การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรสังเกตุ คำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง
Group Blog
 
All Blogs
 
Technical Rebound ในตลาดโลกรอบนี้ ไปได้ไกลเท่าไหร่?

ผมขึ้นชื่อหัวข้อไว้อย่างนี้ ก็ตามความเห็นส่วนตัวแบบไม่มีปิดบังครับว่า Global Markets อยู่ในช่วง Technical Rebound แรงๆเท่านั้น ยังไม่น่าจะกลับไปเป็นขาขึ้น

กลับมาย้ำที่เหตุผลอีกครั้ง
1) MSCI World ขึ้นมาจาก bottom ตอน subprime จนถึงวันนี้ไม่ต่ำกว่า 40% ในหลายๆตลาด รวมทั้งประเทศไทย ผลตอบแทนจากจุดต่ำสุดถึงตรงนี้เกิน 100% ไปแล้ว ด้วยการวิ่งแบบรวดเดียวอย่างนี้ ตลาดย่อมต้องการย่อยข่าว รับมุมมองในอนาคตจากรอบด้าน ทั้งดีและไม่ดี และวิเคราะห์กันให้สะเด็ดน้ำก่อน (จำได้ว่า CLSA ยออกresearch ตอนต้นปีและวิเคราะห์ว่าหากปีไหนที่ผลตอบแทนของ SET Index สูงเกิน 30% ผลตอบแทนในปีถัดไป จะไม่เกินเลขสองหลัก หรือ 10% เผลอๆ ลบอีกต่างหาก)
2) ปัญหาหนี้ที่ยุโรป ยังไม่ได้การแก้ไขแบบเป็นรูปธรรม CDS Spread ของตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศ PIIGS ก็อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงมาตลอด แม้ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในขา rebound อย่างช่วงนี้ก็ตาม
3) สินทรัพย์ประเภท Safe Heaven ยังอยู่ใน Channel Uptrend (ขาขึ้น) ซึ่งดูจากสถิติย้อนหลัง ราคาทองจะวิ่งแรง ก็เมื่อเกิดวิกฤต เท่านั้น อย่างเช่นตอน subprime แต่ในภาวะปกติ จะเป็น sideway หรือ sideway up ไปเรื่อยๆ ไม่ Bullish ขนาดนี้

หากใช้ Fibonacci 61.8% มาหาแนวต้านทาง Technical ของตลาด Dow Jones จะพบว่า แถวๆ 10,700 จุด จะเป็นแนวต้านสำคัญสำหรับคนที่ต้องการ take profit และคนที่ต้องการถือ short position ตามกราฟครับ


พอดูจากตรงนี้ ก็เหมือน Upside จะเหลือแค่ 300 จุดแค่นั้นนะครับ ดังนั้นใคร bias ว่าไปได้ไกลกว่านี้ก็ดูที่ 10,900 และ High เดิม ตามลำดับ

งั้นมาดูต่อว่า เลย 10,700 จุด ไปได้ไหม?

Dow Jones Volatility Index บอกเราว่า ความเสี่ยงลดลง โดยมี Pattern สนับสนุน ด้วยการทำรูปแบบคล้ายๆ Head and Shoulder พร้อม Bearish Divergence หาก VIX Index หลุดต่ำกว่า 22 points ได้ จะดีต่อตลาดหุ้นมากๆครับ

ส่วน Dollar Index มีแนวโน้มลงได้อีก มีแนวต้านสำคัญคือ EMA50 วัน 84.26 ซึ่งถือว่ายังมี Gap อีกพอสมควร



ดังนั้น หากใช้ Indicator อย่าง VIX และ Dollar Index ตลาดหุ้น DJIA ไม่น่าจะมี Upside ที่จำกัดแค่นั้น วิธีการหลังจากนี้ คงต้องเป็นการทยอยขายตามแนวต้านสำคัญนะครับ

ทั้งนี้ผมวิเคราะห์ในมุมมองของนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเป็นหลักนะครับ ส่วนหุ้นไทย เรามีบุคคลิกไม่เหมือนเพื่อนๆ คงดูตาม Dow Jones ได้แค่บางส่วนเป็น Guildline เบาๆเท่านั้น

ตอบคำถามของหัวข้อ Blog ที่ถามว่า Technical Rebound ในตลาดโลกรอบนี้ ไปได้ไกลเท่าไหร่?- หากตอบโดยใช้ Dow Jones พิจารณา แนวต้านที่ 10,700/10,900 แล้ว ไม่ถือว่าเยอะมากครับ ราวๆ 3-5% นับจากตรงนี้
- แต่ VIX Index และ Dollar Index ดู Positive ต่อตลาดหุ้น จึงแนะนำว่า หากไม่จำเป็นต้องรีบใช้เงิน ให้ทยอยขายตามแนวต้าน ดีกว่าขายที่แนวต้านแรกทั้งหมดทั้งก้อนครับ


Create Date : 16 มิถุนายน 2553
Last Update : 17 มิถุนายน 2553 7:49:11 น. 12 comments
Counter : 3419 Pageviews.

 
ขอบคุณครับ


โดย: อาปี้ IP: 180.183.20.141 วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:6:14:09 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ


โดย: i-Sea วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:8:27:46 น.  

 
ขอบคุณครับ


ช่วงนี้ ถือเงินสดเพิ่มขึ้นครับ


โดย: พ่อน้องบุ๊ค IP: 183.89.227.128 วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:11:04:08 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: sandee IP: 183.89.84.151 วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:11:33:36 น.  

 
ขอบคุณค่ะ


โดย: ตะวัน IP: 118.173.21.32 วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:12:43:26 น.  

 
Technical Rebound ในตลาดโลกรอบนี้ ไปได้ไกลเท่าไหร่? กราฟ day ของตลาดหลักอย่าง DAX FTSE CAC40 Nikkei HSI(ฮ่องกง)แม้แต่ DJI ของอเมริกา หรือ set ของไทย macd ตัดขึ้นใต้เส้นศูนย์ทั้งหมดแถมทำ higher new high ด้วย อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่า rebound นะครับ มันเกิดสัญญาณซื้อชัดเจนมาพักนึงแล้ว Technical Rebound ตามความคิดผมมันน่าจะหมายถึงหุ้นตกมาติดต่อกันจน indicator บางตัวทางเทคนิคมันบ่งว่า oversold มันเลยบวกขึ้นมาเฉยๆโดยไม่มีสัญญาณซื้อทางเทคนิค แต่สภาวะตอนนี้เครื่องมือชนิด trend follower หลายตัวมีสัญญาณซื้อแล้ว อีกประการนึงที่ไม่ควรลืมคือตลาดหุ้นมักจะขึ้นในสภาวะที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้ายนี่แหละครับ ช่วงไหนรายย่อย นักวิเคราะห์พร้อมใจกันบอกว่าตลาดจะไปต่อหุ้นมันจะตกตอนนั้นแหละ เพราะเวลาข่าวดีสุดๆทุกคนเข้าซื้อ มันก็ต้องมีคนขายให้เราไม่งั้นซื้อกันได้ไง?ในเมื่อซื้อกับขายต้องเท่ากัน พอซื้อเสร็จก็พบว่าเฮดจ์ฟันด์ขายทุกที แล้วหุ้นก็ลงอย่างสมบูรณ์แบบ ขาขึ้นก็เช่นเดียวกันแต่คิดกลับด้านกันเท่านั้นเอง ถ้าจะรอข่าวดี รอยุโรปแก้ปัญหาได้ รอแดงเหลืองปรองดองกันสำเร็จฯลฯ แล้วค่อยเข้าซื้อระวังจะกลายเป็นเข้าตอนตลาดวายเอานะครับ คิดจะเล่นหุ้นแบบกราฟเทคนิคก็อย่าฟังข่าวมากนัก เพราะสัญญาณซื้อทางเทคนิคมันชอบมาตอนที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้ายซะด้วย


โดย: Mr.H IP: 58.181.157.122 วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:13:52:42 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความเห็นคุณ Mr.H นะครับ
ขออนุญาตตอบหน่อย

เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ผมก็ยังแนะนำให้นักลงทุนกลับเข้าตลาด ซึ่งตอนนั้น ฝุ่นตลบ มากกว่าตอนนี้มาก ช่วงที่ผมค่อนข้าง Strong Buy ในตลาดหุ้นทั้ง Emerging Markets และหุ้นไทย ก็คือช่วงวันที่ CTW ถูกเผาพอดีๆเลยครับ (ข่าวร้ายเต็มตลาด ผมกล้าซื้อครับ หากมีสัญญาณ)

ถึงวันนี้ ใครลงทุนในตลาด Latin America หรือ Emerging Market ก็ได้ไปไม่ต่ำกว่า 5% เรียบร้อย (ยกเว้นเอเชีย ที่ underperform ในช่วง rebound รอบนี้

ใน twitter ผมก็โพสให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ให้ Buy Signal หมดทุกตลาด

แล้วมาโพสเตือนทำไม??
Indicators ทางเทคนิค ไม่ได้มีแค่ MACD หรือ RSI การหาแนวรับแนวต้าน เพื่อวางกรอบกลยุทธ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ และบอกให้เรารู้ว่า หากคิดจะลงทุนเพิ่ม หรือจะขาย ตรงไหนที่เรียกว่า ถูก ตรงไหน ที่เรียกว่า แพง ในมุมมองทางเทคนิค ก็เท่านั้นครับ

สรุปคือ ถึงผมมีมุมมอง Bear ต่อตลาด แต่ก็เทรด และลงทุนตามระเบียบวินัยที่ตัวเองได้วางเอาไว้ครับ ดังนั้น เหตุผลที่ให้ไว้ 3 ข้อ เป็นข้อพึ่งสังเกต และควรระวังไว้ ^^


โดย: Mr.Messenger วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:16:29:16 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความเห็น คุณ Mr.Messenger เช่นเดียวกัน ผมเข้าใจว่าระบบทางเทคนิคที่คุณ Mr.Messenger ใช้ในการส่งสัญญาณคงไม่ใช่ระบบเดียวกันกับผมแต่ก็ถือว่าให้สัญญาณซื้อช่วงเวลาใกล้เคียงกันมาก และคงเป็นเพราะผมค่อนข้างจะเป็นพวก pure technical เลยค่อนข้างจะแปลกใจกับคนที่วิเคราะห์อะไรด้วยกราฟเทคนิคแต่เอาข่าวมาเป็นองค์ประกอบในการวิเคราะห์ ก็จะลองศึกษาแนวคิดและข้อสังเกตต่างๆที่คุณ Mr.Messenger ให้ไว้นะครับ เผื่อจะเห็นมุมมองต่างๆมากขึ้น


โดย: Mr.H IP: 125.24.249.172 วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:19:55:23 น.  

 
มีหลายท่านสงสัยเหมือนกันครับ ว่า Technical มันต้องดูข่าวด้วยเราหรือ??

ประการแรก Technical Analysis ไม่ได้บอกจุดต่ำสุด หรือจุดสูงสุด เพื่อให้ซื้อหรือให้เราขาย แต่บอกแนวโน้มของตลาด และจุดที่คาดว่าจะเป็นจุดกลับตัว (ซึ่งส่วนใหญ่ จะเจอ Bottom หรือ Top ไปก่อนหน้านั้นแล้ว)

การกลับตัว หรือการให้สัญญาณทางเทคนิค เกิดจากความคาดหวังของนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่เปลี่ยนไป จาก Buy เป็น Sell หรือจาก Buy เป็น Strong Buy ก็แล้วแต่ แล้วมีคนกลุ่มอื่นเริ่มเปลี่ยนความคิดต่อตลาดตาม

คำถามคือ อะไรที่ทำให้นักลงทุนเปลี่ยนความคิดจาก Bull เป็น Bear หรือ จาก Bear เป็น Bull ... มันก็ย้อนกลับไปที่พื้นฐาน และ Valuation ครับ ซึ่งแน่นอนว่า คนกลุ่ม Value Investor ก็ไม่สนใจข่าวตอนนั้น แต่การติดตามข่าว ทำให้เรารู้ความคิดของคนส่วนใหญ่ และรู้ความคิดของตัวเราเองว่ามีตรรกะที่ตรงกับคนส่วนใหญ่หรือไม่

ดังนั้นรูปแบบราคาจึงสะท้อนความคิดของนักลงทุนในตลาดจากการเสพข่าวสาร และแปลออกมาตามความเห็นของตัวเอง ซึ่งถูกหรือผิด ตลาดจะเป็นผู้เฉลยในเวลาต่อมา สุดท้าย ถ้าเสพแค่ข่าวและวิเคราะห์เก่งมาก ก็ไม่จำเป็นต้องดูเทคนิคแล้วครับ ผมเคยคุยกับ Prop Trade คนนึง ช่วงแรกก็เทรดตามสัญญาณเทคนิค ไปๆมาๆ แกบอกว่า มานั่งดูแค่ Bid Offer ก็รู้ได้เหมือนกัน

จะเห็นว่า ทุกๆการวิเคราะห์ในโลกของการลงทุน เราสามารถหาจุดเชื่อมโยงถึงกันได้หมดครับ มีแต่นักลงทุนเท่านั้น ที่พยายามตัดปัจจัยที่ตัวเองคิดว่าไม่จำเป็นออกไป เพื่อตัด bias และกระชับระบบให้ง่ายขึ้น

มันจึงไม่มีสูตรตายตัว แล้วแต่ความถนัดของนักเทรดเอง ^^


โดย: Mr.Messenger วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:23:59:32 น.  

 
เคยเจอนักวิเคราะห์ทางเทคนิคของโบรกเกอร์ชื่อดังคนนึง(ไม่ขอเอ่ยชื่อ) รอบที่ผ่านมาช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ตอนนั้นตลาดอยุ่แถวๆ 690 จุด ตลาดมีสัญญาณซื้อทางเทคนิคชัดเจนแม้แต่เจ้าตัวยังบอกเองเลยว่าสัญญาณเทคนิคเป็นบวกเป็น buy signal แต่กลับแนะนำให้นักลงทุนทยอยขายลดพอร์ตเมื่อราคาเด้งขึ้นมา โดยให้เหตุผลว่าสถานการ์ณการเมืองไม่ดีเดี๋ยวจะตัดสินยึดทรัพย์ เดี๋ยวจะมีชุมนุมของ เสื้อแดง ฯลฯ ผลคือแนะนำให้ขายทุกวันให้ขายตั้งแต่ 690 จนถึง 780 กว่าจุดเริ่มกลับมาแนะนำซื้อ! ถ้าใครทำตามคำแนะนำคงติดดอยกันเป็นแถว 555 เห็นด้วยครับว่าแล้วแต่ความถนัดของนักเทรดใครวิเคราะห์ข่าวเก่งก็วิเคราะห์ไป ใครชอบเทคนิคก็เล่นแบบเทคนิคไปแต่ถ้าเอาทั้งข่าวเอาทั้งกราฟมาปนกันก็ต้องแยกแยะให้ออกด้วย เชื่อมโยงกันได้ก็ดีไป เชื่อมโยงไม่ได้จะดูไม่จืดทันที 555 การเล่นแบบเทคนิคแท้จริงแล้วก็คือเรากำลังทำตามค่าสถิติที่เราทดสอบแล้ว(back test) ในเมื่อค่าสถิติที่สำคัญอย่าง win/loss ratio reward/risk ratio คำนวณแล้วได้ค่า expected value ของระบบเป็นบวกเราก็แค่ทำตามระบบไป เพราะข่าวมันรวมอยุ่ในนั้นหมดแล้ว สำหรับผมประโยชน์ของการฟังข่าวและวิเคราะห์ข่าวก็ คือ มันเท่ มันดูดี ดูมีความรู้ดีเวลาอธิบายว่าทำไมตลาดขึ้นหรือลง 555
ปล. เห็นด้วยกับคุณ Mr.Messenger ที่บอกว่า "มันจึงไม่มีสูตรตายตัว แล้วแต่ความถนัดของนักเทรดเอง" จะเทรดยังไงก็เทรดไปเถอะ มีกำไรเป็นใช้ได้ 555 ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นครับ


โดย: Mr.H IP: 125.25.174.206 วันที่: 18 มิถุนายน 2553 เวลา:7:18:53 น.  

 
"จะเทรดยังไงก็เทรดไปเถอะ มีกำไรเป็นใช้ได้" ประโยคนี้ เป็นประโยคทองเลยครับ

ผมชอบอวยพรกับนักลงทุนว่า "ขอให้ขายหมูได้ตลอดไป" เพราะอย่างน้อย มันก็ไม่ขาดทุน ... จริงไหมครับ?

ขอบคุณคุณ Mr.H มากครับ ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน


โดย: Mr.Messenger วันที่: 18 มิถุนายน 2553 เวลา:9:43:10 น.  

 
ขายหมูแล้วได้กำไรก็ดีหรอกครับ แต่ที่กลัวก็คือหุ้นขาขึ้นแล้วรีบขายเพราะอยากลงจากดอยเร็วๆ (ติดหุ้นจากรอบก่อน) 555


โดย: Mr.H IP: 58.181.157.122 วันที่: 18 มิถุนายน 2553 เวลา:10:43:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Messenger
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 61 คน [?]




Head, Investment Consultants Citigold Citibank N.A. (Thailand)
free hit counter
click here
free hit counter
Friends' blogs
[Add Mr.Messenger's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.