All Blog
ได้ไปแล้วนะ ญี่ปุ่นน่ะ ภาคปฏิบัติ ตอน 2
หลังจากที่น้องฮารุกะได้พาเรามาส่งที่สถานีเกียวโตเรียบร้อยแล้ว
เราก็เดินออกทาง Central Gate เพื่อไปที่พัก คือ K's House Kyoto ทางไปจาก website ดูเหมือนจะง่ายๆ และไม่ไกลมาก แต่อิฉันได้ลองดูทางผ่าน Google map และเขียนมาเอง ดูเหมือนจะเข้าใจได้มากกว่า แนะนำว่าควรเปิด Google map ดูทางเดินไปเลยว่าจะผ่านกี่แยกและมีอะไรเป็น จุดสังเกตมาก เพราะการที่เราลากกระเป๋าใบใหญ่ๆ แล้วมันเดินหลงไปหลงมาเนี่ย ไม่สนุกนะจ๊ะ สำหรับคนที่จะไป K's House Kyoto ให้เดินลากกระเป๋าออกมาทางเกียวโตทาวเวอร์ ข้ามถนนไปเลย เดินผ่าน Mc Donald และสถานีตำรวจ เดินไปจนถึงแยกใหญ่ๆ ที่ข้ามถนนไปจะมี Lawson อยู่ตรงกันข้าม และให้ข้ามถนนหน้า Lawson อีกที หลังจากนั้นก็เดินตรงไปเรื่อยๆ อย่างเดียว จะผ่านโรงแรม Traveler Hotel จุดสังเกตอันแรกคือ ปั๊มน้ำมัน และร้าน mini stop ถ้าเดินผ่านสองแห่งแสดงว่าแม่นแล้ว แต่ยังไม่ถึง สังเกตอีกนิดจะมีร้านที่มีป้าย Volvo เดินไปเรื่อยๆ จะเจอสี่แยกใหญ่ๆ ให้ข้ามไปก่อน แล้วจะเจอ ซอยเล็กๆ หน้าซอยเป็นร้านเหล้า สังเกตว่ามีโคมแดงอยู่หน้าร้าน มองเข้าไปในซอย K's House จะอยู่ด้านขวามือ ตึกใหญ่ๆ สีฟ้าๆ



เราพักแบบ Dorm 4 เตียงใน 1 ห้อง ดีมากๆ เลย เพราะใกล้ห้องน้ำ แต่ละ floor จะมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำให้ ห้องอาบน้ำมีประมาณ 3 ห้อง ห้องส้วมมีประมาณ 3 ห้อง เป็นห้องน้ำรวม ชาย-หญิง และสะอาดมากๆ มีห้องอาบน้ำแยกเดี่ยวๆ ออกมาอีกห้องนึงด้วย เราอาบห้องนั้นประจำเลย ไม่เจอใคร การอยู่แบบนี้ก็ดีนะ เพราะว่าเรามา 4 คน เวลาอาบน้ำจะได้ไม่ต้องรอกัน เพราะใครสะดวกเมื่อไหร่ก็เข้าไปเลย แถมห้องอาบน้ำจะแยกเป็นส่วนเปียกส่วนแห้งด้วย สบายมากก ราคาที่พักเพียงคนละ 2500Y/คน/คืน มีลิฟท์ให้ด้วยนะ



ชั้น 2 จะเป็นห้องรวม จะมีคอมพิวเตอร์ให้ใช้อินเตอร์เน็ตแบบหยอดเหรียญ 100Y/30 นาที และมีครัวให้ทำอาหาร ต้มนำกรองน้ำ มีอีกห้องมีเครื่องซักผ้าและอบผ้าแบบหยอดเหรียญ ห้องนี้จะมีคนอยู่ตลอดทั้งวันแหละ และที่ชั้น 4 จะมีห้องดูทีวี แต่ว่าเราก็ไม่ได้ขึ้นไปดูซักที ฮ่าๆๆ


วันแรกด้วยความเชี่ยวชาญ เรามาโดย Google map พาชาวกะเหรี่ยงทั้ง 3 มาโดยไม่หลง ซึ่งอาจจะผิดความคาดหมาย ทำให้ถึงที่พักประมาณ 10.30 น. แต่ห้องให้เช็คอินได้ตอนบ่ายสามโมง ดังนั้น เราก็ฝากกระเป๋าไว้ แล้วก็ไปแร่ดๆ โดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำหรือไรเลย แต่กลัวที่ไหนเล่า เรื่องไม่ได้อาบน้ำน่ะไม่กลัวหรอก แต่กลัวจะไม่ได้เที่ยวต่างหากล่ะเนี่ย


จริงๆ เราวางแผนไว้ว่า วันแรกจะไป Uji กับ Nara เพราะเค้าว่าเสาร์-อาทิตย์ เกียวโตจะรถติด เลยว่าจะใช้ JR ให้เป็นประโยชน์ เราก็เลยไปที่สถานีเกียวโต แวะไปที่ TIC ที่ชั้น 2 ตึก CUBE แต่เค้ามีป้ายบอกว่าสำหรับชาวต่างชาติให้ไปที่ Isetan ชั้น 8 เราก็ไปโลด และได้แผนที่และแผนเที่ยวมาสมใจอยาก

หลังจากนั้นก็เริ่มโอ้เอ้ หาอาหารใส่ท้อง ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 11 แต่ร้านอาหารคนเยอะมากๆ ก็เดินลงเรื่อยๆ มาเจอชั้นที่ขายแต่ราเม็งรู้สึกจะเป็นชั้น 9 มั้ง ก็ไปหยอดเหรียญและหม่ำๆ ด้วยราคา 850Y พร้อมน้ำฟรี
อร่อยดีนะ ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นก็คงจะเริ่มต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสกันแล้ว เพราะเราเห็นตั้งต้นคริสมาสต้นใหญ่มากๆๆ ตรงตึก CUBE นี่แหละ ตอนกลางคืนคงจะสวยน่าดู


อันนี้ราเม็ง หย่อยๆๆ



หลังจากนั้นเราก็ไปขึ้น JR-Nara Line โดยแวะถามพี่เฝ้าสถานีว่าอยู่ plate form ไหน จะได้ไม่ต้องเสียเวลางมหา ก็รู้ทันที และเลือกขึ้นรถ Rapid (เนื่องจากมันจอดอยู่คันเดียว อิอิ) แต่เพื่อความแน่ใจ ก็ถามเค้าซักหน่อย คุณลุงชาวญี่ปุ่นที่เราถามแกก็ ไฮ้ๆๆ เราก็เอ้อ...คงใช่น่ะแหละ


อันนี้ Local Train


รถออกก็จอดไม่กี่สถานี เราก็เงี่ยหูฟังดีๆ แต่ JR ของทางฝั่ง KANSAI นี่น่ารักดีนะ คือ ก่อนจะถึงสถานีน่ะ พี่แกพูดอธิบายซะยาวยืดเลย พี่ที่ไปด้วยพอฟังออกบ้างบางคำ ฟังเหมือนคล้ายๆ เค้าจะบอกว่าอีกกี่นาทีจะถึงสถานีนี้ และรถไฟสายนี้จะเดินทางไปที่สถานีอะไรบ้าง ทำนองนี้อ่ะ ซึ่งพอมาเจอที่โตเกียวนี่ ดูห้วนๆ สั้นๆ
กว่ากันเยอะเลย เราก็รอจนถึงสถานี UJI แล้วก็ลง พอลงจากสถานีก็จะเจอ Tourist Information และร้านขายของที่ระลึกเลย เราก็ได้แผนที่มา แต่... ไม่ได้ดูเท่าไหร่หรอก เพราะเดินตามพี่สาวคนญี่ปุ่นข้างหน้าไปเลย เพราะคิด(เอาเอง) ว่าเค้าก็มาเที่ยวเหมือนกัน ฮ่าๆๆ


พี่สองคนนี้ที่แอบเดินตาม




ป้ายทางเข้าสู่ถนนสายชาเขียว



เมืองอุจิ ก็ขึ้นชื่อเรื่องชาเขียว และวัดเบียวโดอิน (รูปหลังเหรียญ 10 เยน)

ทางเดินไปสะพานอูจิ และวัดเบียวโดอินจะเต็มไปด้วยร้านขายชาเขียวและผลิตภัณฑ์จากชาเขียวทั้งนั้น เลือกซื้อได้ตามสบาย ส่วนใหญ่ราคาประมาณ 1000-1500Y ขึ้นอยู่กับชนิดด้วยมั้ง และมีขนมโมจิใส่ถั่วแดงที่เค้าเอาไว้กินกับชาเขียวขายหลายชนิด ดูตื่นตาตื่นใจดี บางร้านจะจัดเป็นสวนสวยๆ ให้เข้าไปนั่งกินชาชมสวนได้ด้วย ราคามิได้ตรวจสอบเนื่องจากคาดว่าอาจจะทำให้กระเป๋าฉีกได้ ;)



ชาเขียวววววว






ร้านชาเขียวแบบหรูๆ หน่อย



ค่าเข้าชมวัดเบียวโดอิน 600 Y อันนี้เข้าชมเฉพาะภายนอกเท่านั้น ถ้าจะเข้าชมข้างในจะจ่ายอีก 300 Y จะมีการนำเข้าชมเป็นรอบๆ ไป










ข้างๆ ศาลา Phoenix Hall จะมีวัดและที่พักของเจ้าอาวาสนะ(เราเข้าใจว่างั้น) แหะๆ ก็แวะไปถ่ายรูป และเดินชมรอบๆ ด้านหลังของ Phoenix Hall จะเป็นก็ Museum ที่ใช้จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับโบราณวัตถุต่างๆ ที่พบในวัด นำมาจัดแสดงให้เห็นกัน และไม่เสียค่าเข้าชม





ที่เห็นไกลๆ ก็คนกำลังเข้าคิวเพื่อเข้าชมในปราสาทน่ะ




หลังจากนั้น เราก็เดินทะลุออกทางด้านหลังของวัด แถวๆ นั้นเป็นที่จอดรถบัส และมีร้านอาหารอยู่พอสมควร เลยแวะซื้อไอติมชาเขียวมาแทะเล่น

หลังจากนั้นก็เดินลัดเลาะมาทางแม่น้ำ จะเห็นชาวญี่ปุ่น่ มานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันมากมาย บางครอบครัว ก็พาลูกใส่ชุดกิโมโนมาถ่ายรูป บางครอบครัวพาลูกๆ และน้องหมามานั่งกินไอติมกันริมแม่น้ำ แถมทางเดินเลียบๆ ข้างๆ แม่น้ำ ก็จะมีร้านขายขนม เหมือนคล้าย ๆ ตลาดนัดกลายๆ มีขายของที่ระลึกและ มีการแสดงด้วยนะ


อันนี้ร้านไอติมชาเขียว มีเยอะมาก กินกันได้ทุกร้าน



ครอบครัวสุขสันต์







ออกร้านขายของ ดูเงียบๆ นะ



บรรยากาศริมแม่น้ำ




หนึ่งในหลายๆ สะพานข้ามแม่น้ำ อูจิ


พักผ่อนหย่อนใจ





เด็กน้อยและต้นไม้



เด็กๆ



เมืองอูจิ น่ารัก น่าเที่ยวมาก ถ้าได้อยู่คงสบายอกสบายใจดีนะ

จริงๆ เราสามารถข้ามสะพานไปอีกเพื่อชมศาลเจ้าแต่เนื่องจากเวลาล่วงเลยมามากแล้ว ก็เลยไม่ได้ข้ามไปเพราะว่าจะไปนาราต่อ แต่ถ้าใครมีเวลามากหน่อย มานั่งชิลด์ แถวๆ นี้น่าจะมีความสุขดี แล้วขากลับ ค่อยๆ เดินผ่านตามร้านขายชาเขียว ค่อยๆ เลือก ค่อยๆ ชิม แล้วสอยชาเขียวกลับบ้าน ส่วนเราก็แวะซื้อมา 1 ซอง พร้อมขนมหวาน เพราะชาเขียวที่เค้าให้ชิม ค่อนข้างขมปี๋ อิอิ ว่าจะเอามาให้ที่บ้านชิมกันดีกว่า หลังจากนั้น ก็ไปต่อรถไฟ JR ไป Nara ต่อ

ช่วงที่เราไปเหมือนที่ญี่ปุ่นกำลังจะเปลี่ยนเข้าฤดูหนาว ทำให้อากาศเริ่มเย็นลง และพระอาทิตย์ก็ตกเร้วว เร็วนะ ประมาณ 4 โมง ก็เหมือน 6 โมง แล้ว ตอนเราออกจากอูจิตอน 4 โมง ก็เริ่มค่ำ ตอนแรกว่าจะไม่ไปนารา แต่คุยกันว่ายังไงลองไปดูดีกว่า เพราะค่าตั๋วก็ฟรี (จริงๆ จ่ายก่อนมาแล้ว) เลยนั่งรถไป กว่าจะถึงสถานีนารา ก็เริ่มมืดแล้ว แถมตอนออกมาจากสถานีไม่ดูตามาตาเรือ ว่าออกมาผิดทางจึงไม่เห็นป้ายรถบัสที่จะออกไปเที่ยวนาราพาร์คน่ะสิ ไปยืนเอ๋อกันประมาณ 10 นาที แล้วตัดสินใจกลับเกียวโต เพราะแล้วค่อยไปแก้ปัญหากันอีกทีว่าจะมานาราวันไหน แหม ทัวร์เรามันยืดหยุ่นได้อยู่แล้วนี่นา

กลับมาที่พัก อาบน้ำอาบท่า แล้วก็ลุยๆ ว่าจะไป Gion & Central Kyoto เห็นเค้าว่ามีรถเมล์พาไปได้ เราเลยหาไรกินเดินจากที่พัก ข้ามแม่น้ำคาโมะไป เจอ ป้ายรถเมล์แล้ว แต่แวะไปหาของกินใน Family mart ได้ ข้าวปั้นและ โอเด้ง.. เอามานั่งกินในแมคฯ ข้างแม่น้ำนั่นแหละ แมคที่ญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเมืองไทยเท่าไหร่ มีเมนูให้เลือกน้อยกว่าซะอีก แต่ก็มีที่ให้นั่งหม่ำๆ หลังจากนั้นเราก็ ข้ามถนนมาขึ้นรถบัสไปกิออน กัน พอรถเมล์พามาถึงป้ายนะ เราลงเสร็จไม่ดูตาม้าตาเรือ เดินเข้าไปในซอยหน้าป้ายรถเมล์เลย ขอบอกว่าได้สัมผัส night life จริงๆ เลย เพราะในซอยเนี่ย เป็นบาร์ คลับ ทั้งนั้น แต่เค้าจะมีไม่น้องๆ อะไรมานั่งหน้าร้านนะ แต่สัมผัสได้ และคนในร้านขายเบเกอรี่ในซอยมันยังหันมามองว่า ไอ้ 4 ตัวนี่มันมาเดินทำไรในซอยนี้ แถมตรงปากซอยยังมีผู้ชายใส่สูทสีดำๆ ประมาณ 7-8 คน ยังกะยากูซ่าในหนังที่เคยดูยืนอยู่ตรงปากซอย อีกต่างหาก เอาเข้าไป เลยรีบๆ จ้ำๆ ออกมาจากซอย แล้วก็หาทิศทางจนเจอ Gion Sreet วิธีการสังเกต ไม่ยากเลย คือ ถนนที่มีคนหน้าตาแบบนักท่องเที่ยวเยอะๆ น่ะ ตอนเราไปก็ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ คนเพียบเลย เดินเข้าไปก็ได้บรรยากาศดีนะ แต่เมื่อไหร่ ที่มีน้องเกอิชาเดินออกมาเมื่อไหร่ จะมีฝูงชนเดินตาม บางคนวิ่งไปดักหน้าดักหลังเพื่อถ่ายรูป เราก็ไม่รู้นะว่าเค้าจะรู้สึกยังไง เพื่อนบอกว่าอาจจะรู้สึกเหมือน Super Star ที่มีพวกปาปารัซซี่ คอยตามถ่ายรูปก็ได้ เราเดินๆ แล้วเขินไม่กล้าถ่ายอ่ะ ก็เค้ามาทำงานนี่นา ก็ต้องปล่อยให้เค้าได้ทำงานอย่างสะดวกสิ แต่อดไม่ได้ตอนออกมาจากถนนแล้วมีน้องเกอิชาเดินข้ามถนนมา เลยแอบถ่ายไว้รูปนึง แต่ว่า เค้าเอามือบังหน้านะ แสดงว่าเค้าอาจจะไม่ได้อยากให้ถ่ายซักเท่าไหร่

ถึงซะที กิออง







อันนี้ถ่ายโคมไฟนะ ฮ่าๆๆ





ไมโกะ กำลังข้ามถนน







หลังจากนั้นก็เดินๆ เที่ยวๆ ถนนแถวๆ นั้น แต่ที่เกียวโต หลัง 3 ทุ่มเนี่ยเหมือนหมดเวลาทำการ ร้านต่างๆ ยกเว้นพวกร้านกลางคืนจะปิดร้านกันหมดเลย เราเดินไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำคาโมะแล้วนะ มองลงไป เห็นมีคนไปนั่งกินลม ชมวิวกันริมแม่น้ำเยอะแยะไปหมด ที่พักเราก็อยู่แถบๆ แม่น้ำนะ ถ้าเดินเลียบแม่น้ำไปท่าจะได้อารมณ์ดี แต่ว่าไม่รู้ว่าเดินเลียบขึ้น หรือเลียบลงน่ะสิ ดึกแล้วด้วย ก็เลยลงไปรถไฟใต้ดิน แล้วซื้อตั๋วกลับไปแถวๆ แมคโดนัลด์ที่เรานั่งกินข้าวดีกว่า เลยอดเดินรับลมแม่น้ำคาโมะเลยนะเนี่ย คืนแรกกว่าจะเข้านอนก็ 5 ทุ่มแล้วมั้ง เรานอนเตียงบน กว้างขวางสบายดีมาก ผ้าห่มก็อุ๊น อุ่น นอนแบบไม่ต้องเปิดแอร์ หรือเปิดฮีทเตอร์เลยก็ได้ เปิดหน้าต่าง อากาศก็กำลังดีเลยแหละ





Create Date : 08 มกราคม 2553
Last Update : 9 มกราคม 2553 9:53:09 น.
Counter : 2565 Pageviews.

1 comments
  
อุจิ สวยมั้ยคะ..

ไปคราวหน้า จะแวะไปมั่ง
โดย: poongie วันที่: 14 มกราคม 2553 เวลา:15:59:08 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

m-e-e-n-a
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



ชอบกิน
ชอบวิ่ง
ชอบว่ายน้ำ
ชอบทำอะไรก็ได้ให้เอนโดรฟีนหลั่ง
ชอบถ่ายรูป
ชอบออกเดินทาง
ชอบหลายอย่าง บางอย่างทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อยากทำ

อิสระของชีวิต ไม่ใช่เพราะมีเงินเพียงพออย่างเดียว
เราต้องมีเวลาให้กับของกินที่มีประโยชน์ ทำประโยชน์ให้กับสังคม สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนดีๆ ออกเดินทางค้นหาคำตอบของชีวิต ดูหนัง ฟังเพลง เสพงานศิลป์ เพื่อความรื่นรมณ์อีกด้าน และที่สำคัญมีเวลาใส่ใจกับคนในครอบครัวของเราด้วย ทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่.. ชีวิตเราจะสมบูรณ์ที่สุด