รายงานระบุว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาหลังสงครามสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นได้ออกมาตระหนักถึงความทุกข์ทรมานของผู้หญิงกลุ่มนี้ และในปี 1993 เลขานุการหัวหน้าคณะรัฐมนตรี นายโยเฮอิ โคโน ได้แถลงการณ์ขออภัยสำหรับความทุกข์ทรมานและบาดแผลทางใจที่พวกเธอได้รับ
แต่เมื่อปีที่แล้วรัฐบาลชินโซ อาเบะ กล่าวว่าพวกเขาจะพิจารณาการแถลงการขออภัยใหม่ โดยชี้ว่ารัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับตัวหญิงสาวและบังคับให้เป็นหญิงรับใช้ในค่าย อีกทั้งยังอ้างว่าเงินชดเชยนั้นถูกจ่ายให้เกาหลีใต้ไปแล้วในปี1965 โดยเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลี แต่เกาหลีใช้เงินส่วนใหญ่ที่ได้รับไปในโครงการขั้นพื้นฐานต่างๆมากกว่าให้เป็นเงินชดเชยแก่หญิงบำเรอที่รอดชีวิต
โดยนางยูฮีนัมวัย88 ปี อดีตหญิงบำเรออีกคนหนึ่งที่อาศัยในบ้านแห่งการแบ่งปันได้ออกมาวิพากษ์ทัศนคติของญี่ปุ่นที่มีต่ออดีตหญิงบำเรอเธอกล่าวว่า"อาเบะไม่ได้ตระหนักเลยว่าพวกเราถูกบังคับให้มาเป็นทาสกามเขาบอกว่าพวกเราได้เงินและทำอย่างเต็มใจพวกเราโกรธมากจริงๆ คำพูดของเรากลายเป็นคำโกหกเพราะพวกเขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้น เราจะทำการฟ้องร้อง"
นอกจากนี้ นางยูยังได้เล่าประสบการณ์อันเศร้าสลดเธออีกว่า "มันเป็นเรื่องเจ็บปวดใจมากจริงๆ พวกเขาทุบตีเรา มันน่าอนาถใจมาก ผู้หญิงเกาหลีได้รับการปฏิบัติเหมือนพวกเราไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาปฏิบัติกับเราเหมือนเราเป็นเพียงสุนัข" เช่นเดียวกับหญิงคนอื่นๆ ยูปกปิดอดีตอันน่าอับอายของเธอกับครอบครัว แต่หลังที่เธอได้พูดความจริงออกไปแล้ว เธอกล่าวว่า "ลูกๆของฉันบอกว่าพวกเขารู้สึกอับอาย ดังนั้น ตอนนี้ฉันอยากจะตายๆไปเร็วๆ"
ทั้งนี้ เวลาสำหรับอดีตหญิงรับใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมกำลังจะหมดไป เพราะตอนนี้มีเพียง 49 คนที่รอดชีวิตเท่านั้น และอายุเฉลี่ยของพวกเธอนั้นก็เกือบๆ 90 ปี ดังนั้น เวลาของพวกเธอจึงเหลือน้อยเต็มที