spooky161
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add spooky161's blog to your web]
Links
 

 
วังเวียง-หลวงพระบาง (12/08/2005)

ทริปนี้เริ่มต้นจากการเดินทางอันแสนยาวไกลจากกรุงเทพนั่งรถคืนนึงเพื่อไปลงที่หนองคาย แล้วที่ท่ารถเวลา 7.30 น.เราก็ได้ซื้อตั๋วรถบัสเพื่อเข้าเวียงจันทร์ รถบัสขับพาเราไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง พอผ่านพิธีการเสร็จรถก็ขับพาเราไปที่ตลาดเช้าที่ตัวเมืองเวียงจันทร์ ตามแผนการคร่าวๆตอนแรกว่าจะเที่ยวตัวเมืองเวียงจันทร์ตอนครึ่งเช้าแล้วค่อยนั่งรถเมล์ไปวังเวียง แต่ด้วยความเหนื่อยบวกเพลียจากการนั่งรถมาทั้งคืนไหนต้องนั่งรถอีก 6 ชม.เพื่อไปวังเวียงอีก ความคิดที่จะนั่งรถชมสถานที่ต่างๆในเวียงจันทร์จึงหมดไป พวกเราเลยถามพี่คนขับรถที่พาเรามาจากหนองคายว่ารถไปวังเวียงขึ้นที่ไหน พี่คนขับใจดีก็เดินพาเราไปดูที่ขึ้นรถแถมพาไปหาที่แลกเงินกะชี้ที่ทานข้าวให้อีก นี่แหละน้าน้ำใจคนไทย พอทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จเราก็ไปขึ้นรถเพื่อไปวังเวียง

รถเมล์เค้าเป็นแบบหวานเย็นบ้านเรานี่แหละ ระหว่างทางก็เป็นทางขึ้นเขาโค้งไปโค้งมา พอมาได้ครึ่งทางคนรถเค้าก็จอดให้ทำธุระ เราก็มองซ้ายมองขวาไหนหว่าห้องน้ำ ชาวบ้านเค้าวิ่งไปจับจองกันคนละพุ่มผู้หญิงก็เข้าไปลึกหน่อยส่วนผู้ชายก็ยืนกันข้างนอก ไอ้เราไม่กล้าก็อั้นต่อไป เวลาผ่านไป 6 ชม.กว่าๆแล้วเราก็มาถึงวังเวียง ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆเค้าจะเรียกกันว่าเป็นเมืองหยุดพักสำหรับพวกแบ็คแพกเกอร์ที่จะเดินทางไปหลวงพระบาง จริงๆมันก็เป็นเหมือนหมู่บ้านชนบทนี่แหละแต่มีเกสต์เฮาส์และร้านอาหารเล็กๆเรียงตาม 2 ข้างทางเพื่อคอยบริการนักท่องเที่ยว

วังเวียงถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาหิน สภาพโดยรวมแล้วจัดว่าสวยมากๆ โรแมนติดสุดๆ อากาศครึ้มๆกำลังดี แล้วเราก็เข้าเช็คอินที่ที่พักที่ติดแม่น้ำซอง

วิวหน้าห้อง




ที่วังเวียงนี่จะมีกิจกรรมให้ทำมากมายส่วนใหญ่ก็จะเป็นเที่ยวถ้ำ ล่องห่วงยางหรือพายคายัค แล้วเราก็เลือกทัวร์ที่จะทำพรุ่งนี้ได้ นั่นคือพายคายัคไปเที่ยวถ้าในราคา 220 บาท ถ้ำที่วังเวียงนี่มีเยอะมากแต่ด้วยช่วงที่ไปเป็นหน้าน้ำหลากพอดีการจะเดินไปถ้ำได้ต้องเดินข้ามสะพานแต่ด้วยหน้าน้ำสะพานต่างๆก็พังไปหมด เราก็เลยต้องเลือกพายคายัคแทน

วันรุ่งขึ้นเราก็พร้อมในเครื่องแบบเพื่อจะลุยกันแล้ว




ระยะทางที่ต้องพายวันนี้ประมาณ 10 กว่ากิโล มาได้นิดนึงเค้าก็ให้เราขึ้นฝั่งเพื่อจะไปเที่ยวถ้ำ นี่เลยบริเวณที่ให้เราจอดเรือ



แล้วก็เดินเท้าเข้าไปอีก 500 เมตร ผ่านหมู่บ้านกะไร่นา



ปากทางเข้าถ้ำ (อย่างงเพราะมันเป็นถ้ำลอด)



ต้องใช้อุปกรณอีกนิดหน่อย



ถ่ายรูปคู่กันนิดนึงจะได้รู้ว่ามาลำบากด้วยกัน



แล้วการผจญภัยก็เริ่มขึ้น



ช่วงปากทางเข้าถ้ำผนังก็เกือบชนหัวอยู่แล้ว แต่พอพ้นปากถ้ำไปได้เพดานมันก็จะสูงขึ้น ล่องเข้าไปประมาณ 200 เมตร เค้าก็ให้เราลงจากห่วงยางแล้วคลานเข่าเข้าไปดูหินก้อนนึง โอ้โหมีไรให้ดูเยอะมากเลย(ประชด) แต่ก็สนุกดี แล้วเราก็กลับมาขึ้นเรือกัน



ไปต่อกันที่จุดที่จะให้โดดเชือก ก็พายมาอีกนิดนึง





ขาพายเรือกลับมาที่พัก ฝนก็กระหน่ำตกลงมาแต่โชคดีที่มาตกตอนใกล้ถึงที่พักแล้ว พอกลับมาที่เกสต์เฮาส์เปิดดูข่าวก็ตกใจที่เห็นข่าวฝนตกน้ำท่วมหนักที่เชียงใหม่ ตอนนั้นถึงเพิ่งรู้ว่ามิน่าทำไมฟ้ามันครึ้มๆตลอดทั้งวันแถมฝนตกอีก

วันรุ่งขึ้นเราก็ต้องจำใจจากลาวังเวียง (ถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก) เพื่อเดินทางไปหลวงพระบางกัน รถที่เรานั่งไปก็เป็นรถตู้ประจำทาง ระหว่างทางเกิดเรื่องนิดหน่อย ยางรั่ว



มีนักท่องเที่ยวใจดีไปกางร่มให้พี่คนขับด้วย


ทางระหว่างวังเวียงหลวงพระบางนี่บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดทั้งวิวและความวิบาก ถนนเป็นทางแคบๆตามไหล่เขา นึกเสียวถ้าพลาดนิดเดียวคงไม่เหลือไหนจะคดเคี้ยวยิ่งกว่าทางไปแม่ฮ่องสอนซะอีก แถมวันนั้นฝนตกทั้งวันยิ่งขึ้นที่สูงหมอกก็บังทางซะมิด มองไรไม่เห็นเลยไม่รู้พี่คนขับเค้าขับได้ไงแต่แล้วเราก็ผ่าน 7 ชม.แห่งความเสียวมาได้ด้วยดี

กว่าจะมาถึงหลวงพระบางได้ก็ 4 โมงเย็นแล้วเราเลยเข้าที่พักก่อนที่ The Grand Luangprabang







จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นในเมือง ไปที่ตลาดม้งซึ่งเป็นแหล่งศูนย์กลางของเมืองแล้วก็เป็นแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ของที่นี่ ของที่ขายส่วนใหญ่ก็เป็น ผ้าทอกับเครื่องเงิน ราคาถูกมากถ้าเทียบกับบ้านเรา







วันที่ 4 ของการเดินทาง เราก็ไปเที่ยวถ้ำกันอีกแล้ว ทางที่จะไปถ้ำติ่งต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงไป



ปากทางขึ้นถ้ำติ่ง



ในถ้ำจะมีแต่พระพุทธรูป



ขากลับด้วยความที่ฝนมันตก ทางก็ลื่น รถก็เลยติดหล่มแต่ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของนักท่องเที่ยว บางส่วนก็ช่วยกันขย่มบนรถ ส่วนฝรั่งตัวใหญ่ๆก็ลงไปช่วยกันดันรถ ไม่ใช่แค่คันเราคันเดียวนะแต่ต้องรออีกคันนึงและช่วยอีกคันนึงขึ้นมาด้วย โหเหนื่อยน่าดู



จากนั้นเราก็มากันที่หมู่บ้านต้มเหล้า



รสชาติก็เหมือนยาดองแหละ หวานหน่อยๆ



มีแบบนี้ด้วย แต่ไม่กล้ากิน



แล้วก็มาเที่ยวน้ำตกกวางสีกัน น้ำเย็นชื่นใจ









จากนั้นก็แวะมาที่หมู่บ้านชาวเขา ถ้าสังเกตุจะมีแต่เด็กกับผู้หญิงที่ทำงานส่วนผู้ชาย โน่นนอนอยู่ในบ้าน มันเป็นวิถีชีวิตของเค้า



พอตกกลางคืนก็แวะมากินสีตาด (ไม่รู้เรียกถูกรึเปล่า) พี่โชเฟอร์เค้าแนะนำบอกว่ากะลังฮิตที่นี่ ตอนแรกไอ้เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเดินไปที่ร้านที่เค้าชี้ให้ดู พอมาที่ร้านถึงได้รู้ก็หมูกะทะบ้านเรานี่แหละ แต่รสชาดอร่อยโดนใจเลยแหละ



วันที่ห้า เราก็ย้ายที่พักมาอีกที่นึง ที่ Villa Santi Resort อยู่เลยที่เมื่อวานไปอีกหน่อย ก็ไกลเมืองเข้าไปอีกแต่ที่นี่ทั้ง 2 ที่ๆพักเค้าจะมีรถบริการรับส่งเข้าไปในเมือง





แล้ววันนี้เราก็มีเวลาว่างมาทำ City tour กัน ก็เน้นเที่ยววัดแหละ แต่ฝนตกพรำๆทั้งวันเลย เดินกางร่มจูงมือกันไปก็รู้สึกดีนะ (เพราะมีร่มอันเดียว)



วัดเชียงทอง







ตึกรามบ้านช่อง ซึ่งส่วนใหญ่โดนเอาไปทำเป็นโรงแรมซะหมด





วัดกลาง



พิพิทธภัณฑ์กลาง



แล้วก็จบทริปนี้ด้วยความประทับใจ ไปเที่ยวครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 5 คืน 6 วัน ประทับใจในความเป็นเมืองเล็กๆของทั้งวังเวียงและหลวงพระบางมากๆ


Create Date : 21 ธันวาคม 2548
Last Update : 21 ธันวาคม 2548 11:31:37 น. 0 comments
Counter : 904 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.