หางาน
 
“ต้อง” ร่ำไห้แฉ “ยุ้ย” หมดพุง สุดเกลียดปากอย่างใจอย่าง

“ต้อง” ร่ำไห้แฉ “ยุ้ย” หมดพุง สุดเกลียดปากอย่างใจอย่าง



“ต้อง” ไม่แคร์เปิดอกเกลียด “ยุ้ย จีรนันท์” เพราะปากอย่างใจอย่าง
บอกว่าเป็นเพื่อนกับ “ธัญญ์”
แต่กลับให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนที่ดีที่สุดสนิทสุด
เผยสงสัยมานานว่าคบกันเกินเพื่อนเพราะมีพิรุธเรื่องโทร.แถมธัญญ์ทำตัวห่าง
เหินไปเที่ยวกับยุ้ยตลอด สุดแค้นยุ้ยโทรฟ้องฝ่ายชายที่ตนไปสัมภาษณ์คู่ด้วย
บอกต้องรักษาภาพนางเอก ! ช้ำแค่นี้ก็รู้แล้วว่าผู้ชายจะเลือกใคร



       ขึ้นชื่อว่าเป็นนางเอกที่มีภาพลักษณ์เรียบร้อยยังกับผ้าพับไว้
แถมยังกตัญญูเลี้ยงดูครอบครัว จนได้ชื่อว่าเป็นนางเอกน้ำดีในวงการ แต่เมื่อ
2 ปีก่อนก็มีภาพหลุด “ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม”
นุ่งชุดนอนสวมทองเส้นโตกำลังเป่าเทียนแฮบปี้เบิร์ดเดย์โดยมีหนุ่มวัยกลางคน
นั่งอยู่ข้างกาย ทำเอาภาพลักษณ์ของยุ้ยดิ่งลงเหวทันที
อย่างไรก็ตามยุ้ยก็ได้ออกมาแก้ต่างว่า เป็นเพียงผู้มีพระคุณคนหนึ่งเท่านั้น

ด้านฝ่ายชายเองก็ไม่ได้ออกมาปริปากว่าเท็จจริงเหมือนที่นางเอกพูดไว้แต่
ประการใด งานนี้ก็เลยต้องยกผลประโยชน์ให้กับจำเลย
เป็นอันว่าสอบผ่านข่าวฉาวไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด


       แต่ล่าสุดยุ้ยก็มาเสียรังวัดให้กับ “ต้อง ศุภัชญา รื่นเริง” จนได้ หลังจากที่ออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์กับ “ธัญญ์ ธนากร” นัก
แสดงในสังกัดสปีดวันของตัวเอง แฟนหนุ่มของต้องมาตลอดว่า
ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อน
ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ใช่มือที่สามระหว่างต้องกับธัญญ์อย่างแน่นอน


       ด้านต้องเองก็เลือกที่จะสงบปากสงบข่าวไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปปีกว่าต้องก็ได้ไปออกรายการ “ล้วงลับตับแตก” และ
สารภาพตรงๆ แบบช็อกวงการว่า เกลียดยุ้ยเพราะโดนยุ้ยแย่งแฟน
ถึงขั้นอยากจะบุกไปตบเลยด้วยซ้ำ เกิดอะไรขึ้นกับต้องอยู่ดีๆ
ทำไมของขึ้นมาแฉเอาตอนนี้ ทั้งที่ตนเองก็เลิกกับธัญญ์ไป 3 เดือนแล้ว
วันนี้แฉหมดเปลือกมีคำตอบที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความแค้นของต้องมาเล่าสู่กัน
ฟัง


       “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะต้องไปออกรายการและก็ไปพูดความจริงที่
นั่น ซึ่งจริงๆ
ก่อนหน้านี้มีหลายรายการติดต่อต้องให้ไปออกเยอะเหมือนกันแต่ต้องไม่ออก
เพราะตอนนั้นรู้สึกว่ามันยังไม่พร้อม แต่พอเราเลิกกันผ่านไป 3
เดือนแล้วต้องรู้สึกว่าชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป ต้องก็ต้องทำงานต่อไป
พอรายการติดต่อมาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไม่ไป
และถ้าเกิดเขาถามมาเราก็เข้มแข็งแล้วสามารถที่จะตอบได้”


       “ประเด็นที่ถามก็คือประเด็นที่เป็นข่าวแล้วทั้งนั้นเพียงแต่เราไม่
เคยออกมาตอบ ไม่เคยออกมาพูด
พอไปออกรายการเขายิงประเด็นมามันก็เหมือนเราได้ชี้แจง มันก็เลยเหมือนกับว่า
เอ๊ะทำไมเราออกมาพูดตอนนี้ ถ้าถามว่าแฉไหม ต้องว่าไม่ได้แฉ
ถ้าจะแฉต้องแฉไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นช่วงจังหวะที่เราต้องทำงาน
ต้องคิดว่าถ้าพร้อมก็ต้องออกมาพูด และต้องก็เป็นคนพูดตรง
คนที่เคยเจอเหมือนเราก็คงจะรู้สึกเหมือนเรา ก็ไม่รู้จะมานั่งเฟกทำไม”

“ถ้าใครจะไม่พอใจกับคำตอบต้องเราก็เข้าใจ
เราได้ตอบทุกอย่างไปหมดแล้ว เรารู้สึกยังไงในช่วงเวลา 1 ปี 8
เดือนที่เราทนมาเราก็พูดไปตามนั้น ต้องรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องเฟกแล้ว
ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เราแคร์พี่ธัญญ์และเขาก็อยู่ในสังกัดเดียวกัน
เราก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน เราก็คิดว่าไม่พูดดีกว่า แต่พอ ณ
จุดนี้ต้องกับเขาจบกันไปแล้วเลยคิดว่าคงจะพูดได้แล้ว”



       “พอรายการออกอากาศไปเขา(ธัญญ์)ก็โทรมาเลยทั้งที่ 3
เดือนที่เลิกกันไปเขาไม่เคยติดต่อมาเลย
เขาก็ถามว่ายังไงทำไมไปพูดแบบนั้นตอบตรงตอบแรง ต้องก็อธิบายไปว่า
เราพูดไปตามความเป็นจริง มันเป็นข่าวที่มีอยู่แล้วเขาถามมาต้องก็ตอบ
มันไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นไม่รู้หรือเป็นเรื่องที่เราโกหก
เขาก็รับฟังแต่เขาไม่ได้สั่งห้ามเขาไม่มีสิทธิ์ ณ
ตอนนี้เรามันเดินคนละทางกันแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์จะมาพูดแบบนี้”

“เขาก็โกรธที่เรามาพูดแบบนี้
แต่ต้องก็บอกว่ามันเป็นความรู้สึกของเรา ถ้ามีใครจะไปถามเขา
เขาจะตอบยังไงมันก็เรื่องของเขาเราก็ไม่ยุ่งเหมือนกัน
พอมันเป็น
เรื่องต้องก็ว่าจะแถลงข่าวพอมีข่าวออกไปเขาก็โทรมาถามว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร
เราบอกก็ทำงาน เขาก็ถามจะแถลงอะไร
ก็จะแถลงสิ่งที่มันเกิดขึ้นแต่ตอนนี้ไม่แถลงแล้วเพราะที่บ้านอยากให้จบ
แต่วันนี้พี่(นักข่าว)มาตามมาถามเราก็ต้องตอบ”


       “เขาก็บอกว่าจะอะไรทำไมนักหนาแต่เขาไม่ได้ห้าม
อย่างที่บอกเขาไม่มีสิทธิ์อะไรและต้องก็ไม่ฟัง
ต้องก็แค่พูดความจริงและตอบตรงเท่านั้นเอง
แต่อย่างว่าถ้าต้องตอบสร้างภาพมันก็คงไม่ออกมาเป็นแบบนี้”


       “ฟีดแบคหลังจากที่ออกมาพูด บางคนเขาบอกว่าอย่างนี้(ยกนิ้วโป้ง)
เขาบอกว่าดีไม่เฟกตรงดี แต่ก็คงมีคนที่ไม่ชอบเหมือนกัน
เราก็ทำใจไว้แล้วแต่ก็รู้สึกสบายใจนะที่ได้พูดไปแล้ว
เรารู้สึกอึดอัดเพราะไม่เคยได้ไปพูดที่ไหน
เผอิญว่ารายการก็ถามคำถามตรงและเอาเหตุผล
เราก็ไม่รู้จะปั้นเหตุผลอะไรที่มันดูดี และมันก็อยู่ตรงจุดที่ว่า
เราไม่ต้องแคร์ใครแล้ว เขาก็ไปแล้ว มันคือความจริงก็พูดไปเลย”

พูดค่อนข้างแรง ถึงขั้นใช้คำว่า “เกลียดยุ้ย”

       “ต้องมีความรู้สึกว่า
ตลอดระยะที่เป็นข่าวที่เขาบอกว่า เขาเป็นเพื่อน ถ้าเขาเป็นเพื่อนคุณ
และเพื่อนคุณทะเลาะกับแฟนเพราะคุณ ไม่ว่าจะเป็นเพราะข่าวหรืออะไร
ทำไมคุณถึงไม่นิ่งทำไมถึงไม่หยุด
ซึ่งต้องก็เคยบอกทางฝ่ายชายคนของเราแล้วว่า ช่วยบอกให้เขาเคลียร์ บอก
ตรงๆ ว่า ต้องรับไม่ได้กับการให้สัมภาษณ์ของเขา ที่จะแบบว่า
คนที่ดีที่สุดที่สนิทที่สุดตอนนี้ก็คือคนของเรา
คือบางครั้งทำอะไรเกรงใจคนที่เขายืนอยู่ข้างๆ ธัญญ์ตลอดบ้าง
ซึ่งถ้าเขาไม่มีอะไรเขาก็ไม่น่าจะให้สัมภาษณ์ว่าสนิทกันกับแฟนของเรา”



       “คือคนเรามันควรจะรู้ลิมิต และยิ่งรู้ว่ามีปัญหา และปัญหาจากตัวคุณ
คุณบอกคนนี้คือเพื่อน แล้วเห็นเพื่อนมีปัญหากับแฟนทำไมไม่หยุด
ทำไมไปตอบอะไรแบบนั้นไม่หยุด ความ
จริงต้องมีอะไรอยากจะพูดเยอะมากแต่ต้องไม่พูดเลยแล้วทำไมเขาไม่หยุด
ต้องมีความรู้สึกเขาต้องการพิสูจน์ความเป็นเพื่อนอะไร ต้องการพิสูจน์อะไร
หรือต้องการอะไรกันแน่”



       “ต้องบอกไปที่คนของเราว่าเคลียร์ให้หน่อย
ก็ไม่เคยได้รับฟีดแบคอะไรกลับมา หรือแม้แต่เขาไปทำงานด้วยกัน
รับงานอีเว้นท์ร่วมกัน ต้องก็ไม่เคยได้รับคำอธิบายว่า ไปทำในฐานะอะไร
เขาไม่เคยแคร์ว่าต้องรู้สึกยังไง
จะคบกันทำไมไม่แคร์กัน ต้องเคยถามว่าจะสร้างกระแสกันหรือเปล่าจะปั้นกันหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่มีคำอธิบายไม่มีอะไรทั้งสิ้น”


       “กับความสัมพันธ์กับเขาที่ผ่านมาบอกตรงๆ ว่า ต้องสงสัยแต่ต้องก็เคลียร์กับคนของเราไม่ไปยุ่งกับอีกฝ่าย อย่าง
ง่ายๆ เลยเรื่องโทรศัพท์เราจะหยิบของกันและกันมาดูตลอด
ไม่ได้เรียกว่าเชคคืออยากหยิบดูก็ดู แต่พอเขาเป็นข่าวด้วยกัน
วันดีคืนดีต้องจะหยิบดูโทรศัพท์ไม่ให้ดูเราก็เอ๊ะทำไม
เราก็แบบคุยกันหรือเปล่าเนี่ย ส่งข้อความหากันหรือเปล่าขอดูหน่อยนะ
เขาก็ไม่ให้ดู(หมายถึงคุยกับยุ้ยหรือเปล่า) ใช่ค่ะ
อันนี้เป็นพ้อยท์แรกเลยที่เราสงสัย
เขาบอกไม่มีไม่ได้คุยแต่ทำไมถึงดูไม่ได้”


นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกหลายเรื่องทั้งเรื่องที่ไปเยี่ยมยายแต่ขี้เกียจไป
เท้าความ คือต้องไม่เคยรู้อะไรก่อนเลย ต้องไม่เคยรู้ความจริงก่อนข่าว
ซึ่งจริงๆ เราควรที่จะรู้ความจริงก่อนคนแรก
เขาควรที่จะมาใส่ใจมาบอกอะไรเราก่อนคนแรก”


       ธัญญ์ จัดการชีวิตรักช่วงนั้นยังไง ในเมื่อมี “ต้อง” เป็นแฟน ในขณะที่เรารู้สึกว่าเขากำลังพัฒนาความสัมพันธ์กับ “ยุ้ย”

       “ต้องไม่รู้ว่าเขาจัดการยังไง แต่เขาก็เปลี่ยนไปและก็เฟดไป
เขาก็หายไป พฤติกรรมอะไรก็เปลี่ยนไป (โทรไปไม่รับสาย)ใช่
ที่บ้านก็รู้ทุกคนเห็นพฤติกรรมที่เขาเปลี่ยนไป
เพียงแต่รอวันที่เราจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้
แต่ตอนนั้นเราไม่เข้มแข็งพอเขามาขอโทษก็ดีละ”


       มีสงครามประสาทไหม หรือมีข้อความแปลกๆ เข้ามาก่อกวนมั่งหรือเปล่าช่วงเวลานั้น
“จะมีข้อความแบบเจ๋งนักใช่ไหมประมาณแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครส่งมา”

มั่นใจมีความสัมพันธ์มากกว่าคำว่า “เพื่อน”

       “คงเป็นเรื่องที่เขาพูดกับต้องว่า ต้องคือคนที่รัก ยุ้ยคือคนที่ใช่
ใครฟังใครก็รับไม่ได้และก็รู้สึกว่ามันคงไปแล้ว ต้องเป็นคนถามเขาเอง
ถามเขาเยอะมากหลายประเด็น ถามเรื่องข่าว ถามอะไรเยอะแยะมากมายเลย คือที่ผ่านมาเขาไม่เคยยอมรับแต่เราก็รู้สึกตะงิดใจกับสิ่งที่เห็น พอเขาบอกมาแบบนั้น เราก็บอกว่า ถ้า
คิดว่าเราคือคนที่รักและคิดจะคบกับเราก็ไปเคลียร์กับเขาซะ
ทำทุกอย่างให้มันกระจ่างให้มันเคลียร์แต่ก็ไม่
แต่ก็ไม่เขาก็ยังไปเที่ยวด้วยกัน
เขาก็ยังไปทำงานด้วยกัน และเขาก็ไม่เคยพาเราไปเที่ยวด้วย”


       “ซึ่งต้องก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ เพราะเราเป็นแฟนเขาเราก็ควร
จะได้ไปทำกิจกรรมอะไรกับเพื่อนเขาบ้าง
ซึ่งเพื่อนของเขาต้องรู้จักหมดยกเว้นคนนี้(แต่ตอนนั้นยุ้ยให้สัมภาษณ์ต่อ
หน้าต้องว่า ยุ้ยกับต้องก็เคยไปเที่ยวด้วยกันเป็นเพื่อนกัน) ไม่เคยไม่จริง”



       “อันนี้เรื่องใหญ่ วันนั้นต้องไปหาซาร่า เขาไปเดินแบบ
พอต้องไปถึงพี่นักข่าวก็เห็นต้องก็มาถามว่าสัมภาษณ์คู่กันได้ไหม
ตอนนั้นมันยังเป็นช่วงแรกๆ อยู่เราก็บอกได้ค่ะไม่มีปัญหา
คือตอนนั้นเราตะงิดๆ อยู่แต่ยังไม่มั่นใจไม่อยากกล่าวหาใคร แต่ก็แปลกๆ
จากเรื่องโทรศัพท์อยู่”

“เราก็มาสัมภาษณ์คู่
กัน ต้องไม่ได้ตอบอะไรเลย ต้องแทบไม่ได้พูดอะไรเลยไปดูเทปสัมภาษณ์ได้
ฝ่ายนั้นพูดอะไรมาต้องก็ค่ะๆ เหมือนเราไปช่วยเขาแก้ตัวด้วยซ้ำ
แต่พอหลังสัมภาษณ์เสร็จปุ๊บ ฝ่ายชายโทรมาเลย ไปสัมภาษณ์คู่กับเขาทำไม
ต้องก็แบบก็นักข่าวเดินมาถาม เราก็ไม่ได้มีปัญหาถ้าฝ่ายนั้นไม่ให้สัมภาษณ์ต้องก็ไม่ต้องสัมภาษณ์สิ”

“เขาบอกก็ฝ่ายนั้นมีภาพนางเอกที่ต้องรักษา แล้วมันความผิดของต้องไหม เราต้องไปรักษาภาพนางเอกของใครหรอ คือถ้าเขาไม่อยากให้สัมภาษณ์ก็หาข้ออ้างไปสิติดงานก็ได้ แต่ทำไมทุกอย่างจะต้องมาลงที่ต้อง ฝ่าย
ชายบอกทางนั้นไม่แฮบปี้เอ้า..ไม่แฮบปี้แล้วมาสัมภาษณ์ทำไม
ต้องก็ถามกลับว่าอยู่ในเหตุการณ์หรอ แล้วทำไมต้องมาลงที่ต้องคนเดียว
ต้องไปสัมภาษณ์ว่าอะไรหรอ(ร้องไห้)
ต้องไม่เข้าใจถ้าต้องไปสัมภาษณ์ว่าเขาสิค่อยมาว่า
แต่นี่ต้องไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าเขาเลือกที่จะยืนข้างใคร”


หมายความว่า หลังสัมภาษณ์เสร็จ “ยุ้ย” ก็โทรไปบอก “ธัญญ์” เพื่อให้ธัญญ์โทรมาต่อว่า “ต้อง” เรื่องที่ไปสัมภาษณ์คู่กัน
“ใช่ค่ะ...ต้องไม่
เข้าใจว่าทำไมคนเรามันเป็นแบบนี้ไปได้ ต้องจำและเจ็บเรื่องพวกนี้มาเยอะ
แต่ต้องอยู่กับเขาเพราะเหมือนกับว่า
เขารักเราเขาเลือกเราแต่ก็เคลียร์ฝั่งโน้นไม่ได้
แต่เราก็เชื่อใจเขาทั้งที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราไม่มีความสุขร้องไห้มา
เป็นปีๆ
เขามักจะให้เหตุผลว่าเป็นงาน บางทีก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกับว่า ถ้ารับได้ก็รับไป ถ้าทนได้ก็ทนไป”

เลิกกันได้ไม่กี่วัน “ธัญญ์” ก็ควง “ยุ้ย” ไปทานข้าวทันที เหมือนรอเวลามานานแล้ว
“จนเวลามันผ่านไป 1 ปี 8
เดือนที่ต้องอยู่มาเพราะคำว่ารักนี่แหละ เรารู้สึกว่า
เราคงต้องใจแข็งเราคงต้องทำอะไรซักอย่าง ทำไมเราจะต้องมาเป็นตัวเลือกของใคร
เราคบกันมา 6 - 7 ปีไม่เคยมีปัญหากันเลย แต่พอเขาเริ่มไปอยู่กับบริษัทนั้น
หรือไปรู้จักใครเพิ่มขึ้นทำไมมันมีปัญหา
เราก็แบบเฮ้ย...ทำไมเราต้องมาอยู่ในจุดนี้เราดีมาตลอด”

“เราอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว
เราต้องถอยออกมา ต้องลองใจแข็ง ถ้าเขารักเราจริงๆ
เขาต้องทำทุกอย่างให้เรากลับมา ก็บอกเขาว่าห่างกันซักพัก
แต่ถอยออกมาได้แค่สองอาทิตย์เขาก็ไปเลย เราก็อึ้งไปเลยเหวอไปเลย
เหมือนเขารอให้เราออกไปอยู่แล้ว
แต่ตลอดเวลาที่ถอยออกมาก็คิดตลอดว่า เราคิดถูกหรือผิดเราแค่จะถอยออกมา”


       “จำได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกัน ต้องยังไม่ได้บอกเลยว่าเลิกกันซักคำหนึ่ง(ร้องไห้)
แต่พอเขาไป 3 - 4 วันต้องก็เห็นข่าวว่าเขาไปทานข้าวด้วยกัน
เราก็แบบอ้อหรอนี่คือรอให้เราถอยออกมาใช่ไหม ต้องอยู่กับเรื่องนี้มา 1 ปี 8
เดือนกว่าจะตัดเขาได้แต่เขาใช้เวลาสองอาทิตย์ไปเลย”



       เกือบ 2 ปีที่ผ่านมาไม่เคยได้เคลียร์กับ “ยุ้ย”

       “ไม่ค่ะหลายคนก็บอกว่าเธอทำไมไม่ทำ แต่เรารู้สึกว่า เราไม่อยากยุ่ง
คนเรามันโตๆ กันแล้วมันไม่จำเป็นต้องไปนั่งคุยนั่งเคลียร์
เราควรจะรู้ว่าใครเป็นอะไร และประเด็นหลักต้องคิดว่าเราน่าจะคุยกับคนของเรา
ต้องไม่อยากไประรานใครมันไม่ใช่นิสัยเรา เราไม่อยากไปอะไรกับอีกฝ่าย”


       คิดไหมว่าถ้าเขาบริสุทธิ์ใจน่าจะเคลียร์กับเราตรงๆ

       “ใช่...คิดต้องมีคำถามในใจตลอด ทำไมถึงเคลียร์ไม่ได้ซักที ทำไมถึงมีไอ้โน่น ไอ้นี่ ไอ้นั่น ทำไมถึงไม่ชัดเจนซักที”

ต้องไปออกรายการใช้คำว่า “เกลียด” คิดว่าอะไรที่เรารับไม่ได้มากที่สุด

       “คนเรามันต้องรู้น่ะ
ถ้าไม่อย่างนั้นปากกับการกระทำมันจะต้องตรงกันจะได้ไม่เกลียด
แต่ถ้าปากอย่างการกระทำอย่างต้องก็เลยเกลียด
ถ้าปากกับการกระทำตรงกันก็จะไม่เกลียด”



       ไม่หวั่นถ้าวันหนึ่ง “ต้อง” จะต้องโคจรไปเจอกับ “ยุ้ย”

       “ทำงานด้วยกันได้ แต่ถ้าจะต้องให้มาพูดคุยเราไม่รู้จักกันไม่สนิทกัน
ถ้าเจอก็เจอต้องไม่ได้ทำอะไรผิดอยู่แล้ว ต้องโอเคอยู่แล้ว
เพราะต้องพูดทุกอย่างเป็นความจริงเขารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ถ้าจะให้พูดอะไรที่มากกว่านี้ต้องพูดได้แต่ต้องไม่พูด
ต้องขอพูดเฉพาะอะไรที่มันเป็นข่าว พูดเฉพาะเรื่องที่ทุกคนรู้”


       “เรื่องนี้ทุกคนคงต้องใช้วิจารณญาณ
ก็ลองฟังจากฝั่งโน้นแล้วฟังจากฝั่งต้อง แล้วก็ลองไปคิดอยากจะเชื่อฝ่ายไหน
เป็นกลาง หรือไม่เชื่อใครก็แล้วแต่ แต่ต้องพูดได้เลยว่าต้องพูดความจริง
ลองไปถามดูสิว่า มีสิ่งไหนที่ต้องโกหกหรือเปล่า
และในเมื่อต้องเลือกที่จะพุดความจริงแล้ว ถ้าคนไม่ชอบต้องก็ยอมรับ
ใครเป็นกำลังใจให้ก็โอเค”

“แต่ถ้าจะคิดว่าต้องสร้างกระแสก็แล้วแต่ใครจะคิด แต่ถ้าต้องจะสร้างกระแสต้องทำได้ดีกว่านี้ และทำไปเร็วกว่านี้ไม่มาทำเอาตอนนี้”



ขอขอบคุณข้อมูลจาก  ASTVผู้จัดการออนไลน์





Create Date : 22 ธันวาคม 2553
Last Update : 22 ธันวาคม 2553 9:22:24 น. 0 comments
Counter : 931 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

pondpai
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




น้องพลอยตัวน้อย
[Add pondpai's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com