ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

น้องการ์ตูน 5 ขวบ เหยื่อความประมาทของนักซิ่งหรือเป็นเพียงอุบัติเหตุธรรมดา

กระบะเครื่องแรง เหยียบมิดไมล์เสียหลักเข้าชนครอบครัวหาเช้ากินค่ำ สิ้นเสียงสนั่น คุณแม่วิ่งออกมาดู ปรากฏภาพสามีนอนกระอักเลือดกอดลูกน้อยวัย 5 ขวบไว้แน่น ขณะนี้ ผู้เสียหายเสียเสาหลักของครอบครัวอย่างไม่อาจยื้อไว้ได้ เหลือเพียง “น้องการ์ตูน” นอนอาการร่อแร่อยู่ที่โรงพยาบาล 

       ผ่านไป 2 เดือน ฝั่งผู้ก่อเหตุเริ่มบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ จึงออกมาร้องขอความเป็นธรรมจนกลายเป็นประเด็น ชาวเน็ตช่วยสืบกระทั่งพบข้อสงสัยหลายจุดในคดีนี้ว่า อาจไม่ใช่อุบัติเหตุจากการขับขี่ธรรมดา แต่คือความประมาทจากน้ำมือแก๊งซิ่งรถที่บิดเบือนความจริง!!?


ไม่ใช่รถซิ่ง ไม่ได้ขับแข่ง แต่เครื่องแรงเกินพิกัด!!

(น้องการ์ตูน ในวันที่ยังไม่เกิดโชคร้าย)


 น้องการ์ตูนวัย 5 ขวบ จากที่เคยเป็นเด็กสดใส จ้ำม่ำ น่ารัก ตอนนี้ต้องนอนสมองเบลออยู่โรงพยาบาล โดยมีค่ารักษาตัวพุ่งสูงถึง 1.5 ล้านบาท จากอุบัติเหตุรถปิกอัพพุ่งชนร้าน “สเต็กลุงใหญ่” ย่านบางบอน จนเป็นเหตุให้คุณพ่อเสียชีวิตและเด็กน้อยสูญเสียสมองไป 25 เปอร์เซ็นต์ ผู้เป็นแม่ซึ่งต้องเผชิญชะตากรรมอันหนักหนานี้แต่เพียงผู้เดียวอย่าง “ศรัญญา ชำนิ” จึงทนต่อสภาวะที่จำต้องแบกรับต่อไปอีกไม่ไหว เพราะถึงแม้ผู้ก่อเหตุจะช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้นเกี่ยวกับค่าเสียหายในด้านต่างๆ แต่ทว่า กลับเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เธอต้องสูญเสียไป

        ที่สำคัญ เธอยังคงแคลงใจมาตลอดว่าคดีนี้อาจมีเงื่อนงำในหลายๆ จุด เนื่องจากรถปิกอัพที่ขับมาชนนั้น มีผู้ก่อเหตุนั่งมาด้วยกัน 2 คน คือ “น้ำผึ้ง ใจเสงี่ยม” กับชายวัย 19 หลังเกิดเหตุชนอึกทึกครึกโครม รถกระบะคันนั้นก็ตะแครงขวาอยู่บนท้องถนน ผู้ก่อเหตุอ้างว่าฝ่ายชายพาตัวออกมาจากรถได้ก่อน จากนั้นไปดึงผู้หญิงออกมา แต่สิ่งที่เห็นและชวนให้ครอบครัวเหยื่ออุบัติเหตุครั้งนี้สงสัยคือ น้ำผึ้งรีบตรงดิ่งมายังคุณแม่ผู้สูญเสียแล้วประกาศตัวว่า “ฉันขับเองๆ” ซึ่งดูผิดวิสัยไปจากปกติ คุณแม่ศรัญญาจึงต้องข้อสงสัยเอาไว้ว่า อาจมีการสับเปลี่ยนตัวคนขับเกิดขึ้น 


        "คิดว่าทางตำรวจน่าจะช่วยสอบสวนได้หรือหากล้องได้ค่ะว่าจริงๆ แล้วใครขับ เพราะความเป็นจริงผู้หญิงไม่น่าขับรถได้แรงขนาดนี้ค่ะ ไมล์มันน่าจะอยู่ที่ 100 กว่า แต่ถ้าเขาขับจริงก็โอเค แต่ถามว่าเราอยากได้ความกระจ่างจากตรงนี้มากกว่า” นอกจากนี้ยังต้องการให้มีการตรวจสอบหลักฐานให้แน่ใจอีกครั้งว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากการแข่งรถหรือไม่ เพราะจากกล้องวงจรปิดที่เก็บภาพได้ จะเห็นว่ามีรถ 2 คันที่แข่งกันมาบนท้องถนนสาย เอกชัย-บางบอน แข่งกันมาตลอดทางตั้งแต่บริเวณโรงพักบางบอนจนมาถึงจุดเกิดเหตุ 

 จากนั้นกล้องวงจรปิดอีกตัวที่จับภาพได้ จึงเผยให้เห็นภาพรถปิกอัพคันก่อเหตุ พุ่งชนร้านสเต๊กอย่างจัง จึงสงสัยว่าอาจเป็นรถที่อยู่ร่วมกระบวนการแข่งรถเดียวกันนี้ เนื่องจากลักษณะการขับมาเร็วและแรงมากเกินกว่าจะเป็นอุบัติเหตุธรรมดาทั่วไป คือนอกจากจะชนเข้ากับร้านสเต๊กของครอบครัวเข้าอย่างจัง ยังไถลไปไกลจนสร้างความเสียหายอีกกว่า 5 ห้อง แต่ทางผู้ก่อเหตุ ยืนยันว่าไม่ได้สับเปลี่ยนคนขับ และไม่ได้ขับรถซิ่งแข่งใคร แต่ที่เกิดอุบัติเหตุเป็นเพราะขับรถไม่ค่อยคล่อง แต่วันนั้นอยากกลับบ้านเร็วจึงแซงรถ 2 คันนั้นที่กำลังแข่งกันอยู่ขึ้นไป จนเป็นเหตุให้เสียหลักและคุมรถไม่อยู่      

        ที่น่าสนใจคือ หลักฐานบนโลกออนไลน์หลายๆ อย่างกลับขัดแย้งกับคำให้การของผู้ก่อเหตุของน้ำผึ้ง ตั้งแต่ที่บอกว่าน้องผู้ชายที่นั่งรถมาด้วยกันขับไม่เป็น และรถที่ทำให้เกิดเหตุก็ไม่ใช่รถแต่งเพื่อเอาไว้ซิ่ง แต่เป็นแค่รถเอาไว้ขนของขายเท่านั้น แต่ภาพที่ชาวเน็ตขุดมาได้ กลับเต็มไปด้วยภาพผู้ชายคนหนึ่งถ่ายรถปิกอัพป้ายทะเบียน "ฒฒ 7108" ซึ่งเป็นป้ายทะเบียนเดียวกับที่ทำให้เกิดเหตุ โพสต์เกี่ยวกับการแต่งรถเครื่องแรงแบบจัดเต็ม ซ้ำยังมีภาพชายหนุ่มคนนั้นขับรถคนนี้ไปไหนมาไหนด้วยตลอด โดยชาวเน็ตคาดการณ์กันไว้ว่าอาจเป็นชายคนเดียวกับที่นั่งมากับน้ำผึ้งในคืนวันเกิดเหตุ 

         อย่างไรก็ตาม นี่คือปากคำของน้ำผึ้งที่บอกตำรวจเอาไว้ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้

        "หนูเป็นคนขับค่ะ รถคว่ำ หนูอยู่ข้างล่าง น้องชายหนูอยู่ข้างบน ไม่เป็นอะไรเลย แขนหนูก็ยังเป็นแผลอยู่ หนูไม่ได้โกหกจริงๆ ค่ะ... หนูไม่ได้ขับรถเก่งน่ะค่ะ เพิ่งหัดขับ กะจะแซงแต่มันเสียหลัก รถมันหนักน่ะค่ะและมันข้อสูง ก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลน้องมาตลอดเลย เซ็นรับผิดชอบเป็นเจ้าของไข้ รับภาระหนี้สินของโรงพยาบาล และร้านที่เขาเสียหายทุกร้าน รวมทั้งร้านสเต๊กก็จ่ายหมดแล้ว

        วันแรกที่มาคุย เรียกศูนย์มาดู ตีราคาไว้ 80,000 บาท ดูแต่ภายนอกนะคะยังไม่ได้ดูภายใน แต่พอครั้งต่อมา มาตกลงเรื่องร้าน หนูก็จ่ายหมดเลยแล้ว แต่มาทีหลัง เขามาบอกอีกว่าตกลงเรื่องรถว่าตกลงแล้วราคา 350,000 หนูเลยบอกหนูจ่ายไม่ไหว เพราะหนูไม่มีเงินขนาดนั้น หนูเอาเงินมาจ่ายให้น้องและจ่ายค่าเสียหายไปหมดแล้ว ไม่ได้มีเงินเป็นของตัวเองด้วยค่ะ ยืมญาติพี่น้องมาด้วย

 รถภายในเราก็แต่งให้มันสวยๆ ได้ แต่จริงๆ มันเป็นรถขายของน่ะค่ะ มันไม่ใช่รถแข่ง เราก็ขายของทุกวัน หนูก็ไม่รู้จักรถ 2 คันนั้นที่แข่งมาด้วยค่ะ ช่วงจังหวะที่แซงคือใกล้จะถึงบ้านแล้วก็เลยแซง จังหวะมันไม่น่าจะแซงหรอกค่ะ แต่ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ด้านขับรถมาก พอแซงแล้วไม่พ้นเลยเอารถไม่อยู่ ก็ยอมรับว่าขับเร็วแต่ไม่ได้ขับแข่งค่ะ

        เรื่องค่าเสียหายหนูชดใช้อยู่แล้ว แต่ต้องใจเย็นๆ เรื่องนี้ หนูก็เสียใจค่ะ ไม่ได้อยากให้เกิด เข้าใจค่ะว่าคนเป็นแม่เสียใจแค่ไหน ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ยกมือไหว้ขอโทษเลย วันนี้ก็ทำเป็นทางการเลยแล้วกัน (ยกมือไหว้ผู้เสียหาย) ก็ขอโทษด้วยค่ะ"


ครอบครัวสูญเสีย ไม่มีคำว่า “เรียกร้องมากเกินไป”


 เมื่อมีปัญหาแคลงใจจนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์กันขนาดนี้ พล.ต.ต.ชัชวาลย์ วชิรปาณีกูล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 จึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้ จากการสอบปากคำกรณีสงสัยว่ามีการเปลี่ยนตัวผู้ขับขี่จริงหรือไม่ พยานยืนยันว่าฝ่ายชายปีนออกจากประตูรถก่อนเพื่อช่วยฝ่ายหญิงออกจากรถ จึงยืนยันได้ว่าน้ำผึ้งเป็นผู้ขับขี่รถจริง ไม่ใช่ชายวัย 19 อย่างที่คุณแม่สันนิษฐานเอาไว้ ส่วนเรื่องคดีจะสรุปสำนวนฟ้องภายในอาทิตย์นี้ โดยได้แจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บไป

        ส่วนเรื่องอาการของน้องการ์ตูน คุณแม่บอกว่าล่าสุดน้องลืมตาได้แล้ว เมื่อคุณแม่ไปกระซิบข้างหูว่าคดีคืบหน้าไปมาก น้องก็น้ำตาซึมแสดงอาการรับรู้ ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาล ล่าสุดพุ่งสูงถึง 1.5 ล้านบาท ซึ่งทางผู้ก่อเหตุได้ช่วยชดเชยจ่ายไปเบื้องต้นให้ 175,000 บาท ส่วนต่างหลังจากนั้น คุณแม่เป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด

        “คุณหมอให้คำตอบไม่ได้ว่าน้องจะฟื้นมั้ย จะเป็นเจ้าหญิงนิทราหรือเปล่า จะรับรู้ได้แค่ไหน บอกไม่ได้เลยทุกอย่าง คุณหมอบอกให้รอเวลาอย่างเดียวค่ะ ทางคุณแม่ก็หวังว่ายังไงน้องน่าจะกลับมาเหมือนเดิม ไม่มากก็ยังถือว่ารับรู้ได้ นั่งได้ ก็ยังดีกว่าไม่รับรู้อะไรเลย ตอนแรกคุณหมอกลัวเป็นเจ้าหญิงนิทราด้วยซ้ำค่ะ แต่ตอนหลังน้องลืมตาขึ้นมา พยายามกระตุ้นตัวเองให้รู้ว่าได้ยิน" เธอให้สัมภาษณ์ไปพลางกะพริบตาถี่ขณะเล่า

        ได้ทราบรายละเอียดเช่นนี้ เป็นใครก็อดเห็นใจไม่ได้ เช่นเดียวกับ นพดล สุวรรณกำจาย ผู้บริหาร บริษัท ไทยเซอร์เวย์เยอร์ แอนด์ ลอว์ จำกัด ซึ่งเป็นทนายและเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องประกันภัยรถยนต์ จึงขอแสดงความคิดเห็นเอาไว้เกี่ยวกับการร้องเรียนเรื่องค่าเสียหายที่ครอบครัวผู้สูญเสียควรได้รับ

“ในกรณีความเสียหายแบบนี้ เรียกเงินชดเชยยังไงก็ “ไม่มีคำว่า มากเกินไป” เพราะเขาเสียหายเยอะเหลือเกิน อันนี้ก็น่าเห็นใจทางผู้หญิงเขานะ เขาเสียหายเต็มๆ เลย ไหนจะลูก ไหนจะสามี เขามีสิทธิเรียกเต็มที่ได้เลย ส่วนจะได้เท่าไหร่เป็นอีกเรื่องนึง คือถ้าผมเป็นทนายว่าความให้ ผมก็จะเรียกเต็มที่เหมือนกันครับ

        ส่วนจะเรียกได้แค่ไหน มันต้องมาดูที่องค์ประกอบอีก ต้องดูว่าสามีเขาเคยมีรายได้วันละเท่าไหร่ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาน่าจะสามารถทำรายได้ได้ถึงอายุเท่าไหร่ ต้องมานั่งคำนวณดู สมมติว่าอยู่ได้ถึงสัก 60 ปี ควรจะได้ค่าชดเชยเท่าไหร่ ต้องคิดเผื่อไว้ครับ เพราะทางผู้เสียหายต้องกินต้องอยู่ต่อไป และตอนนี้ลูกสาวก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ค่ารักษาพยาบาลก็ควรจะให้แพทย์ประเมินให้ก่อนว่าตกเดือนละเท่าไหร่ ของแบบนี้จะมาตัดสินกันลอยๆ ไม่ได้ครับ แนะนำให้ผู้เสียหายลองไปพึ่งสภาทนายความเลย

        กรณีแบบนี้ เราอย่าไปฟังคนคนเดียว หรือฟังผมคนเดียวก็ไม่ถูก เราควรคำนึงประโยชน์สูงสุดของเรา อย่าลืมว่าเราเป็นผู้ถูกละเมิดนะ ถ้าเป็นความเสียหายด้านทรัพย์สิน เราซ่อมได้ แต่ถ้าเป็นความเสียหายเกี่ยวกับชีวิตคน มันซ่อมไม่ได้นะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาภาระนี้ใหญ่หลวงเลยนะ มันไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกเองนะ แต่ต้องอยู่กับสภาวะแบบนี้ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ อันนี้เรื่องใหญ่เลย

        แต่ผมแนะนำว่าเรายังมีทางออกอีก ค่อยๆ ดูทางออกก่อน อย่าเพิ่งไปหวังว่าคนที่ขับรถหรือแข่งรถซิ่งจะมารับผิดชอบ เพราะเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กครับ มันเรื่องใหญ่ ฟังแล้วก็น่าเห็นใจ เพราะเรื่องมันเกิดกับชาวบ้านทำมาหากินธรรมดา อนาคตของเด็กจะเป็นยังไงก็ไม่จบ ถ้าน้องต้องนอนโรงพยาบาลระยะยาวมันก็ยิ่งแย่

 ถ้าฝ่ายผู้เสียหายมีคนเสียชีวิต โดยพื้นฐาน จะต้องจ่ายขั้นต่ำ 300,000 บาท ส่วนจะเจรจาให้ได้ชดเชยในอัตราที่สูงกว่านี้ หรือให้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลน้องในระยะยาวได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนถ้ามีการฟ้องร้องเกิดขึ้น ทางศาลเขาก็จะพิจารณาโทษของฝ่ายก่อเหตุว่า คุณมีความพยายามที่จะช่วยบำบัดปัดเป่าในเหตุที่เกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร ถ้าเขาได้ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายอยู่บ้าง ศาลก็จะมองว่า เอ้อ...ก็ยังมีความดีอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่พยายามทำอะไรเลยศาลก็จะตัดสินโทษตามนั้น แต่เรื่องนี้ ถ้าให้ศาลดู ตั้งแต่ผมมีชีวิตทางด้านทนายมา ถ้ามีข้อมูลว่าผู้ก่อเหตุแข่งซิ่งรถมาชนนี่ ศาลท่านไม่เคยเว้นสักที”     

(อ้างว่ารถไม่ได้แต่ง แต่หลักฐานออนไลน์กลับขัดแย้ง)


 ลองให้พิจารณาในมุมบทลงโทษบ้าง หากท้ายที่สุดแล้ว ผลการสืบสวนปรากฏออกมาว่าข้อสันนิษฐานเรื่องการสับเปลี่ยนคนขับและการซิ่งรถเป็นเรื่องจริง ความผิดที่เคยตัดสินเอาไว้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

        “ความผิดระหว่างรถที่แข่งมาแล้วเกิดอุบัติเหตุ กับรถที่ขับแล้วพลาดโดยประมาท ต่างกันนะครับ ถ้าเกิดรถเอามาแข่งซิ่งในถนนหลวงเนี่ย มันค่อนข้างเป็นความผิดที่ศาลท่านดูแล้ว จะมองไปในลักษณะว่าค่อนข้างร้ายแรง ก่อให้เกิดอันตราย แต่ถ้าขับธรรมดาแล้วเกิดอุบัติเหตุ ศาลท่านก็จะพิจารณาไปตามนั้น อาจจะเกิดเพราะความไม่ชำนาญ ก็ต้องชั่งน้ำหนักและตัดสินตามนั้น แต่ถ้าเหตุเกิดเพราะซิ่งรถมา ผมเชื่อได้เลยว่าศาลท่านลงโทษหนักแน่ โดยเฉพาะกรณีที่มีคนตาย โทษตามกฎหมายขับขี่โดยประมาทจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จำคุกไม่ต่ำกว่า 10 ปี แล้วถ้ายิ่งตั้งใจขับซิ่งขับแข่งมา โทษก็น่าจะยิ่งหนักขึ้นอีก”

อีกประเด็นที่สังคมวิจารณ์อย่างหนักไม่น้อยกว่ากรณีอื่นคือ รถปิกอัพคันดังกล่าวไม่มี พ.ร.บ. ซึ่งถือว่าช่วยสะท้อนอะไรๆ ได้อีกหลายมุมเหมือนกัน 

        “ผมเห็นว่ามีความสำคัญนะครับ เพราะว่าสมัยก่อนที่รถยังไม่มี พ.ร.บ. ภาระทั้งหลายจะไปตกอยู่กับรัฐ เพราะรัฐต้องรับผิดชอบด้านสาธารณสุข มีเรื่องประชาสงเคราะห์ซึ่งรัฐจะต้องเจียดเงินงบประมาณมาให้ตรงนี้ เวลาคนถูกรถชนมาก็ต้องมาเบิกตรงนี้ ทำให้รัฐต้องรับภาระ เลยทำให้เกิด พ.ร.บ.ตรงนี้เกิดขึ้นเพื่อให้คนที่ใช้รถได้ช่วยเหลือสังคมในงบประมาณตรงนี้ 

        เพราะฉะนั้น การมี พ.ร.บ.ย่อมเป็นผลดีกว่า มันเป็นการรองรับในชีวิตของคน จากสมัยก่อนจะมีคำพูดที่ว่า “หมาตัวนึงถูกชน ได้รับค่าเสียหายมากกว่าชีวิตคนคนนึงเสียอีก” เพราะตอนนั้นไม่มีใครดูแล แต่สมัยนี้มี พ.ร.บ. ก็ยังมีคนรองรับตรงนี้อยู่ ให้คนใช้รถได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม ไม่ใช่รัฐต้องรับภาระตรงนี้ฝ่ายเดียว ส่วนคนที่ไม่มี พ.ร.บ.หรือไม่ต่อภาษีนี่ ก็สามารถมองได้ว่าบุคคลนั้นไม่รับผิดชอบต่อสังคมได้เหมือนกัน”


ความหวังสุดท้าย “กล้องวงจรปิด” 


 ประเด็นที่เป็นที่วิพากษ์อย่างหนักคือ “มีการสับเปลี่ยนคนขับจริงหรือไม่?” เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนาย “นพดล” บอกว่าแท้จริงแล้วสามารถตรวจสอบได้ ดังต่อไปนี้

        “ประการที่หนึ่ง ตรวจสอบจากตัวผู้ขับขี่ได้ครับ ที่นั่งข้างหน้า เข็มขัดนิรภัยมันจะมี 2 ข้างใช่มั้ยครับ ถ้าเกิดเหตุแล้วใครจะอ้างว่าใครเป็นคนขับขี่ก็ตาม เราสามารถดูที่รอย Safety Belt ได้ เพราะเวลาเกิดอุบัติเหตุจะเกิดแรงกระชาก ทำให้เกิดร่องรอยบาดแผลหรือร่องรอยฟกช้ำขึ้นมา ให้มองเห็นพอจะชี้ได้ว่าสรุปแล้วใครคือผู้ขับขี่

        ประการที่สอง สามารถถามพยานบริเวณใกล้เคียง ข้างทางแถวนั้นว่าขณะเกิดเหตุมีใครเห็นมั้ยว่าใครขับขี่ เท่านี้ก็พอจะช่วยชี้ได้ และประการที่สาม ดูว่าร่อยรอยความเสียหายของรถกับความสัมพันธ์ของคนที่อยู่ในรถขณะนั้น มันสัมพันธ์กันแค่ไหน เพราะตำแหน่งที่นั่งอยู่กับคนที่นั่งข้าง จะมีร่องรอยลักษณะหัวโหม่งกระจกบ้างมั้ย ถ้ามีการโหม่ง คนที่โหม่งจะต้องมีบาดแผลบ้าง ก็พอจะจับได้ แต่ผมเชื่อว่าจากที่ดูในกล้อง น่าจะมีพยานที่พอจะมองเห็นได้ว่าใครเป็นคนขับ”       

(ชาวเน็ตตามสืบ น่าจะเป็นคนเดียวกับชายวัย 19 ที่อ้างว่าขับรถไม่เป็น)


        นอกจากนี้ พ.ต.อ.วันชัย อยู่แสง รองผู้บังคับการตำรวจจราจร กองบัญชาการตำรวจนครบาล ยังช่วยเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องกล้องวงจรปิดว่าสามารถขอดูจากทางกรุงเทพมหานครได้ โดยอาจต้องพิจารณาก่อนว่าจุดเกิดเหตุมีกล้องประเภทใดติดตั้งเอาไว้บ้าง

        “กล้องในส่วนนี้จะมีเฉพาะของกรุงเทพมหานครที่เขาติดตั้งไว้ให้ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท โดยประเภทที่หนึ่งคือ กล้องที่ติดตั้งไว้ดูการจราจร มีอยู่ประมาณ150-160 ตัว กล้องพวกนี้จะอยู่ตามทางแยกใหญ่ๆ ในรอบในหรือถนนสายสำคัญต่างๆ ปากซอยจะไม่มี และกล้องประเภทที่สองคือ กล้องที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดูในเรื่องของการป้องกันอาชญากรรม ตามปากซอยต่างๆ ก็น่าจะมีกล้องพวกนี้จะอยู่ในความดูแลของทางกรุงเทพมหานครเหมือนกัน ก็ต้องดูว่าบริเวณนั้นมีกล้องอยู่หรือไม่ ถ้ามีต้องไปติดต่อที่สถานีตำรวจในท้องถิ่นที่เกิดเหตุ บางโรงพักทางกรุงเทพมหานครจะเชื่อมสัญญาณ CCTV ให้แล้ว แต่บางโรงพักยังไม่ได้เชื่อมให้

        เราอาจจะไปขอดูที่สำนักงานเขตได้ ถ้ามีการเชื่อมสัญญาณมาที่โรงพักแล้ว ส่วนใหญ่สำนักงานเขตมีเรียบร้อยแล้ว หรือถ้าไม่มีจริงๆ สะดวกที่สุดไปดูได้ที่ศูนย์ CCTV ของกรุงเทพมหานครแถวเสาชิงช้า เราสามารถขอย้อนกลับไปดูได้น่าจะประมาณ 15-30 วัน เราต้องดูว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นนานหรือยัง ถ้านานแล้วก็อาจจะถูกลบไปแล้ว

        ถ้าดูกล้องCCTV แล้วมีข้อเท็จจริงปรากฎก็นำไปให้พนักงานสอบสวน ทางพนักงานสอบสวนจะมีพยานหลักฐานใหม่ที่สามารถดำเนินคดีกับคนที่ทำความผิดจริงได้ ในส่วนที่ขอดูกล้องวงจรปิดไม่ต้องใช้หลักฐาน อาจให้ทางกรุงเทพมหานครคัดสำเนาให้หรือเอาใบแจ้งความบันทึกประจำวันเพื่อไปขอคัดสำเนาไปทางพนักงานสอบสวน

        คนชนคนขับขี่จะมีความผิดในเรื่องของการขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสมีโทษจำคุก เกิดการสลับตัวจริงมีความผิดฐานให้ความเท็จต่อเจ้าพนักงานมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา คนที่ให้ความเท็จก็รับโทษไปในขณะที่คนขับถูกดำเนินคดีในข้อหาขับรถประมาททำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตครับ”

 แม้ขณะนี้จะยังมีเรื่องค้างคาภายในใจ แต่คุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยวอย่าง “ศรัญญา” ก็พยายามทำใจแข็งและสู้ต่อไป เพื่อลูกน้อยวัย 5 ขวบที่พยายามต่อสู้กับตัวเองอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน แม้หนูน้อยจะยังมีไข้ตลอดเวลา บวกกับมีอาการชักเกร็งเพราะในสมองบวมน้ำ แต่หนูน้อยก็ยังสู้ต่อไป และแม้ไม่รู้ว่ากระบวนการยุติธรรมจะทดแทนสิ่งที่ครอบครัวนี้สูญเสียไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่คุณแม่ใจเด็ดรายนี้ก็ยังคงสู้กับชะตาชีวิตต่อไป ด้วยการเปิดร้านสเต๊กร้านใหม่โดยใช้ชื่อเดิม “สเต๊กลุงใหญ่” มาตั้งร้านแถวราษฎร์บูรณะ เพราะไม่อาจทนความเจ็บปวดตั้งร้านที่เดิมได้อีกต่อไป เนื่องจากภาพสามีกระอักเลือดกอดลูกในวันนั้นยังติดตามาจนถึงตอนนี้...

(คุณแม่ใจแกร่งยังคงสู้ต่อไป)

ทิมมี่ไม่รู้ว่า เรื่องนี้จะสรุปอย่างไร แต่ ณ ตอนนี้ ใครก็ได้ไปช่วยกันทานสเต๊กที่ร้านลุงใหญ่เพื่อคุณแม่จะได้มีรายได้ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลน้องการ์ตูนด้วยนะครับ

ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ: รายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" และ แฟนเพจ "The Dark Knights ll" 
//www2.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9570000131169





Create Date : 17 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2557 21:59:13 น. 0 comments
Counter : 1115 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tukdee
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]