เรื่องราวความทรงจำไม่มีที่สิ้นสุด

Madmankrub
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ผมรักแฟนผมที่สุดครับ
Code =
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Madmankrub's blog to your web]
Links
 

 
จากเมืองสามหมอก สู่ "ปางอุ๋ง"ดินแดนแห่งเทพนิยาย

.....ยังไม่ได้บอกกันใช่ไม๊ครับว่าที่แม่ฮ่องสอนวันนี้ เราสองคนจะมีกลุ่มเพื่อนจากกรุงเทพฯนั่งรถตู้มารับพวกเราไปเที่ยวด้วยกัน 7 หนุ่มจากกทม.เดินทางออกจากกรุงเทพกันเมื่อคืนวันที่ 2 ครับ และจะมาถึงแม่ฮ่องสอนก็ในช่วงราวๆไม่เกินเที่ยง เราสองคนก็นั่งรอกันครับ ช่วงเช้าวันนี้ แทนที่จะรอไปเรื่อยๆก็ตัดสินใจขี่มอไซค์เที่ยวกันอีกดีกว่า ก็เลยแวะไปดูหมอกสวยๆเหนือเมืองแม่ฮ่องสอนกันอีกครั้งในเช้าวันนี้ ที่เดิมแหละครับ วัดพระธาตุดอยกองมู ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ของทริปนี้แล้วที่เราสองคนขึ้นไปบนดอยกองมูกันครับ ชอบอากาศข้างบนจังเย็นสบายจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วแทนจะเป็นคนขับมอไซค์ซะมากกว่า เพราะเค้าชอบว่าผมอ่ะว่าขับไม่นิ่มเลย กมันก็จริงอย่างที่บ่นแหละครับ คนเมืองกรุงอย่างเรา ใครจะไปชินกับมอไซค์ล่ะ ปีนึงขี่ซักไม่กี่ครั้งหรอกครับ นับครั้งกันได้แน่นอน ก็เลยเป็นภาระให้สุดเลิฟขับส่วนเราก็ซ้อน จากยอดดอยกองมู ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งนานกว่าพวกนั้นจะมาถึง แวะลงมานั่งดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ที่ที่พักกันซักพัก แล้วก็ตัดสินใจไปต่อกันที่หมู่บ้านห้วยเสือเฒ่าครับ เราจะไปแวะชมวิถีชีวิตของกะเหรียงคอยาวครับ จริงๆแล้วพวกนี้มีชื่อว่าเผ่า kayan ครับ ในแม่ฮ่องสอนก็มีสองแห่งด้วยกันคือที่นี่กับที่น้ำเพียงดิน แต่ก็เหมือนกันแหละ เราเลือกที่จะไม่ต้องนั่งเรือต่อ ก็เลยขับมอไซค์กันมา ราวๆ 10 ก.ม.ได้ครับ ก็ถึงบ้านห้วยเสือเฒ่า ชอบจริงๆครับเส้นทางมาที่นี่เพราะถนนต้องผ่านลำห้วยหลายครั้งด้วยกัน ซัก5-6ครั้งน่ะครับที่ถนนตัดกับลำห้วย แถมบางช่วงถนนก็กลายเป็นห้วยไปซะเลย จนต้องตัดถนนเส้นใหม่กัน ไปถึงก็แวะทำบุญที่วัดพุทธกันก่อนครับ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน วันนี้มีนักท่องเที่ยวไม่หนาตาครับ อาจเป้นเพราะยังเดินทางกันอยู่ก้ได้ ในหมู่บ้านก็มีสาวๆกะเหรี่ยงนั่งขายของอยู่หน้าบ้านใครบ้านมัน ใส่ห่วงทองเหลือกันจนคอเชิด น่าสงสารจังครับ เวลากินอะไรคงจะลำบากน่าดู แถมไม่มีสิทธิอ้วนอีกด้วย ถ้าอ้วนขึ้นมาคงจะโดนห่วงรัดแน่นติ้วขึ้นไปทุกทีเนาะ บ้านเจ้าก็นั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงเรียกลูกค้าไปด้วย ก็แอบถ่ายรูปมาสองสามรูปครับ ที่จริงก็ไม่ต้องแอบหรอก เพราะทุกคนยินดีให้ถ่ายโดยไม่เสียสตางค์ครับ แต่ส่วนตัวแล้วผมมีความรู้สึกว่า พวกนักท่องเที่ยวที่มาถ่ายรูปกันเยอะๆ มันเหมือนกับเค้ามาเดินดูตัวประหลาด ทั้งๆที่ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน เพียงแต่มีวัฒนธรรมต่างไปเท่านั้น เราไม่มีสิทธิไปว่าๆเค้าประหลาดแตกต่างไปจากพวกเราหรอกครับ เดินเที่ยวในหมู่บ้านซักพัก เราสองคนก้ขับมอไซค์กลับเข้าเมือง มานั่งรอนอนรอเพื่อนๆที่มาจากกรุงเทพ โทรหาก็ไม่มีสัญญาณ คงจะอยู่ในระหว่างทางนั่นแหละครับ นั่งรอกันได้ไม่นานก็โทรเข้ามาบอกพวกเราว่า ตอนนี้เข้าเมืองแม่ฮ่องสอนมาแล้ว ผมเลยออกไปยืนต้อนรับหน้าปากซอย ไม่นานก็พบกันครับ เราสองคนเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถ กล่าวอำลาเจ้าของที่พัก แล้วเริ่มเดินทางต่อกับเพื่อนหนุ่มอีก 7 คน รวมเราอีก 2 ก็ครบ 9 คนพอดีครับ ตัวเลขมงคลในการท่องเที่ยวคราวนี้ของพวกเรา....

กองทัพ9เกย์ เดินทางขึ้นสู่ยอดดอยกองมูอีกครั้งหนึ่งเพื่อนมัสการพระธาตุ ทำบุญขอพรกันเป้นสิริมงคลแก่การเดินทางท่องเที่ยวในคราวนี้ร่วมกัน แล้วจึงแวะที่ตลาดเพื่อซื้อหาเสบียงจำพวกมิกเซอร์ ของขบเคี้ยว ก่อนที่จะเดินทางกันอีกครั้งขึ้นสู่ยอดดอยสูง ที่เป็นพื้นที่โครงการพระราชดำริฯ ปางอุ๋ง ใช้เวลาไม่นานจากตัวเมือง เราแวะกันที่ภูโคลนก่อน บนเส้นทางสู่ปางอุ๋ง ราวๆก.ม.ที่ 7 แวะเข้าไปดูซิสรรพคุณของโคลนไทยที่ว่าแน่ๆจนโด่งดังไปทั่วโลกจะเป็นอย่างไรบ้าง ผู้คนมากมายจริงๆครับที่ภูโคลน เราทั้ง9ก็ตัดสินจะทดลองกันหน่อย โดยเลือกคอร์สที่ใช้เวลาน้อยที่สุดก็คือพอกหน้าด้วยโคลน ที่กินเวลาเพียง20นาที ถ้าพอกทั้งตัวก็คงเป็นชั่วโมง แต่เราไม่มีเวลาเยอะขนาดนั้นครับ ขอแค่เบาะๆแล้วกัน แต่ละคนก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็นอนให้สาวๆพนักงานเอาโคลนมาป้ายๆที่หน้าของพวกเรา รู้สึกจะผสมพวกแอลกอฮอร์นะครับ เพราะรู้สึกเย็นๆดี ป้ายกันแป๊ปเดียวก็เต็มหน้าแล้วครับ เรียงสลอนกันทีละคน แล้วมายืนจับกลุ่มถ่ายรูปกัน เห็นรูปแล้วน่ากลัวดีเหมือนกันดูงามกันไปอีกแบบนึงนะครับ คราวนี้ก็ต้องรอให้โคลนแห้งครับก่อนที่จะไปล้างโคลนออก ก็ประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงหรอกครับ ทะยอยกันไปล้างหน้า เสร็จแล้วเค้าก็จะเอาน้ำแร่มาพ่นๆใหหน้าชุมชื่นขึ้น หลายคนก็บอกว่าหน้าเด้งขึ้นนะ รู้สึกดีขึ้น ที่รักเราก็บ่นว่าสิวเสี้ยนมันถูกดูดออกมา แต่ไม่หลุดอ่ะ ออกมาโผล่ๆแถวรูขุมขนแล้วก็ผลุบลงไปอีก พอครบทั้ง9คนแล้วเราก็นั่งรถต่อไป ตรงไปปางอุ๋งกันเลย จากภูโคลนไปที่ปางอุ๋งระยะทางประมาณ 30กว่าก.ม. คงใช้เวลาไม่นานมาก แต่ทางขึ้นนี่สิครับสูงชันน่าดูเหมือนกันจนลุงขับรถยังต้องบ่นออกมาว่ากลัวเครื่องพัง เอ้า แล้วจะเอาไงล่ะครับมาจนถึงนี่แล้ว จะให้กลับเรอะ ไม่มีทางหรอกครับ ก็นั่งกันไปราวๆ1ช.ม. เราทั้งหมดก้เข้าสู่เขตปางอุ๋งกันครับ ผ่านหมู่บ้านม้งที่ปากทางแล้วตรงไปสู่พื้นที่โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)กันเลยครับ ผ่านซุ้มประตูปุ๊ปเราก็จอดรถ เพราะที่นี่คือที่พักคืนแรกของเราครับ เราพักกันที่บ้านกาแฟ ของลุงปาละครับ เพราะว่าที่พักริมอ่างแบบปีที่แล้วเต็มหมด แถมพื้นที่กางเต๊นท์ก็เต็มเอี๊ยดถูกจับจองกันไปหมดแล้ว เราทะยอยขนของกันลงจากรถเข้าสู่บ้านพักจำนวน2หลังครับ เป็นบ้านไม้ไผ่ยกพื้นปลูกแบบง่ายๆมีเครื่องนอนให้เพียงพอ ลุงปาละบอกว่าเพิ่งสร้างเสร็จวันนี้เอง พวกเราเป็นกลุ่มแรกที่ได้นอนบ้านสองหลังนี้ครับ นี่คือการเปิดซิงครั้งแรกของเราในทริปนี้ครับ ข้างๆบ้านก็มีลานนั่งใต้ต้นสนยื่นออกไปเป็นระเบียงมองเห็นไร่นาและขุนเขาเป็นฉากหลังสวยดี เราให้ชื่อลานนี้ว่า "ลานสาวแตก" ครับ เก็บข้าวของเสร็จแล้วเราก็ไม่รีรอกันที่จะออกไปเดินเล่นแอบดูชายหนุ่มริมอ่างเก็บน้ำกันครับ จริงๆแล้วน่ะไปดูวิวยามเย็นมากกว่า เพราะอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว แสงแดดก็อ่อนตัวลงเรื่อยๆ น่าเดินเล่นกันจริงๆครับ พวกเราเดินผ่านหมู่บ้านกันไปสู่อ่างเก็บน้ำ ระหว่างทางก็มีเด็กๆน่ารักๆออกมายืนสวัสดีต้อนรับ เพื่อนคนนึงเลยทำตัวเป็นสาวงามรักเด็กเข้าไปกอดขอถ่ายรูปด้วย น่าหมั่นไส้ เชอะ!

พอพ้นหมู่บ้านมาเราก็พบกับเวิ้งน้ำกว้างใหญ่อยู่เบื้องหน้าครับ ร่มไม้เขีนวขจีสะท้อนเงาบนผิวน้ำราวแผ่นกระจกกว้างใหญ่ ที่ใสจนนเห็นครบทุกรายละเอียด นี่แหละครับเสน่ห์ของปางอุ๋ง เสน่ห์ของธรรมชาติที่เรียกร้องให้นักท่องเที่ยวจากทุกทิศเดินทางข้ามยอดเขาและโค้งนับพันๆโค้งมาพบกับความประทับใจและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ปางอุ๋งปีนี้ยังคงเสน่ห์ไว้ครบถ้วนเช่นเดียวกับปีที่แล้วที่พบมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกครับ เราเดินลัดเลาะอ่างเก็บน้ำ แวะถ่ายรูปขมความงามไปเรื่อยๆ จนเข้าไปถึงเขตป่าสนที่เป็นพื้นที่กางเต๊นท์ วันนี้หลายคนมาปางอุ๋ง มากางเต๊นท์นอนใกล้ชิดธรรมชาติและความหนาวเย็นกันมากมายทีเดียวครับ มากกว่าปีที่แล้วหลายเท่าตัวทีเดียว เราเดินไปถ่ายรูปที่บริเวณแปลงดอกไม้ที่กรมป่าไม้ปลูกไว้อย่างงดงาม สีสันมากมาย หายใจกันอย่างชุ่มปอดเพื่อนำอากาศบริสุทธิ์ของที่นี่ไปขับไล่อากาศเสียจากเมืองกรุงที่ยังคงค้างอยู่ในปอดของพวกเรา พระอาทิตย์ลับสันเขาต่ำลงเรื่อยๆ แสงสุดท้ายเริ่มมาเยือนและความมืดที่เริ่มครอบคลุมพื้นที่แห่งนี้ แต่นักท่องเที่ยวก้ยังคงมาจับจองพื้นที่กันมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราคิดกันอยู่ในใจว่าดีแล้วที่ตัดสินใจค้างที่บ้านกาแฟ เพราะถ้าอยู่แถวนี้คงมีแต่เสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กจอแจน่ารำคาญเหมือนกัน เราทุกคนเดินกลับผ่านหมู่บ้านตามเส้นทางเดิม เข้าสู่บ้านพักของพวกเรา ป้าทองศรีบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว เราทุกคนเลยย้ายมานั่งล้อมวงกันที่โต๊ะอาหารพร้อมๆกับที่น้องๆในบ้านเริ่มทะยอยยกอาหารออกมาเสิร์ฟ นับได้5อย่าง จำนวน2ชุด มักมากเกินไปสำหรับนักท่องเที่ยวตัวเล็กๆ 9 คนอย่างพกวเรา นี่แหละครับที่เค้าเรียกว่า น้ำใจชาวบ้าน ที่มักจะต้อนรับขับสู้ผู้เดินทางอย่างน่าประทับใจทุกครั้ง อาหารอร่อยทีเดียวครับ เป็นน้ำพริกอ่อง ที่เยอะมากๆ ต้มจืดฟักแม้ว รสชาติดีทีเดียว ผัดยอดฟักแม้วที่เคี้ยวได้สบายๆยอดไม่แข็งเกินไป ไข่เจียวหมูสับ แล้วก็อีกอย่างนึงเป็นอาหารยูนนานที่กินกับน้ำพริกอ่องแล้ว สุดยอดครับ อร่อยทีเดียว อาหารเย็นมื้อนี้มีชาอูหลงไว้ให้พวกเราได้กลั้วปากตบท้ายอาหารด้วยครับ หอมกรุ่นทีเดียว วันนี้เรานั่งทานข้าวเย็นกันใต้แสงเทียนครับ โรแมนติกเสียจริง... อิ่มกันแล้ว คราวนี้ก็กลับไปนั่งเล่นที่บ้านพักของพวกเรา ทีแรกกะว่าจะนั่งเล่นกันที่ลานสาวแตก แต่ไม่ไหวครับอากาศเย็นเกินไปที่เราจะนั่งรับลมอยู่ริมระเบียงแบบนั้น ก็เลยย้ายกันมาที่ชานบ้านครับ จัดแจงหยิบไพ่มาแจกโดยเวียนกันเป็นเจ้ามือ พร้อมๆไปกับนั่งจิบสุราไปด้วย ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและแวดล้อมไปด้วยเพื่อนรู้ใจกันมากมายขนาดนี้ มันเป็นบรรยากาศการท่องเที่ยวที่สร้างความอบอุ่นขึ้นมาแทนที่ความเย็นของอากาศรอบๆตัวได้อย่างดีทีเดียวครับ วงไพ่เริ่มขึ้นแล้ว พร้อมๆกันเสียงกรี๊ดๆที่โชยมาเป็นระยะๆ ทุกครั้งที่มีอาการป๊อกเกิดขึ้น บางทีเจ้าตัวเสียไพ่ก็ยังมีกรี๊ดๆๆ จนสรุปแล้วไม่รู้ว่าจะกรี๊ดกันเมื่อไหร่ เอาเป็นว่ากรี๊ดกันทั้งวง จนเลิกเล่นนั่นแหละครับ เพื่อนๆนักท่องเที่ยวข้างบ้านก็ใจดี ไม่มีใครโวยวายอะไรเลย คงจะรู้มั๊งครับว่าเกิดโวยขึ้นมานี่ คงไม่รอดพ้นฝีปากอันแสนกล้าของพวกเราทั้ง 9 คนไปได้ วันนี้เราเป็นชนกลุ่มใหญ่ของที่บ้านพักนี้ครับ รับรองไม่มีใครกล้าแหยม ดึกขึ้นๆทุกขณะ เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้แต่ละคนก็มีเจ้าหญิงลงประทับทรงกันถ้วนหน้าแล้ว ไม่เว้นแม้แต่สุดเลิฟของผมเอง ก็ยังกรี๊ดได้ชนะเลิสไม่แพ้เพื่อนๆคนไหนเลย ก็ดีครับนานๆจะได้ยินเสียงแบบนี้ซักที ก็นั่งเล่นกันจนหลังขดหลังแข็งแหละครับ จนปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนก็ลงมติเลิกเล่น แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้กรี๊ดต่อในวันพรุ่งนี้ คืนนี้เรานอนกันอย่างเย็นยะเยือก ภายใต้โอบล้อมของดวงดาวนับล้านดวงที่มีความรู้สึกว่าแค่เอื้อมมือก็ถึงดาวจริงๆครับ ความกว้างใหญ่ของท้องฟ้าสีหม่นในคืนนี้เป็นเวทีของดาวล้านดวงให้เจิดจ้าอวดความงามของตัวเอง สมกับคำว่าทะเลดาวจริงๆครับ เช้าพรุ่งนี้เราจะตื่นขึ้นมา และพร้อมที่จะเดินทางต่อไปสู่อำเภอปายครับ อำเภอเล็กๆที่มีมนต์เสน่ห์เสียเหลือเกิน คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ...


Create Date : 08 ธันวาคม 2548
Last Update : 8 ธันวาคม 2548 16:15:37 น. 0 comments
Counter : 239 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.