All Blog
ได้ไปแล้วนะ ญี่ปุ่นน่ะ ภาคปฏิบัติ ตอน 4
Day3 เกียวโต- ฟูจิอิมินาริ - คินคะคุจิ - เรียวอันจิ -อาราชิยามะ


แหะๆๆ ถ้าเป็นผู้ที่สันทัดการเที่ยวญี่ปุ่น พอเห็นหัวข้อแล้ว คงนึกในใจ มันจะไปเที่ยวหมดได้ยังไงกันฟระ ฮ่าๆๆ ตอนแรกอิฉันก็ไม่มั่นใจหรอก ว่าหมด แต่ จริงๆ ก็ไปได้หมดนะ แต่.. เที่ยวไม่หมด(เข้าใจมั้ยเนี่ย)
เหมือนไปน่ะ แต่ไปไม่ถึงไง ฮ่าๆๆ แค่ไปเหยียบแผ่นดิน ก็ถือว่าไปแล้วใช่มั้ยอ่ะ


ตอนเช้าเราเริ่มด้วยการติดต่อพนักงานของ K's House Kyoto ว่าเราอยากจะส่งกระเป๋าเดินทางผ่านเจ้าแมวดำการขนส่ง หรือ ที่เค้าเรียก ทัคคุบิน

ดูราคาจากใน web เค้าแล้ว คาดว่ากระเป๋าของเราน่าจะไม่เกินใบละ 500 บาท/ ใบ ไปสื่อสารกันได้ แต่พอดี น้องเค้าจะออกเวรตอนเช้าแล้ว เค้าบอกว่าให้มาติดต่ออีกทีประมาณ 45 นาที เพราะจะมีเจ้าหน้าที่กะเช้าเข้ามาพอดี เราเลยขี้เกียจรอเพราะวันนี้ตื่นเช้าแล้ว เลยเปลี่ยนแผน ไปเที่ยว ฟูจิอิมินาริดีกว่า เพราะ อยู่ใกล้ไปแค่ 2 สถานี JR ฮ่าๆๆ (แต่อยู่คนละฝั่งกับวัดทองเลย) แต่ถ้าไม่ได้ไปวันนี้คงไม่ได้ไปแล้วล่ะ เพราะว่าเค้าว่ากันว่า แสงเช้าจะสวยสุดสำหรับวัดนี้


วิธีการเดินทาง ง่ายๆ คือ
ไปสถานีรถไฟเกียวโต หาชานชาลา ที่จะไป Uji/Nara แต่ต้องเป็น Local Train เท่านั้น เพราะ 2 ป้ายและเป็นป้ายเล็กๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที ก็ถึง และ การหาวัดง่ายมาก เพราะออกมาจากชานชาลารถไฟก็ถึงศาลเจ้าเลย เห็นเสาโทริ เด่นเป็นสง่าอยู่เนี่ยแหละ


นี่ไง ใช่เลย




ก่อนเข้าศาลเจ้าจะเจอท่านสุนัขจิ้งจอกผู้นำสาร(อันนี้จำมาจาก Fantastic deerman)







ไฮไลท์ที่สำมะคัญ นั่นก็คือการได้เข้าชมเสาโทรินับหมื่นๆ ต้น เค้าเรียงกันจากตีนเขาไปสู่ยอดเขา ประมาณ 2 กิโลเมตร เราก็ไปถึงที่แวะพัก ประมาณซำแฮก ของภูกระดึง แล้วพอเห็นแผนที่ที่ต้องเดินไปอีกไกล ก็แบบว่า ไม่หวายยยย เพราะเคยเดินไปกลับ 4 กิโล ประมาณ 2 ชม.กว่าๆ แถมต้องปีนเขาอีก ก็เลยต้องขอบาย ไม่ไหวจริงๆ และเวลาก็ไม่ค่อยจะมีด้วย

สวยมากๆ จริงๆ ด้วย






อีกมุม




มุมแบบมีคน



ก่อนทางขึ้น




แหะๆๆ ที่นี่สงสัยจะเป็นศาลเจ้าที่ช่วยให้สมหวังในรัก(ล่ะมั้ง) เห็นมีสาวๆ หนุ่มๆ ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว และเด็กวัยรุ่น แวะเข้ามาใช้เป็นสถานที่เดทกันด้วยนะ ทำเอาพวกเราอิจฉาตาร้อนกันเป็นทิวแถว และเพื่อความร่ำรวย เราก็แลกเครื่องรางเกี่ยวกับ เงินๆ ทองๆ มาด้วยนะ เผื่อจะรวยกับเขาบ้างแล้ว จะได้กลับมาเที่ยวที่นี่อีกน่ะ






หลังจากเดินชมก็สามารถแวะเวียนซื้อของที่ระลึกกันได้ สัญลักษณ์ของที่นี่คงเป็น คุณหมาจิ้งจอก ที่เป็นผู้นำสารมาจากเทพเจ้า ถ้าใครได้ดูเรื่อง Fantastic Deer man คงจำกันได้ดี ในที่สุดเราก็มาตามรอยเรื่องนี้จนได้ ดีใจจัง เราว่านะ ถ้าพูดถึงเรื่องของฝากหรือของที่ระลึกแล้วล่ะก็ เห็นอะไรถูกใจตรงไหน ก็ซื้อได้เลยแหละ เพราะราคาจะไม่ต่างกันมาก และแต่ละแห่งเค้าก็จะทำเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเค้าซึ่งดูน่ารักน่าซื้อไปหมดทุกอย่างเลยแหละ



หลังจากเดินชมก็สามารถแวะเวียนซื้อของที่ระลึกกันได้ สัญลักษณ์ของที่นี่คงเป็น คุณหมาจิ้งจอก ที่เป็นผู้นำสารมาจากเทพเจ้า ถ้าใครได้ดูเรื่อง Fantastic Deer man คงจำกันได้ดี ในที่สุดเราก็มาตามรอยเรื่องนี้จนได้ ดีใจจัง เราว่านะ ถ้าพูดถึงเรื่องของฝากหรือของที่ระลึกแล้วล่ะก็ เห็นอะไรถูกใจตรงไหน ก็ซื้อได้เลยแหละ เพราะราคาจะไม่ต่างกันมาก และแต่ละแห่งเค้าก็จะทำเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเค้าซึ่งดูน่ารักน่าซื้อไปหมดทุกอย่างเลยแหละ


หลังจากเที่ยวที่นี่แล้วเราก็ย้อนกลับไปที่ K's House อีกทีเพราะจะต้องจัดการเรื่องขนกระเป๋า เจ้าหน้าที่กะเช้าน่ารักมากๆ คือรับเรื่องไว้และจัดการจ่ายเงิน advance ให้เราก่อนแล้วเราก็ค่อยมาเคลียร์ตอนเย็นได้เลย ขอแค่ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์จากเรา แถมยังแนะนำ(แกมบังคับ) ให้เรา e-mail หรือ โทรไปแจ้งผู้รับปลายทางให้เค้ารับทราบเรื่องที่เราส่งกระเป๋าไปด้วยนะ หลังจากนั้น เราก็ซื้อตั๋ว Bus Day pass จากที่นี่เลย 500Y มีแพลนว่าจะไปนิโจ โจ เลยนั่งดูแผนที่เห็นมีรถไฟ JR ผ่านด้วย เลยเดินกลับไปที่สถานีอีก(เสียเวลามาก) และพอออกจากสถานีรถไฟ การเดินไปที่ปราสาทนิโจเนี่ย ไกลพอดูประมาณ 4-5 ไฟแดง และที่เจ็บใจเล็กน้อยคือ หน้าปราสาทมีป้ายรถเมล์ผ่านแบบเห็นๆ เลย ด้วยความที่กลัวรถติด เลยต้องเดินซะไกลเลยนะเนี่ย
พอไปถึงหน้าปราสาท ประเทศนี้ช่างไฮเทคจริงๆ ตั๋วเข้าชมก็ซื้อผ่านเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติได้เลย



และได้เข้าชมปราสาท ซึ่ง No Photo จ๊ะ แต่ได้ชมปราสาทที่ถือว่าเป็นที่พักอาศัยของท่านโชกุน ที่ปกครองเมือง มีห้องเยอะมากกก ที่ชอบสุดคือ จะมีทางเดินที่เวลาเดินผ่านแล้วไม้กระดานที่มีเสียง เวลาใครเดินผ่านตรงนั้นจะรู้ทันที เจ๋งดีนะ

ตัวปราสาท



และมีส่วนที่จัดแสดงงานศิลปะที่ตรงปราสาทหลังเล็ก เราก็แวะเข้าไปดู แต่แบบ.. ไม่อินอ่ะ ฮ่าๆๆ สงสัยหัวไปถึงจริงๆ ด้วยแฮะ และข้างนอกก็มีคล้ายๆ กับตลาดนัดมีร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม เราก็แอบแวะนั่งกินดังโงะ กับ อุด้งร้อนๆ อาหย่อยมากๆ เลย แต่ชาวเจแปนเค้าชอบนั่งตากแดดแบบไม่กลัวดำกันเลย เรานั่งได้แป๊บๆ ก็ไม่ไหวแล้ว ตอนแรกลองนั่งตากแดดดูนึกว่า แดดญี่ปุ่นคงไม่ร้อนเท่าบ้านเราหรอกน่า อูยย..ที่ไหนได้ มันก็ครือๆ กันน่ะแหละ แต่เราคาดว่า ประเทศเค้าคงมีช่วงเวลาที่แดดดีๆ ไม่มาก เลยชอบมานั่งอาบแดด คล้ายๆ พี่ฝรั่งที่ชอบมานอนอาบแดดบ้านเรานั่นแหละ ส่วนเราเป็นพวกที่เจอแดดแรง ปีละ 300 วันอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยอยากจะตากแดดนานๆ อย่างพวกพี่ๆ เค้า เลยรีบหม่ำๆ และรีบออกไปเพราะเราจะไปที่ๆ ฝันไว้มานาน(จนน้ำลายไหลไปหลายหยดแล้ว) คือ วัดคินคะคุ หรือวัดทอง 99.99% ของเรานั่นเอง

วิธีการเดินทางไปวัดทองจากนิโจโจ ไปง่ายมาก คือ กางแผนที่รถเมล์ เลือกสายที่มันผ่านน่ะ เพราะน้องที่ K's House เค้าทำ remark ไว้ให้แล้วว่า จะไปเที่ยวไหนให้ลงป้ายไหน เราก็แค่ดูว่าสายไหนมันไปมั่ง แค่นั้นเอง ฮ่าๆๆ


หลังจากนั้นก็ต้องเป็นวัดทอง หรือคินคะคุจิ แลนด์มาร์คที่สำคัญอย่างแรงของเกียวโต

หน้าวัดทองจะมีรถเมล์ไปถึงแบบใกล้ชิดเลยนะ ต้องลองดูสายดีๆ แต่เราลงตามป้ายที่น้องที่ K's House บอกก็ต้องเดินจากป้ายข้ามถนนไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็ถึงวัดทองพอดี เดินเข้าไปบรรยากาศดี ร่มเย็นมีต้นเมเปิลเยอะแยะ กำลังเริ่มแดงๆ กะเค้าด้วยเหมือนกัน พอเข้าไปในวัดก็ต้องเสียเงินเข้าที่ 400 Yen แล้วก็ไหลไปตามผู้คนที่เดินเข้าไปดู แหะๆ เข้าไปก็เจอกับปราสาทสีทองเหลืองอร่ามงามตา(เหมือนกับที่เห็นจาก postcard เด๊ะ แต่ใน postcard ไม่มีรูปเราด้วย จึงต้องทำพิธีถ่ายรูปเคียงคู่ซักหน่อย )


ทางเข้าวัด



คนเยอะมากกกก



และ มุมยอดนิยม



อีกนิดนึง



และอีกนี้ดส์



อีกหน่อย



คุณป้า กวาดขยะ



อันนี้น้องไกด์นำขบวน




ใบไม้แดงตรงทางออก สวยอ่ะ







เสร็จแล้วก็เดินไหลไปเรื่อยๆ จนถึงทางออก แวะหม่ำไอติมชาเขียวซักหน่อย เห็นในหนังสือเค้าว่าหย่อย นัก แต่เราว่ายังหวานไป ไม่เข้มข้นเหมือนกับที่เมืองอูจิ เลย แถมแพงกว่า 50 เยนล่ะ ฮ่าๆๆ หลังจากนั้น เดินออกมาหน้าวัดทอง จะเจอป้ายรถเมล์ เราก็ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไปได้หรือเปล่า เลยตกลงกันว่า จะย้อนกลับไปที่เดิม คือลงจากเนินแล้วข้ามถนนไปน่ะสิ แล้วไปเจอคนหน้าตาแบบอาเซียนด้วยกัน ยืนรอรถเมล์อยู่ เค้าเห็นกะเหรี่ยง 4 ตัวยืนด้วยกัน คงคิดว่าใช่แน่ๆ พวกเดียวกัน เลยถามเราว่ามาจากไหน เราก็ตอบไป เค้าบอกว่าเค้ามาจากฝรั่งเศส แต่เป็นคนเวียดนาม อืมม.. ช่าย อายุประมาณอ่อนกว่าพ่อเรานิดหน่อย คงเป็นช่วงที่เกิดสงครามแล้วมีประเทศที่สามรับไปน่ะ เค้าว่าลงเกียวโต แล้วจะเที่ยวแถบคันไซ แล้วค่อยกลับนาโงย่า เราก็บอกๆ ไป บอกว่าอย่าลืมไปกิออนนะ สวยดี นี่เดี๋ยวจะไปเรียวอันจิ เค้าว่าเอ้าก็รอรถเหมือนกัน พอรถมา เราก็ขึ้นกันหน้าตั้ง และแล้วไอ้รถเมล์คันนั้น มันก็ขับขึ้นไปจอดที่ป้ายตรงหน้าวัดทองเด๊ะ ที่เราเดินจากมา ฮ่าๆๆ แต่ตรงนั้นคนขึ้นเยอะ ก็ถือว่าเราโชคดีแล้วกันที่ได้ที่นั่งไม่ต้องยืนเบียดคนอื่น


ร้านขายดอกไม้ตรงข้ามป้ายรถเมล์



หลังจากนั้น ก็ดำเนินไปถึงวัดเงิน เรียวอันจิ ที่มีสวนหินแบบเซนที่โด่งดังมากๆ และทางขึ้นวัด สวยอีกแล้ว กว่าจะได้ขึ้นไปเสียเวลาไปกับวิวแถวๆ นั้นเยอะอยู่ พอเข้าไปในวัด ก็มีคนนั่งรอที่สวนหินเยอะเลย และมีเสียงบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น(อีกแล้วครับ) เราก็ยืนซึมซาบเล็กๆ แล้วก็เดินไปรอบๆ ตัววัด และเข้าห้องน้ำ(ที่สะอาดสุดๆ) ก่อนจะบ๊ายบาย วัดเรียวอันจิ เพื่อจะรีบไปอาราชิยามะของเราให้เร็วที่สุดอ่ะ

ทางเข้าวัดเงินสวยน้าาาา




สวนหินอันเลื่องลือ




หลังจากนั้นเราก็ออกมาต่อรถเมล์เพื่อไปอาราชิยามะ ประมาณ 3.30 น. แล้ว โดยไม่ได้นึกแอะใจถึงคำเตือนของน้องสาวที่เคเฮาส์ว่า เราควรจะให้เวลาสำหรับอาราชิยามะ เต็มๆ 1 วัน เรากะว่า โอ๊ยคงไม่ค่อยมีไรเท่าไหร่มั้ง แต่ที่ไหนได้ เมื่อไปถึงอาราชิยามะแล้ว แม่เจ้า มันใหญ่มากๆ เลย มีที่เที่ยวสองฝั่งแม่น้ำ ตอนเราไปมันก็เกือบๆ จะ 5 โมงแล้ว อากาศขมุกขมัวมากๆ แถมยังหาแผนที่ของที่นี่ไม่ได้ เนื่องจากนั่งรถบัสแล้วเค้าจอดไกลอ่ะ กว่าจะเดินถึง ส่วนที่เป็นร้านค้าก็ปาไปสี่โมงแล้ว เลยเดินขึ้นไป เข้าไปเที่ยววัดเท็นริวจิ แต่เนื่องจากทางเข้าใบไม้แดงสวยมาก เพื่อนๆ ก็เลยแวะถ่ายรูปกันนาน จะเหลืออีก 10 นาทีจะ 5 โมงถึงจะได้เข้าไป เลยไม่ค่อยได้ชมความงามของสวนแบบเซน กับสวนต่างๆ ที่เค้าว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นซักเท่าไหร่








แสงหมดแล้ว ถ่ายได้แค่นี้เอง(ฮา)





กว่าจะออกจากวัดก็นานแล้ว พยายามเดินๆ แต่ส่วนใหญ่ที่เที่ยวก็เริ่มปิด เลยไปเดินเลียบริมฝั่งแม่น้ำ พอเดินไปจนสุดจะมีโรงแรมอยู่ 2-3 แห่งด้วย น่าพักนะ แต่ท่าทางจะแพง อิอิ กลับมาขึ้นรถเมล์เพื่อไปต่อรถไฟอีกทีก็ 6 โมงกว่าๆ แล้ว ตามร้านค้าต่างๆ ก็เริ่มปิดหมด เราขึ้นรถเมล์แล้วลงป้ายผิด ต้องเดินถามทางเค้าไป จนเจอพี่สาวคนนึงน่ารักมาก กำลังจูงหมาออกมาเดินเล่น เราเลยเข้าไปถาม แล้วเค้าพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากเลยแหละ เค้าเลยพาเราเดินไปส่งที่ทางเข้าซอยสถานีรถไฟ ฟุดฟิด ฟอไฟ ได้ความว่าเจ้าหมาน้อยชื่อโปจิ น่ารักมากๆ เลยแหละ และ พี่สาวกำลังจะเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยเดือนมกราหรือกุมภาฯ นี้ด้วย มาเที่ยว กทม.(สงสัยติดตามสามีมาทำงานมั้ง) เราเลยบอกให้พี่สาวโชคดี Have a nice trip น่ะ ขอบอกว่า พี่สาวน่ารักมากๆ เลย ประทับใจมากกกก... และเรายังเที่ยวอาราชิยามะยังไม่หมดเลยยยย คาดว่า ถ้ามีโอกาสเนี่ยยย อยากมาอีก เพราะอยากไปเที่ยวป่าไผ่ กะนั่งรถไฟสายโรแมนติกอ่ะ


สรุปในเรื่องอาราชิยามะ ถ้าจะมา ให้มารถไฟดีกว่า ลง Saga-Arashiyama แล้วต่อ Torokko saga คาดว่าสถานีน่าจะอยู่ใกล้กัน แล้วค่อยเดินท่องเที่ยวในส่วนที่เป็นวัดและร้านค้า จะดีกว่า(มากก) อิอิ อาราชิยามะเอ๊ย... เดี๋ยวยังไง มีตังค์เมื่อไหร่..เจอกันน้า...



หลังจากกลับจากอาราชิยามะ ถึงสถานีเกียวโตประมาณ ทุ่มกว่าๆ เราแวะไป reserve seat เพื่อจะไป Kawakuchiko ที่ Ticket Office ของ JR แบบว่า 5 ต่อเลยพี่น้อง ใช้เวลาประมาณ 5 ชม. แต่ด้วยความที่อยากไป(อย่างแรง) ก็ตามนั้น ไม่ต้องคิดมากเลย มีโพยมาให้ดูอีกต่างหากว่าต้องลงสถานีไหน เวลาเท่าไหร่ ซุ้ดยอดจริงๆ เลย JR เนี่ย น่ารักฉุดๆๆ

หลังจากนั้นกลับมาพึ่งพาอาหารจากร้านคอมบินิ แล้วก็หลับเลย... ฝันถึงน้องกวาง(เอาไว้ก่อน) เพราะพรุ่งนี้ จะไปนารา(ให้หายแค้น) ฮ่าๆๆๆ



Create Date : 21 มกราคม 2553
Last Update : 21 มกราคม 2553 11:58:45 น.
Counter : 973 Pageviews.

5 comments
  
ภาพสวยจังค่ะ

เราก็ "ได้ไปญี่ปุ่นแล้วนะ" กลับมาแล้วก็คิดว่า "อยากกลับไปญี่ปุ่นอีกจัง" ค่ะ
โดย: COCOSWEET วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:13:32:14 น.
  
สวัสดีตอนบ่ายครับ หนังท้องตึง หนังตาย่อน เจ้านายก็ไม่อยู่ หลับดีฝ่า z Zz ZZ
โดย: ผมชอบกินข้าวมันไก่ วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:13:46:47 น.
  
ไปเที่ยวน่าสนุกจังเลยนะคะ
แถม..เก็บภาพสวยๆมาฝากกันด้วย
ถ้ามีโอกาสจะไปเยือนญี่ปุ่นด้วยอีกคนค่าาาาา
โดย: ดุจเดือน วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:14:40:42 น.
  
สวัสดีค่ะ

อยากไปญี่ปุ่นในฤดูนี้บ้างจังเลยค่ะ สถานที่ไปก็น่าเที่ยว เสียดายตอนนั้นว่าได้เที่ยวเยอะแล้วนะคะ แต่ญี่ปุ่นก็มีสถานที่ที่น่าสนใจเยอะมากเลย
อยากไปเยือนอีกสักครั้งค่ะ
โดย: mamminnie วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:16:43:54 น.
  
เพิ่งไปเกียวโตมาเหมือนกันค่ะ เพิ่มกลับเข้าโตเกียวเมื่อเย็นนี้เอง วันนี้ที่เกียวโตฝนตก พรุ่งนี้เที่ยวโตเกียวดิสนีซี ขอให้สนุกกับการเที่ยวญี่ปุ่นนะคะ อากาศหนาวดูแลสูขภาพนะคะ
โดย: kartai (kartai chan ) วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:22:53:19 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

m-e-e-n-a
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



ชอบกิน
ชอบวิ่ง
ชอบว่ายน้ำ
ชอบทำอะไรก็ได้ให้เอนโดรฟีนหลั่ง
ชอบถ่ายรูป
ชอบออกเดินทาง
ชอบหลายอย่าง บางอย่างทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อยากทำ

อิสระของชีวิต ไม่ใช่เพราะมีเงินเพียงพออย่างเดียว
เราต้องมีเวลาให้กับของกินที่มีประโยชน์ ทำประโยชน์ให้กับสังคม สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนดีๆ ออกเดินทางค้นหาคำตอบของชีวิต ดูหนัง ฟังเพลง เสพงานศิลป์ เพื่อความรื่นรมณ์อีกด้าน และที่สำคัญมีเวลาใส่ใจกับคนในครอบครัวของเราด้วย ทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่.. ชีวิตเราจะสมบูรณ์ที่สุด