All Blog
ได้ไปแล้วนะ ญี่ปุ่นน่ะ ภาคปฏิบัติ ตอน 1
วันที่ 6/11/2009


วันนี้ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วย JAPAN AIRLINE หรือ JAL WAYS
เครื่องออกจากกรุงเทพ ประมาณ 23.00 น. และ ถึงสนามบินที่โน่นประมาณ 6.00 น.
ด้วยความชัวร์ไว้ก่อน เราก็ออกจากคอนโดเพื่อนประมาณ 1 ทุ่ม ถึงสนามบินประมาณ 2 ทุ่ม ช่วงนี้เห็นเค้าว่าจะมี พี่ๆ น้องๆ ที่นับถือศาสนาอิสลามจะบินไปเมกกะ กันเยอะ ให้เราไปสแตนด์บายรอไว้ก่อนเผื่อคนจะเยอะ
มาถึงสนามบิน เราก็แวะไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ CHUBB ตรงชั้น 2 ประตู 4 คิดราคาต่อใบต่อวัน 100 บาทเท่านั้น ดีจังไม่ต้องขนให้หนักด้วย


มาถึงสนามบินก็เจอเจ๊เดือดมาถึงรออยู่ที่ประตู 8 JAL อยู่ที่ ROW แถวๆ นั้นแหละ
มาถึงก็คนยังไม่เยอะ เลย load กระเป๋าด้วยความระทึกใจ ขาไปนะกระเป๋าหนัก 17 Kg แน่ะ
ต๊กกะใจ ว่าขากลับจะเป็นยังไงนะเนี่ย พี่กราวน์ที่โหลดกระเป๋าให้ ก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ที่นาริตะ ถ้ามาเป็นหมู่คณะให้บอกเค้าจะได้ load กระเป๋ารวมกันจะได้เฉลี่ยกันกลับมาได้ พอดี เพื่อนอีกคนเอากระเป๋าใบเล็กกว่าไปก็คิดว่าเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที

หลังจาก load และได้ boarding pass เสร็จก็กรอกใบ ต.ม. ตามปกติ และ ลุยๆๆ เข้าไปเลย เพราะแหล่งเสียตังค์ที่แรกคือ King Power Duty Free ฮ่าๆๆ จะบอกว่า ร้านค้าทั้งสองฝั่งที่จะเดินไป gate ต่างๆ เหมือนจะสมมาตรกัน เหมือนกันเด๊ะเลย จากการสำรวจมาด้วยความที่อยากรู้เลยเดินไปฝั่งตรงข้ามกับ gate ที่จะไป เลือกซื้อของ ซึ่งถ้าคนมีบัตรสมาชิกก็จะลดราคาลงได้อีก 10 % เราก็ไม่ซื้อไรมาก ก็ซื้อ Night Cream ที่เคยใช้กับ แป้ง MAC ที่กำลังจะหมด ราคา MAC ที่นี่ถูกนะ เพราะราคาปกติที่ขายเคาท์เตอร์ประมาณ 1,600 แต่ขายใน duty free ประมาณ 1,000 นิดๆ และ ลดอีก 10% เหลือ 900 กว่าๆ พอๆ กับฝากเจ๊ซื้อที่เต๊นท์ที่สีลมเลย อย่างอื่นก็อุบไว้ ไปซื้อที่มัตสุโมโต้ ดีกว่า และกว่าจะหลุดออกจาก DUTY FREE ได้ก็เกือบ 4 ทุ่มกว่า แล้ว เพื่อนๆ ต่างเอา แปรงสีฟันมาด้วยบอกว่าจะได้ขึ้นไปนอนอย่างมีสุขภาพดี
แต่เราก็ไม่ได้เตรียมมาเพราะคิดว่าแค่ 5 ชม. คงไม่มีไรหรอกมั้ง

พอประมาณ 22:50 ก็เรียกขึ้นเครื่องนะ เริ่มความเป็นญี่ปุ่นกันตั้งแต่สนามบินเลย เพราะพี่แกจะเริ่มประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อน แต่เวลาเค้าพูดนะ ภาษาญี่ปุ่น นะ เสียงเค้าจะดูน่ารักๆ นะ คำศัพท์แรกที่เรียนรู้คือ มินนะซะมะ ไง ทุกๆ ท่าน ฮ่าๆๆ ฟังออกคำเดียว แต่พอประกาศเป็นภาษาอังกฤษ เสียงจะดูสมาร์ทขึ้นมาเลย แสดงว่าการออกเสียงของแต่ละภาษาจะให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปน่ะ เพราะเวลาแอร์บนเครื่องประกาศเป็นภาษาไทยนำเสียงจะอ่อนหวานกว่าภาษาอังกฤษนะ


เพื่อนที่ซื้อตั๋วเลือกที่นั่งได้ดีมากกกก คือ ตรงปีกกันเลยตรงๆ เลยทีเดียวเชียว ไม่ต้องดูวิว ดูเวิวอะไรกันแล้ว ปีกเครื่องบินบังมิดเลย เห็นอุตส่าห์โทรไปถามผู้รู้ว่านั่งฝั่งซ้ายหรือขวาดีที่จะเห็นวิวสวย แต่ไม่ได้เลือกว่าส่วนไหนของเครื่องก็เป็นอันจบไป


ไปถึงสนามบินคันไซประมาณ 6:30 น. ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น สนามบินที่ญี่ปุ่นนี่ดีจังเลย ไม่ต้องเดินมาก พอออกจากเครื่องก็จะมีรถไฟวิ่งอัตโนมัติ พาไปยังอาคารผู้โดยสาร กำลังนึกถึงสุวรรณภูมิวันที่ออกเลย เดินไกลมากกว่าจะถึง gate นะ ต้องให้เวลามันเยอะหน่อย แต่ของที่นี่ มีรถมารับถึงที่เลยนะ สุดยอดจริงๆ สมกับเป็นประเทศแห่งเทคโนโลยี และข่าวที่ดียิ่งกว่านั้นคือ มือถือของอิชั้น ที่คาดว่าน่าจะใช้ได้ที่นี่(ไม่ศึกษามาก่อน) ก็ใช้ไม่ได้เพราะไม่รองรับ 3G ฮ่าๆๆ อดไปเลย


แอบถ่ายระหว่างรอรถไฟมารับเข้าไป terminal



ข้อแนะนำ ในการจัดกระเป๋า
ควรจัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้สวยงามและดูเป็นระเบียบ
เพราะเมื่อถึงสนามบิน จะเจอกับ ตม. และศุลกากรที่จะเรียกเปิดดูกระเป๋าว่าเราเอาอะไรประหลาดๆ มาหรือเปล่า ถ้าจัดเป๋าไม่ดี น้องลิงวิ่งขึ้นมาโชว์พี่ศุลกากรล่ะ อายกันน่าดู ของเรามากัน 4 คน พี่เค้าจะสุ่มตรวจแค่คนเดียว และเป็นกระเป๋าเพื่อนที่เก็บเสบียง พอรื้อมาเจอมาม่าและอื่นๆ พี่แกทำหน้าตะลึงเล็กน้อย ฮ่าๆๆ เอาเหอะๆ นิดๆ หน่อยๆ เอง

เมื่อออกมาจากทั้งสองด่านได้แล้ว เราควรจะแวะไปที่ TIC เพื่อรับข้อมูลซักหน่อย ซึ่ง TIC อยู่ชั้น 2 ของสนามบิน แต่ว่า เปิดตอน 8.30 น. ดังนั้น เราจึงไม่สามารถทำอะไรได้น่ะสิ มันจะมีซุ้มๆ โบร์ชัวร์แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาษาญี่ปุ่นซะอีก


อันนี้เพื่อนมันยืนซื้อบัตรโทรศัพท์อยู่ เราก็ไม่ค่อยมีไรทำเลยเก็บภาพไว้ซักแชะ



หลังจากนั้น ก็เดินออกมาเพื่อขึ้นรถไฟ สาย ฮารุกะ เพราะเราตั้งใจจะใช้ JR Rail Pass ตั้งแต่วันแรกเลย แต่ซึ่งสถานีรถไฟจะเชื่อมต่ออยู่กับสนามบินคันไซเลย ตรงทางเชื่อมชั้นสอง ก็สามารถลากกระเป๋าไปได้เลย โดยเท้าไม่ต้องแตะพื้นดิน ฮ่าๆๆ แต่ก่อนจะเข้าไปใช้บริการ ก็แวะ office ของ JR ซะก่อน จะมองเห็นชัดเจน มาก อยู่ใกล้ๆ กับที่ขายตั๋วอัตโนมัติเลย สังเกตง่ายมากขึ้นไปอีก เพราะจะมีแต่คนต่างชาติไปยืนต่อแถวรอคิวทั้งนั้น สิ่งที่ต้องเตรียม ก็คือ หลักฐานที่ได้ตอนซื้อ Rail Pass จากเอเย่นต์และ Pass Port ของแต่ละคนเท่านั้นเอง และซักพัก เราจะได้บัตร JR Rail Pass แบบ Ordinary มาเป็นของตัวเอง ซึ่งสำคัญมากๆๆๆ ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีตลอด 7 วัน ไม่งั้นค่าใช้จ่ายคงสูงท่วมหัวแน่ๆ และขอให้เค้า Reserve Seat ของน้องฮารุกะ เที่ยวที่จะเราจะไปให้หน่อย ก็เรียบร้อย และก่อนจะออกมา ทำท่าทำทางขอ Shinkansen & Limited Express Time Table มาหน่อยก็ได้ จะได้เอาไว้อ้างอิงหรือวางแผนการเดินทาง เพราะถ้าไม่ขอพี่แกก็ไม่ให้นะ และขอมากก็ไม่ได้ ให้แค่คณะละ 1 เล่มเท่านั้นเอง แต่จริงๆ Time Table ดูไม่ยาก แต่ก็ไม่สะดวกเท่าไหร่ มีไว้ให้อุ่นใจแค่นั้นแหละ ฮ่าๆ


แอบเก็บภาพกับน้องฮารุกะ




รถไฟสายน้องฮารุกะ นั้น เป็นคล้ายๆ Limited Express นะวิ่งไปไม่เร็วมากเท่ากับเฮียๆ เจ๊ๆ ชินคันเซ็นเค้า แต่จะจอดน้อยสถานี จำไม่ได้ว่ากี่สถานี ประมาณ 4-5 สถานีเท่านั้น ไปสุดสายที่เกียวโต ใช้เวลาประมาณ 75 นาที


มาถึงก็เห่อๆ ถ่ายรูประหว่างเดินทาง คนอื่นเค้าหลับกันหมด มีเราคึก(มากก) อยู่คนเดียว

อันนี้คงยังบ้านนอกอยู่ ปลูกผักเต็มเลย





ข้ามสะพานแว๊ว...




โอซาก้าแน่ๆ เลย




ใช่มั้ยน้อ

และแล้ว ถึงซะที เกียวโต

นี่ไง หอคอยเกียวโต





สร้างในปี 1964 ออกแบบโดย Makoto Tanahashi(Kyoto University) สมัยที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิคนั่นเอง ดูสวยและคลาสสิคดีนะเนี่ย


รถไฟในญี่ปุ่นมันมีหลายแบบ แต่ที่เราจะได้ใช้กันบ่อยๆ มีแค่ 2 แบบคือ

1.ชินคันเซ็น

มี 3 แบบคือ โนโซมิ ฮิคาริ และ โคดามะ
น้องโนโซมิ วิ่งเร็วสุดๆ แต่เรายังไม่คู่ควรกับเค้าดังนั้นถ้าเค้าวิ่งมา เราก็ต้องให้เค้าผ่านไป
น้องฮิคาริ วิ่งเร็วรองลงมา ชอบจอดสถานีใหญ่ๆ ถึงน้องจะเร็ว แต่เรายังเอื้อมถึง
ดังนั้น ถ้าเจอน้องฮิคาริเมื่อไหร่ ก็วิ่งใส่เมื่อนั้น

น้องโคดามะ อันนี้วิ่งเร็วเหมือนกัน แต่น้องจอดเยอะมากๆ คงเพราะแคร์คนอื่น
กลัวคนที่อยู่บ้านนอกไม่มีรถไป ถ้ามีเวลาก็ลองนั่งโคดามะก็ได้ สบายๆ ดี

รถชินคันเซ็น มักจะหมดตอนประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ดังนั้น ควรรีบขึ้นก่อนหมดเวลา


2.รถไฟที่วิ่งในเมืองและระหว่างเมือง

JR ที่เราใช้จะมีแค่ 3 แบบ

Limited Express อันนี้จะเป็นรถค่อนข้างไฮโซ ส่วนใหญ่จะวิ่งระหว่างหัวเมืองใหญ่ๆ จอดไม่กี่ป้าย แต่จะไม่เร็วเท่าชินคันเซ็น แต่ก็ไปได้เหมือนกัน ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีอันหนึ่งในการเดินทาง

Rapid จะวิ่งเร็วหน่อย จอดบางป้าย ถ้าเรามีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน และเป็นที่ใหญ่ๆ ก็ไป Rapid โลด เพราะไปเร็วกว่าและนั่งสบายกว่า เพราะเบาะจะมีพนักพิงให้ด้วย เราชอบไปแอบหลับบนรถนี้แหละ

Local หน้าตารถจะหลายๆ MRT บ้านเรา เบาะนั่งจะตรงข้ามกัน และป้ายจะบ่งบอกว่าเป็นรถ Local เลย อันนี้จะจอดทุกสถานีที่ผ่าน ถ้าไปสถานีเล็กๆ และไม่ไกลก็ไปรถ Local ก็ได้นะ

จะสังเกตง่ายๆ คือ Track ชินคันเซ็นจะลอยฟ้า เวลาไปขึ้นสถานีจะต้องปีนกะไดขึ้นไป แต่เวลาลงจากชินคันเซ็นมาต่อรถ Local จะต้องเดินลงมา ถ้าเป็นตาม ตจว. รถ local จะอยู่ติดดิน แต่ถ้าเป็นในเมื่องใหญ่ๆ ที่มี subway ของเอกชน เราอาจจะต้องมุดลงดินเพื่อไปต่อ subway ของเค้าอีกที ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ฟรี เพราะไม่ใช่ JR นี่นาเนาะ แต่การต่อจะง่ายมากๆ เพราะจะมีทางเชื่อมถึงกันหมด และมีป้ายบอกทางอย่างชัดเจนเลยทีเดียวเชียว

Hint

วิธีที่ง่ายที่สุดในการเดินทางไปที่ไกลๆ กับ รถไป JR
เดินไปหาพนักงานขายตั๋ว หรือช่องตรวจตั๋วตรงทางเข้าหรือออก
บอกจุดหมายปลายทางและวันเวลาที่จะไป และโชว์ JR Rail Pass
และบอกว่า ช่วย Reserve Seat ให้อิฉันหน่อยเหอะ พ่อคู้ณ แม่คู้ณ
น้องๆ พี่ๆ ชาว JR ก็จะกุลีกุจอ หาเวลา และรถไฟให้
ส่วนใหญ่จะเป็น Best Way คือใช้เวลาสั้นที่สุดและต่อง่ายที่สุด
เราเองก็ไม่ต้องงงกับมันมาก วันที่เดินทางถ้าไม่แน่ใจก็เอาตั๋ว Reserve ที่เค้าออกมา
ไปถามนายสถานีรถคันนี้จอด platform ไหน แล้ว
ก็มองป้ายหาเอา ก็จะสบายแล้ว ไม่เห็นจะต้องหา Time table ให้เมื่อยตุ้มเลย ฮ่าๆๆ
อย่างตอนเราไป Kawakugiko จาก Kyoto เคยหาใน Hyperdia แล้วว่าต้องต่อกัน
5 ต่อ ถึงจะเร็วที่สุด พอให้น้องที่ JR หาให้ แบบว่าเหมือนกันเป๊ะๆ เลย
และไปง่ายและสนุกดี แถมจองที่นั่งให้ด้วยอีกต่างหาก
ไม่หลงเลยอ่ะ แบบนี้จะไม่ให้หลงรักรถไฟญี่ปุ่นได้ยังไงล่ะเนี่ยะ


สถานีเกียวโต ช่วงใกล้คริสต์มาส มีต้นคริสต์มาสบิ๊กบึ้ม กลางคืนคงสวยน่าดู





มาถึงอากาศกำลังดี ไม่หนาว ไม่ร้อน ชิลด์ ชิลด์ สบายอารมณ์ดีจัง




Create Date : 08 มกราคม 2553
Last Update : 8 มกราคม 2553 23:09:17 น.
Counter : 1067 Pageviews.

1 comments
  
เคยเห็นแต่โตเกียวทาวเวอร์ (ในรูป) เพิ่งเคยเห็น หอคอยเกียวโต
โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 6 สิงหาคม 2555 เวลา:23:03:00 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

m-e-e-n-a
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



ชอบกิน
ชอบวิ่ง
ชอบว่ายน้ำ
ชอบทำอะไรก็ได้ให้เอนโดรฟีนหลั่ง
ชอบถ่ายรูป
ชอบออกเดินทาง
ชอบหลายอย่าง บางอย่างทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อยากทำ

อิสระของชีวิต ไม่ใช่เพราะมีเงินเพียงพออย่างเดียว
เราต้องมีเวลาให้กับของกินที่มีประโยชน์ ทำประโยชน์ให้กับสังคม สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนดีๆ ออกเดินทางค้นหาคำตอบของชีวิต ดูหนัง ฟังเพลง เสพงานศิลป์ เพื่อความรื่นรมณ์อีกด้าน และที่สำคัญมีเวลาใส่ใจกับคนในครอบครัวของเราด้วย ทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่.. ชีวิตเราจะสมบูรณ์ที่สุด