล้ว ทางที่จะไปถ้ำติ่งต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงไป



ปากทางขึ้นถ้ำติ่ง



ในถ้ำจะมีแต่พระพุทธรูป



ขากลับด้วยความที่ฝนมันตก ทางก็ลื่น รถก็เลยติดหล่มแต่ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของนักท่องเที่ยว บางส่วนก็ช่วยกันขย่มบนรถ ส่วนฝรั่งตัวใหญ่ๆก็ลงไปช่วยกันดันรถ ไม่ใช่แค่คันเราคันเดียวนะแต่ต้องรออีกคันนึงและช่วยอีกคันนึงขึ้นมาด้วย โหเหนื่อยน่าดู



จากนั้นเราก็มากันที่หมู่บ้านต้มเหล้า



รสชาติก็เหมือนยาดองแหละ หวานหน่อยๆ



มีแบบนี้ด้วย แต่ไม่กล้ากิน



แล้วก็มาเที่ยวน้ำตกกวางสีกัน น้ำเย็นชื่นใจ









จากนั้นก็แวะมาที่หมู่บ้านชาวเขา ถ้าสังเกตุจะมีแต่เด็กกับผู้หญิงที่ทำงานส่วนผู้ชาย โน่นนอนอยู่ในบ้าน มันเป็นวิถีชีวิตของเค้า



พอตกกลางคืนก็แวะมากินสีตาด (ไม่รู้เรียกถูกรึเปล่า) พี่โชเฟอร์เค้าแนะนำบอกว่ากะลังฮิตที่นี่ ตอนแรกไอ้เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเดินไปที่ร้านที่เค้าชี้ให้ดู พอมาที่ร้านถึงได้รู้ก็หมูกะทะบ้านเรานี่แหละ แต่รสชาดอร่อยโดนใจเลยแหละ



วันที่ห้า เราก็ย้ายที่พักมาอีกที่นึง ที่ Villa Santi Resort อยู่เลยที่เมื่อวานไปอีกหน่อย ก็ไกลเมืองเข้าไปอีกแต่ที่นี่ทั้ง 2 ที่ๆพักเค้าจะมีรถบริการรับส่งเข้าไปในเมือง





แล้ววันนี้เราก็มีเวลาว่างมาทำ City tour กัน ก็เน้นเที่ยววัดแหละ แต่ฝนตกพรำๆทั้งวันเลย เดินกางร่มจูงมือกันไปก็รู้สึกดีนะ (เพราะมีร่มอันเดียว)



วัดเชียงทอง







ตึกรามบ้านช่อง ซึ่งส่วนใหญ่โดนเอาไปทำเป็นโรงแรมซะหมด





วัดกลาง



พิพิทธภัณฑ์กลาง



แล้วก็จบทริปนี้ด้วยความประทับใจ ไปเที่ยวครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 5 คืน 6 วัน ประทับใจในความเป็นเมืองเล็กๆของทั้งวังเวียงและหลวงพระบางมากๆ




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2548    
Last Update : 21 ธันวาคม 2548 11:31:37 น.
Counter : 903 Pageviews.  

ตอน 3:สามสาวบ้าตะลุยบาหลี Bali(21/06/2005)

แล้วเราก็มาชมวิวที่ Bukit Jambul



ก่อนจะมาถึงวัดสุดท้าย Goa Lawah เป็นวัดที่มีค้างคาวเกาะเต็มไปหมด เหม็นขี้ค้างคาวมากๆ



ไปมาซะตั้งหลายวัดยังไม่ได้ไหว้พระเลย มาที่นีพวกเราก็เลยขอไหว้พระกันซะหน่อย



หลังจากจบทัวร์วัดทั้งหลาย ตกดึกก็ทานข้าว และก็ต้องขอลองเบียร์ที่นี่ซะหน่อย รสชาติก็นุ่มๆแบบไฮนาเก้นแหละ



เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับ พวกเราก็พอมีเวลานิดๆหน่อยๆก็เลยออกมาเดินเล่นแถว Ubud กัน



ร้านค้าแถวนี้ก็จะเป็นแบบบ้านเก่าๆคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม



แวะไปที่ Monkey Forest ซึ่งมีวัดอยู่ข้างใน 3 วัดและก็มีแต่ลิงๆๆๆๆๆ



ขาเดินกลับ เหมือนสวรรค์ทรงโปรดอีกแล้ว เจอร้านกาแฟน่ารักๆ



คิดถึงกาแฟหอมๆมากๆ มาร้านนี้แล้วค่อยยังชั่วได้กินกาแฟหลังจากไม่ได้กินกาแฟอร่อยๆมาหลายวัน





แล้วเราก็แวะมาที่วัด Ulu Watu เป็นวัดที่สวยมากๆอีกวัดนึง



อีกมุมนึง



ก่อนไปสนามบินเราก็ได้แวะมาคุต้าก่อน เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวเหมือนพัทยาอะไรประมาณนั้น วันที่ไปเค้ากำลังมีเทศกาล Kuta Carnaval อยู่พอดี ซึ่งก็เป็นเทศกาลที่คนเค้าจะมาเล่นเซิร์ฟกันแล้วก็จะมีวงดนตรีมาเล่นที่ชายหาดพร้อมแดนซ์กระจายทั้งคืน เสียดายอดเพราะต้องกลับแล้ว (ฮื่อๆๆๆๆ อยากอยู่แดนซ์) แล้วพวกเราก็จบทริปไว้ที่คุต้านี่แหละ แบบยังฝันค้างอยู่เลยเพราะเห็นเด็กฝรั่งเอ๊าะๆกล้ามเป็นมัดๆใส่กางเกงเกาะตูดเดินกันเต็มหาดไปหมด เฮ้อเห็นแล้วเศร้าใจ อยากอยู่ต่อ...



พวกเราก็เดินทางกลับกันโดยที่ต้องมาต่อเครื่องที่มาเลย์ซึ่งต้องนอนค้างที่สนามบิน KL หนึ่งคืนเพราะต้องรอไฟล์ทเช้าถึงจะได้ออก อีเล้งหมดสภาพไปตั้งแต่เที่ยงคืนคาถ้วยเบอร์เกอร์คิง



Last but not least,

I would like to say thanks to our driver who made our trip more meaningful. Komang, thank you for your friendship and for showing us around Bali. I love to be there again probably during my honeymoon (eiei…) and surely Amed will be in the list of my destination.

Keep in touch and take care,
Puk…


BTW, who would like to travel to Bali, I would recommend my friend Komang as he uses English fluently and could accommodate you to anywhere you want to go without a bit of hesitation. His cell phone no. is (62) 812 *** 466 *** 7752 or komangbajing@yahoo.com




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2548    
Last Update : 22 ธันวาคม 2548 17:24:01 น.
Counter : 609 Pageviews.  

1  2  3  4  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.