ที่น่าจับตาก็คือ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และการเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่นในครั้งนี้ จะส่งผลอะไรต่อตลาดหุ้นใน Emerging Markets ในระยะยาวหรือเปล่า ไปดูกันครับ อย่างแรก ไปดูตลาดหุ้น DM และ EM เทียบกับ TOPIX ของญี่ปุ่นในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ตอนปี 1995 จะเห็นว่า การที่ EM ลงแรง ถือเป็น Buying Opportunity เพราะถ้านับจากจุดต่ำสุดของการลง เปรียบเทียบกัน 3 ดัชนีแล้ว EM ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อนับจากจุดต่ำสุด สาเหตุที่ตลาด EM ยังไปได้ต่อเพราะญี่ปุ่นต้องสั่งซื้อสินค้าและเครื่องจักรจากจีน หรือประเทศอื่นๆในเอเชียเพื่อสร้างงาน เพื่อฟื้นฟูประเทศ จึงเป็นผลดีต่อประเทศคู่ค้า และ Citi เชื่อว่าครั้งนี้ก็ไม่น่าจะแตกต่างไป
อย่างที่สอง ทำไม CITI ไม่คิดว่าเหตุการณ์ภัยธรรมชาติดังกล่าวจะส่งผลให้เงินลงทุนใน EM บางส่วนจะถูกขายออกไปและกลับไปอยู่ในสกุลเยน (JPY) ในช่วง 5 วันทำการแรกหลังเกิดเหตุ ค่าเงินในประเทศ EM ลดลงเฉลี่ยถึง 6% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ก่อนที่จะ Rebound กลับอย่างรวดเร็ว หลังจากที่กลุ่ม G7 มีมติเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนในวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ค่าเงินเยน เมื่อเทียบกับสกุลหลักๆในกลุ่ม G7 มีแนวโน้มแข็งค่า >> และทำให้ค่าเงิน USD อ่อนค่าลง สิ่งนี้กดดันให้ กลุ่ม EM อาจชะลอการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว (ขึ้นดอกเบี้ย) เพราะจะเป็นการเชื้อเชิญให้เงิน USD ไหลเข้า EM เหมือนช่วง Q3-Q4 ปีที่แล้วที่กดดันค่าเงินบาทลงไปถึง29.5 บาท/USD
แต่ทีม CITI Strategist ก็ให้ข้อสังเกตไว้ว่า บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นแทบไม่ค่อยมีสัดส่วนการลงทุนในญี่ปุ่นเท่าไหร่ (เช่นเดียวกับ Pension Fund) ดังนั้นการขายหลักทรัพย์จากกลุ่มบริษัทประกันออกจาก EM น่าจะมีจำนวนไม่มาก และน่าจะจบไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหว สำหรับนักลงทุนรายย่อยในญี่ปุ่นที่ต้องการหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง มีแนวโน้มว่าการขายหลักทรัพย์จะมาจาก DM มากกว่าที่จะเป็น EM เนื่องจาก Long Term Projection ในมุมมองทางเศรษฐกิจ ยังให้อัตรการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ที่สูงกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยสองเหตุผลข้าง ทำให้แรงเทขายในตลาด EM มีน้อย และเมื่อดูจากปัจจัยอื่นๆแล้ว กลับทำให้เงินลงทุนส่วนใหญ่ในโลกไหลเข้า EM มากกว่าในช่วงที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
กลยุทธ์หลักจากผ่านเหตุการณ์ไปหลายอย่างในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา 1. จากเหตุการณ์ในอดีต เมื่อญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งก่อนหน้า ปีนั้นทำให้ GDP ของญี่ปุ่นชะลอตัวลงอย่างมีนัย แต่กลับทำให้ EM ดีขึ้น 2. DM เริ่มชะลอการ Outperform ลงหลักจากผ่านไป 3 เดือน เพราะมีแรงเทขายจากความไม่แน่นอน แต่เรายังไม่เห็นการ Rally ใน EM เลยนับตั้งแต่ US ประกาศแผน QE2 เมื่อเดือน พ.ย. 3. เราเชื่อว่า EM จะกลับมาชนะ DM ได้ในที่สุดใน 1-2 ปีข้างหน้า ยังคงคำแนะนำ ทยอยสะสม