16 เรื่องควรรู้เมื่อหนี้เกิดทำพิษกับชีวิต
1. เริ่มจากการขอประนอมหนี้ เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ยินดีรับฟังปัญหาของคุณอยู่แล้ว และยินดีปรับโครงสร้างหนี้หากคุณแสดงความจริงใจที่จะใช้หนี้คืนเค้า การปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ ก็คือ การที่ธนาคารอาจจะคิดยอดเงินให้คุณใหม่โดยอาจคิดน้อยกว่าความเป็นจริง หรือให้คุณพักชำระหนี้สักระยะเพื่อหาเงินมาชำระ หรือให้คุณชำระในยอดต่อเดือนน้อยกว่าเดิม สรุปก็คือ เจ้าหนี้ให้โอกาสคุณดิ้นรนหาเงินมาชำระหนี้ ดีกว่ามาเป็นคดีความฟ้องร้องกันให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายให้วุ่นวาย แต่ต้องจำไว้ว่าเมื่อเจรจาประนอมหนี้สำเร็จแล้วคุณต้องมีวินัยในการจ่ายชำระคืนอย่างเคร่งครัด เพราะไม่มีใครเชื่อใจคุณอีกได้แน่หากมีการผิดนัดชำระเป็นครั้งที่สอง หากเจ้าหนี้ยอมประนอมหนี้แล้ว คุณยังไม่สามารถจ่ายชำระได้ในโครงสร้างหนี้ใหม่ เขาก็ต้องดำเนินคดีกับคุณต่อเหมือนกัน 2. ถ้าเงินไม่พอจ่ายก็ให้หยุดจ่าย ปล่อยให้เค้าฟ้องไป ถ้าไม่สามารถตกลงกับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ได้ การพยายามชำระตามความสามารถที่มี ก็เหมือนการชำระดอกเบี้ยอย่างเดียวโดยไม่มีวันจบสิ้น ยอดหนี้ยังคงเหลืออยู่เท่าเดิมโดยไม่กระเตื้องลดลง อย่างนี้แล้วจ่ายไปก็เสียเปล่า เปรียบเสมือนโยนหินลงไปในแม่น้ำ มีแต่จะจมหายไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา มีผู้สันทัดแนะนำว่าให้หยุดจ่าย การหยุดจ่ายไม่ได้หมายความว่าให้คุณชิ่ง!!!!!! หนี้นะครับ เพราะยังไงก็ต้องใช้คืนเจ้าหนี้เพียงแต่ คืนมาก คืนน้อย คืนเร็ว คืนช้า อยู่ที่คุณจะต่อรอง กรณีนี้ปล่อยให้เค้าฟ้องไป แล้วค่อยไปต่อลองที่ศาล 3. เจ้าหนี้ไม่มีสิทธินำความเป็นหนี้ของลูกหนี้ไปประจาน เพราะการเป็นนี้เป็นเรื่องส่วนตัว การนำเรื่องส่วนตัวของลูกหนี้ไปประจานแก่เพื่อนร่วมงาน หรือผู้บังคับบัญชาของลูกหนี้ ไม่ว่าจะหวังผลเพื่อให้เกิดการอับอาข หรือลดความน่าเชื่อถือของลูกหนี้ ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทของผู้กระทำ ลูกหนี้สามารถฟ้องเจ้าหนี้ในกรณีนี้ได้ 4. ความผิดจากการเป็นหนี้ไม่ได้ร้ายแรงถึงขึ้นต้องติดคุก เพราะหนี้เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญาที่ยอมความกันไม่ได้ สิ่งที่เจ้าหนี้สามารถกระทำกับลูกหนี้ก้คือการฟ้องเพื่อเรียกให้ชดใช้หนี้ หรือฟ้องลมละลายเพื่อยึดทรัพย์ หรือรับรายได้ ซึ่งการฟ้องให้ลมละลายนั้นผู้เป็นหนี้จะต้องมีหนี้เกิน 1,000,000 บาท ทั้งนี้หากมีเจ้าหนี้หลายรายเมื่อยอดหนี้รวมกันแล้วเกิน 1,000,000 บาท เจ้าหนี้ทั้งหมดอาจรวมกันฟ้องได้โดยเป็นโจทย์ร่วมฟ้องในคดีเดียวกัน อีกทั้งคดีความต่างๆมีอายุความอยู่ เช่น โดยปกติบัตรเครดิตจะมีอายุความการฟ้องภายใน 2 ปี นับแต่วันที่เราชำระเงินครั้งสุดท้าย ( คือ นับจากวันจ่ายเงินถึงวันฟ้อง) ถ้าเกินจากนี้เจ้าหนี้หมดสิทธิฟ้อง 5. เมื่อถูกฟ้องก็เป็นสิทธิของลูกหนี้ที่จะสู้คดี หากรู้สึกไม่เป็นธรรมในการคิดดอกเบี้ย หรือเบี้ยปรับ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะเป็นข้อต่อสู้คดีได้ก็ให้หยิบยกขึ้นมาสู้ แต่ถ้าไม่มีข้อต่อสู้ก็ต้องขอความเห็นใจจากเขา อาจเข้าไปคุยเพื่อขอลดยอดชำระให้เหลือน้อยลงหรือขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ถ้าเขาไม่ยอมและต้องการดำเนินคดีกับเราอย่างเดียวก็ปล่อยให้เขาดำเนินคดีไป เพราะอย่างไรเสียเขาจะทำอะไรกับคุณได้ก็เท่าที่กฏหมายให้สิทธิไว้เท่าน้น ซึ่งตามกฎหมายแล้วย่อมเปิดที่เปิดทางไว้ให้คุณได้มีเวลาหาเงินมาชดใช้เขาได้ ไม่ต้องกังวลใจ 6. ไปศาลหรือไม่ เป็นสิทธิของคุณ เมื่อมีหมายศาลมา คุณจะไปหรือไม่ก็ได้ เพราะเป้นสิทธิของคุณที่จะต่อสู้ หรือไม่ต่อสู้คดีก็ได้ หากคุณไปศาล แล้วไม่สามารถคุยเจรจากับโจทก์ก็ได้ก็เสียเวลาเปล่า เพราะอย่างไรเสียเจ้าหนี้ก็ให้ศาลมีคำพิพากษาไปฝ่ายเดียวตามยอดที่ฟ้องเหมือนเดิม ยิ่งถ้าคุณไปเซ็นรายงานกระบวนพิจารณาคดี ก็จะเป็นผลเสียกับคุณมากกว่าเพราะรับทราบคำพิพากษาในวันดังกล่าวแล้ว เขาสามารถนำไปบังคับแก่คุณได้ภายใน 15 วัน แต่ถ้าไม่ไปศาลในวันนัด นั่นเท่ากับว่าคุณไม่ทราบคำพิพากษา โจทก์จะบังคับแก่คุณช้าลงประมาณ 1 เดือน หรือนานกว่านั้น 7. จ้างทนายก็ใช่ว่าจะช่วยให้คุณไม่เป็นหนี้ เพราะประเด็นมันอยู่ที่อย่างไรเสียคุณก็ต้องหาเงินไปชำระคืนเขาทนายจะช่วยได้อย่างมากก็ประวิงคดี (ยึดการพิพากษาออกไปอย่างมากก็ 1 ปี) สุดท้ายคุณก็ต้องจ่ายเงินให้กับโจทก์อยู่ดี (แถมเสียเงินให้ค่าทนายอีกตะหาก) ดังนั้นถ้าเอาเงินเขามาจริงก็ต้องจ่าย จะหวังใช้ทนายแก้ต่างให้ไม่ต้องจ่ายเงินคงไม่ได้ แต่ถ้ายังไม่มีจ่ายก็สู้คดีกันไป 8. จ่ายวันนี้หนี้น้อยหน่อย จ่ายวันหน้าหนี้บานปลาย แม้เจ้าหนี้จะไม่สามารถทำอะไรคุณได้ หากคุณไม่มีทรัพย์สิน หรือรายได้ที่จะชดใช้ให้แก่เขา แต่ตราบใดที่คุณยังมีชีวิตอยู่ หากจังหวะไหนที่คุณมีทรัพย์สิน หรือรายได้ พึงระลึกไว้ว่าทรัพย์สินหรือรายได้นั้นเจ้าหนี้สามารถเรียกให้คุณจ่ายชดใช้หนี้ให้เค้าได้ และในวันนั้นยอดชำระหนี้จะไม่ใช่ก้อนเดิมอีกต่อไป แต่จะทวีคุณตามจำนวนวันเวลาที่ผันผ่านมานั่นเพราะยอดตามหมายศาลจะคิดถึงแค่วันฟ้องเท่านั้น และตามคำขอท้ายฟ้องจะมีอยู่ข้อหนึ่งที่บอกว่า ขอให้จำเลยชดใช้ดอกเบี้ยนับแต่ววันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คือ เจ้าหนี้จะขอคิดดอกกับคุณไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะชำระให้เขาทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์ ดังนั้นถ้ามีเงินก้อนก้ไปปิดบัญชีทีเดียวเลย เพราะถ้าปิดบัญชีหมดโดยปกติเจ้าหนี้จะลดให้ 50 % จากยอดหนี้ทั้งหมด 9.เจ้าหนี้สืบทรัพย์รู้ได้ไม่ใช่เรื่องยาก ในทุกครั้งที่ทำสัญญาเสินเชื่อ เจ้าหนี้จะให้คุณเซ็นหนังสือยินยอมให้มามารถเช็คข้อมูลของคุณได้ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะไปทำธุรกรรมธุรกิจที่ไหน เจ้าหนี้ย่อมตามคุณเจอเสมอ อย่าคิดว่าจะแอบมีทรัพย์สินได้โดยที่เจ้าหนี้ไม่รู้ แล้วหลบหนี้การทวงคืนได้ อย่างน้อยสุไม่ว่าคุณจะย้ายที่ทำงานไปกี่แห่ง ทุกแห่งที่คุณไปย่อมมีข้อมูลจากประกันสังคมให้เจ้าหนี้ได้แกะรอยตามคุณเจอ 10. ต้องฟ้องก่อน เจ้าหนี้ถึงมีสิทธิยึดทรัพย์ เจ้าหนี้จะมีสิทธิทำการยึดหรืออายัดทรัพย์ของคุณได้ ก็ต่อเมื่อเขาชนะคดีแล้วเท่านั้น จึงจะมีอำนาจบังคับคดี ดังนั้นถ้ามีการฟ้องร้องขึ้นมาก็ให้สู้คดีเรื่องดอกเบี้ย และอายุความไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องรับภาระดอกเบี้ยที่หนักเกิน 11. ยึดได้แต่ทรัพย์เรา ทรัพย์พ่อแม่พี่น้องไม่มีสิทธิยึด หลังจากฟ้องศาลและเจ้าหนี้เป็นฝ่ายชนะคดีแล้ว เขาจะทำการบังคับคดีโดยสืบหาว่าคุณมีทรัพย์สินอะไรบ้าง พอที่จะยึดและขายทอดตลาดได้เงินมาชำระหนี้แก่เขาได้เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ บัญชีเงินฝากในธนาคาร และทรัพย์สินของคุ๋สมรส ( เฉพาะที่จดทะเบียนสมรส ) โดยเข้ามาสามารถยึดได้ทั้งหมด จนกว่าจะได้เงินคบตามจำนวน แต่เค้าจะไม่สามารถยึดทรัพย์สินในส่วนที่เป็นของ พ่อ แม่ พี่ น้องคุณได้ ถ้าเขาสืบทรัพย์แล้วปรากฏว่าไม่พบ หรือคุณไม่มีทรัพย์สินอะไร เขาก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้ ถ้าคุณไม่มีจริงๆ ก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยไว้อย่างนั้น เพราะเขาก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้ ไว้รอคุณมีเมื่อไรก็ค่อยไปจ่าย แต่บอกไว้ก่อนว่าดอกเบี้ยมันจะเดินไปเรื่อยๆ เมื่อคิดจะจ่ายอีกทีหนี้อาจจะเพิ่มบานเบอะ เพราะฉะนั้นถ้ามีก็อย่านิ่งนอนใจคิดเบี้ยวเขาเสียดื้อๆ เขาสืบทรัพย์ได้เมื่อไรคุณก็ต้องจ่ายอยู่ดี 12. อายัดเงินเดือนได้ เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท เจ้าหนี้จะได้สิทธิบังคับคดีเต็มที่ตามยอดหนี้ที่ฟ้องร้อง หากคุณไม่มีทรัพย์สิน หรือโดนยึดทรัพย์สินไปหมดแล้ว เจ้าหนี้จะมีสิทธิอายัดเงินเดือนในส่วนที่เกิด 10,000 บาทเท่านั้น ถ้าคุณมีรายได้ไม่เกินนี้ เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถอายัดเงินเดือนคุณได้ และไม่สามารถอายัดได้ทั้งหมดเพราะกฏหมายไม่ได้ให้สิทธิไว้อย่างนั้น 13. ถูกอายัดทรัพย์แล้ว ก็ถอนอายัดทรัพย์ได้ ถ้าคุณสามารถหาเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาเข้าเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอจ่ายยอดเงินเต็ม ถ้าเจ้าหนี้ตกลงหนี้ตกลงตามที่คุณร้องขอ ขั้นตอนต่อไปก็คือต้องเตรียมเงินไปถอนการอายัดทรัพย์ และต้องเสียค่าธรรมเนียมการถอนอายัดทรัพย์ร้อยละ 3.5ของราคาที่เจ้าพนักงานประเมินไว้เพื่อเตรียมขายทอดตลาด 14. เจ้าพนักงานบังคับคดีมีสิทธิเท่าที่ศาลสั่ง กรมบังคับคดีไม่มีหน้าที่สืบหาทรัพย์ ผู้ที่มีหน้าที่สืบทรัพย์มีเพียงลูกหนี้และเจ้าหนี้เท่านั้น การยึดทรัพย์ในบ้านที่ลูกหนี้เป็นผู้อาศัย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องดำเนินการบังคับคดีแต่ในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกในวันทำการปกติ เว้นแต่ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินโดยได้รับอนุญาตจากศาล ในการดำเนินการเจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจเท่าที่มีความจำเป็นเพื่อนที่จะค้นสถานที่ใดๆ อันเป้นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ปกครองอยู่ เช่น บ้านที่อยู่คลังสินค้า โรงงานและร้านค้าขาย ทั้งมีอำนาจที่จะยึดและตรวจสมุดบัญชีหรือแผ่นกระดาษ และกระทำการใดๆ ตามสมควร เพื่อเปิดสถานที่บ้านที่อยู่ หรือโรงเรีอนดังกล่าว รวมทั้งตู้นิรภัย ตู้หรือที่เก็บของอื่นๆ ถ้ามีผู้ขัดขวาง เจ้าหนักงานบังคับคดีชอบที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อดำเนินการบังคับคดีจนได้ 15. การจ่ายชำระหนี้ทุกครั้งให้เก็บใบสลิปธนาคารไว้เป็นหลักฐาน เพื่อใช้ยืนยันในกรณีที่มีปัญหา ถ้าจะให้ดีคุณควรถ่ายสำเนาเก็บเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นใบสลิปจากตู้เอทีเอ็ม นานวันหมึกมัจจะจางและหายไปป้องกันการสูญหายหรือเก็บไม่ดีด้วย 16. หนี้ที่เกิดจากการค้ำประกัน ตามกฏหมายแล้ว เมื่อลูกหนี้ผิดนัดบุคคลผู้ค้ำประกันก็ต้องชำระหนี้ รับผิดชอบในหนี้นั้น แต่คุณสามารถใช้สิทธเกี่ยงได้ว่า ลูกหนี้มีทรัพย์สินอื่นอยู่ให้บังคับเอาแก่ลูกหนี้ก่อน (หากมี) โดยส่วนนี้คนค้ำฯ ก็อาจจะช่วยเจ้าหนี้สืบ เพราะหากเจ้าหนี้เจอทรัพย์สินของลูกหนี้มากเท่าไร คนค้ำประกันก็จะได้ไม่ต้องชำระหนี้ตามจำนวนเต็ม หรือมีมากเท่ากับหนี้ เจ้าหนี้ก็ไม่ต้องมาบังคับเอาจากคนค้ำฯ แต่หากลูกหนี้ไม่มีอะไรเลย คนค้ำประกันก็สามารถไล่เบี้ยเอาแก่ลูกหนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ไป
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2556 |
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2556 18:50:18 น. |
|
0 comments
|
Counter : 848 Pageviews. |
|
|
|