มารู้จักทางเลือกในการลงทุน
รู้จักกับทางเลือกการลงทุน ความเสี่ยงในการลงทุนมักจะเชื่อมโยงถึงผลตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งเราสามารถแบ่งกลุ่มสินทรัพย์ และหลักทรัพย์ตามระดับความเสี่ยงได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ 1. กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (ผลตอบแทนสูง) 2.กลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง (ผลตอบเทนปานกลาง) 3.กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ (ผลตอบแทนต่ำ) กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูงได้แก่ - หุ้น - ตราสารอนุพันธ์ หุ้น มูลค่าของหุ้นจะผันผวนขึ้นลงตามสภาวะแวดล้อมที่มากระทบได้ตลอดเวลา ผลตอบแทนการลงทุนในหุ้น จะมาจากเงินปันผลและกำไรจากการซื้อขายโดยกำไรที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ทั้งนี้หุ้นมีหลากหลายประเภท หากผู้ลงทุนชอบผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโครงสร้างพื้นฐานดี จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ราคาขึ้นลงไม่หรือหวา แต่หากยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่า ก็อาจเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวของราคาสูงต่ำหวือหวาเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น แต่ไม่ว่าจะเลือกลงทุนแบบใด ผู้ลงทุนต้องหมั่นติดตามข่าวสารข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันความเสี่ยง หรือหากไม่มีเวลาก็อาจลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นก็ได้ ซึ่งก็จะมีผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่บริหารจัดการแทน ตราสารอนุพันธ์ เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทหนึ่ง โดยมีมูลค่าผันแปรตามสินทรัพย์ที่อ้างอิง ซึ่งอาจเป็นตราสารทางการเงิน เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ พันธบัตรตั๋วเงิน หุ้นสามัญ ฯลฯ หรืออาจเป็นสินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ น้ำมัน ข้าว ฯลฯ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ฟิวเจอร์ และ ออปชั่น การลงทุนในฟิวเจอร์ : เป็นการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าที่อ้างอิงถึง ซึ่งทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีภาระผูกพันที่ต้องทำตามสัญญากันไว้ แต่ก็สามารถล้างภาระผู้พันได้โดยการทำธุรกรรมหักล้างก่อนสัญญาจะครบกำหนดอายุ การลงทุนในรูปแบบนี้จะใช้เงินลงทุนน้อยกว่ามูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์อ้างอิง จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์โดยตรงหากคาดการณ์ผิดพลาด การลงทุนในออปชั่น : เป้นการทำสัญญาระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเพื่อซื้อขายสิทธิที่จะซื้อหรือขายสินค้าอ้างอิงตามจำนวน ราคา และระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยผู้ซื้อสามารถเลือกใช้สิทธิในการซื้อหรือขาย หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้ แต่หากผู้ซื้อเลือกใช้สิทธิ ผู้ขายก็มีภาระต้องทำตามสัญญาที่ให้กับผู้ซื้อ โดยอนุพันธ์ทั้งสองประเภทสามารถซื้อไว้เพื่อเก็งกำไรระยะสั้น หรือเพื่อบริหารความเสี่ยงให้กับสินทรัพย์หลักที่ซื้อไว้ก็ได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง ผลตอบแทนปานกลาง ได้แก่ - ตราสารหนี้ - สินค้าโภคภัณฑ์ - กองทุนรวม ตราสารหนี้ เป็นตราสารที่หน่วยงานรัฐ หรือบริษัทเอกชนออกเสนอขายเพื่อระดมเงินทุนกับประชาชนผู้สนใจ ซึ่งมีมากมายหลายประเภท อาทิ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้ ฯลฯ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวดๆ ตามอัตรา และระยะเวลาที่ผู้ออกตราสารกำหนดเอาไว้แน่นอน และได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ เช่น 5 ปี 10 ปี ตราสารหนี้จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนแบบสม่ำเสมอ และเหาะกับเงินลงทุนระยะปานกลางถึงยาว เนื่องจากตราสารหนี้มักมีสภาพคล่องต่ำ หากอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ จะเป้นผลให้ราคาตราสารหนี้นั้นลดลง ซึ่งหากผู้ลงทุนมีความจำเป็นต้องขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนดอาจประสบผลขาดทุนได้ สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากราคามีแนวโน้มสูงขึ้น ดดยสินทรัพย์ในกลุ่มนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น ทองคำ ทองแดง น้ำมัน หรือก๊าซะรรมชาติ ถ่านหิน ฯลฯ ทรัพยากรเหล่านี้เมื่อหมดไปแล้วต้องขุดเพิ่ม ซึ่งมีต้นทุนสูง ใช้เวลานาน และไม่เพียงพอกับความต้องการ ราคาจึงปรับตัวสูงมากกว่าจะลดลง อีกประเภทคือสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นใหม่ทดแทนได้ เช่น ผลิตผลทางการเกษตร เป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการใช้จริง และมีปริมาณความต้องการสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากจำนวนประชากรโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แต่มีความเสี่ยงจากปัจจัยธรรมชาติ การเมือง แรงงาน ราคาจึงมีความผันผวนมาก โดยปกติแล้วการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้จะลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นกรณีทองที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อทองคำแท่งมาเก็บไว้เพื่อเก็งกำไรได้ กองทุนรวม เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินประเภทต่างๆ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ซึ่งจะทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการลงทุน และบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทน จากนั้นจึงนำมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้ลงทุนแต่ละรายตามสัดส่วนการลงทุนที่ระบุไว้ใน หน่วยลงทุน ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้กับผู้ลงทุนเพื่อเป็นหลักฐาน กองทุนรวมจะมีความเสี่ยงและผลตอบแทนตามแต่นโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก คือ กองทุนรวมหุ้น : จะเน้นลงทุนในหุ้นสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 65 100 ความเสี่ยงเทียบเท่าได้กับการลงทุนในหุ้นตามสัดส่วนที่ลงทุน แต่อาจมีข้อได้เปรียบกว่าในแง่ที่ว่าการลงทุนผ่านกองทุนรวม จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนบริหารจัดการให้ ผู้ลงทุนใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มากแต่เงินปันผลที่ได้รับจะต้องเสียภาษีด้วย กองทุนรวมตราสารหนี้ : ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับประเภทตราสารหนี้ที่กองทุนไปลงทุน หากเน้นพันธบัตรรัฐบาล เงินต้นจะไม่สูญ แต่ก็จะได้ผลตอบแทนน้อยกว่ากองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้บริษัทเอกชน กองทุนรวมผสม : มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 35 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์อื่นร่วมด้วย จึงทำให้ได้รับผลตอบแทนและมีความเสี่ยงอยู่ในระดับกึ่งกลางระหว่างการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น และกองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมเพื่อประโยชน์ในการลดภาษี มีลักษณะเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป แต่จะแตกต่างพิเศษตรงที่ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิในการนำไปใช้ลดหย่อนภาษีหากปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด กระนั้นหน่วยลงทุนที่ได้รับก็จะไม่สามารถโอน จำนำ หรือนำไปใช้เป็นหลักประกันใดๆ ได้ กองทุนรวมนี้แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF ) มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิในการลดหย่อนภาษีหากถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับตามปีปฏิทิน โดยจะนับแยกในแต่ละช่วงปี เช่น การลงทุนตลอดช่วงปี 2547 จะครบ 5 ปีในเดือนมกราคม 2551 ลงทุนตลอดช่วงปี 2548 จะครบ 5 ปี ในเดือนมกราคา 2552 เป็นต้น) และจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( Retirement Mutual Fund : RMF ) นโยบายการลงทุนหลากหลาย มีตั้งแต่กองทุนที่มีระดับความเสี่ยงต่ำเน้นลงทุนในตราสารหนี้ ไปจนถึงกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูงเน้นลงทุนในตราสารทุน ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิในการนำไปลดหย่อนภาษีได้ ก็ต่อเมื่อมีการสะสมเงินอย่างต่อเนื่อง โดยซื้อหน่วยลงทุน RMF ไม่น้อยกว่าปีละครั้งลงทุนขั้นต่ำ 3 % ของเงินได้ในแต่ละปี หรือไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท แต่จะลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้ในแต่ละปี หรือไม่เกิน 500,000 บาท และจะต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน เว้นแต่ในปีนั้นจะไม่มีเงินได้ การขายคืนหน่วยลงทุน ทำได้เมื่อผู้ลงทุนอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตาม หากผู้ลงทุนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี และยังต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้นไปด้วย โดยหากเป้น LTF ต้องคืนเงินภาษีย้อนหลัง 5 ปี แต่หากเป้น RMF ต้องคืนเงินภาษีพร้อมเงินเพิ่มในอัตรา 1.5 ต่อเดือน โดยนับตั้งแต่เดือนเมษายนของปีที่ผ็ลงทุนยื่นขอยกเว้นภาษี จนถึงเดือนที่มีการยื่นคืนเงินภาษี นอกจากนี้เงินที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนก็ต้องจ่ายภาษีของกไรส่วนเกินทุน (Capital Gain) โดยนำกำไรที่ได้รับจากการขายคืนไปรวมเป็นเงินได้ของปีที่ขายคืนเพื่อเสียภาษีเงินได้ ด้วยเหตุนี้ก่อนตัดสินใจลงทุนกองทุนรวมประเภทนี้ ผู้ลงทุนควรพิจารณาให้ดีก่อนว่าสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้หรือไม่ กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำ ได้แก่ - เงินฝากธนาคาร - ประกันชีวิต เงินฝากธนาคาร ปัจจุบันยังถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสุด เพราะรัฐบาลให้การประกันเงินฝากไว้ ดังนั้นผู้ฝากเงินจึงไม่ต้องกังวลว่าเงินต้นที่ฝากไว้จะสูญหายไปเพียงแต่ว่าผลตอบแทนที่ได้รับก็จะต่ำมากด้วยเช่นกัน และในบางภาวะจะต่ำติดดินจนอาจเสี่ยงต่อการที่ค่าเงินสูญไปกับตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นับจากเดือนสิงหาคม 2555 เป็นต้นไป รัฐบาลจะลดความคุ้มครองลงเหลือเพียงให้การประกันเงินฝากที่ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงินแต่ละแห่ง นั่นหมายความว่าเงินฝากที่เกิน 1 ล้านบาท เป็นต้นไปอาจเสี่ยงต่อการสูญเงินต้นได้ หากสถาบันการเงินนั้นมีการบริหารจัดการไม่ดี ด้วยเหตุนี้การฝากเงินกับธนาคารจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในอนาคต หากแต่เป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอสำหรับการโยกย้ายเงินไปไว้ในแหล่งลงทุน ที่จะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุดในแต่ละช่วงโอกาสที่เหมาะสม ประกันชีวิต ถือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการลงทุนที่แม้จะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่งดงาม แต่ให้ประโยชน์ในเรื่องของการประกันความเสี่ยง ซึ่งมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับการประเมินของผู้ลงทุนว่าตนเองอาจมีความเสี่ยวงอะไรบ้าง ก็ให้ซื้อรูปแบบประกันที่ตรงกับความต้องการของตน เช่น ประกันโรคร้าย ประกันสุขภาพ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีประกันชีวิตในรูปแบบการออมที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนกลับ ตลอดระยะเวลาการคุ้มครอง หรือประกันชีวิตที่พ่วงการลงทุน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนเทียบเท่าการลงทุนในตลาดทุน แต่ก็จะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การจัดประเภทความเสี่ยงข้างต้นเป็นเพียงการจัดกลุ่มคร่าวๆเท่านั้น ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของสินทรัพย์ และหลักทรัพย์แต่ละตัว ยังขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะเวลา และคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละช่องทางด้วย
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2556 |
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2556 16:17:48 น. |
|
0 comments
|
Counter : 859 Pageviews. |
|
|
|