ถ้ามีเพื่อนเป็นนักเรียนทุน หรือรู้จักกันโดนบังเอิญ (แต่ต้องแก่ๆหน่อยนะ เพราะปีหลังๆนี่เปลี่ยนคนแล้ว)
ก็ให้เนียนถามไปเลยว่า "จำปู่โร้ก ได้ป่าว"
ชื่อเต็มๆเค้าคือ John Roke
คนอเมริกัน เค้าจะเรียกนามสกุลกันนะครับ ถือเป็นการให้เกียรติ
ต้องสนิทกันจริงๆถึงจะเรียกชื่อจริง
(ตรงข้ามกับวัฒนธรรมบ้านเราเลยเนอะ ถ้าเรียกแค่นามสกุลก็ถือว่า
ด่าโคตรเหง้าสักหลาดกัน...เอ๊ะ สะกดยังไงหว่า ใครรู้ช่วยบอกหน่อยนะครับ)
เค้ามีอายุมากแล้วครับ ประมาณเจ็ดสิบกว่าๆได้ แล้วหูเค้าจะตึง เราก็เลยเรียกลับหลังว่า "ปู่"
เค้ามีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย ของนักเรียนทุนทั้งหมดในช่วงซัมเมอร์นี้ และช่วงต่อๆไปด้วย จนเข้ามหาวิทยาลัย
คล้ายๆกลับครูใหญ่ของเราอะครับ
ไปถามพวกนักเรียนทุน แต่ละคนก็ตอบกันต่างๆกันไป แล้วแต่ว่าเคยไปเจอด้านไหนของปู่แก
ปู่เค้าชอบผมระดับนึงครับ คือไม่เคยทะเลาะหรือมีปัญหากัน
บอกแล้วว่าผมเป็นคนง่าย ไม่ค่อยมีเรื่องกับใคร (ถ้าไม่จำเป็น)
อีกละ เม้าท์ยาวอีกละ นอกเรื่องทุกที
คนต่อไปที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ผู้ช่วยเค้าครับ คนนี้เป็นขวัญใจของเด็กๆมาก
เพราะคุณพี่ (หรือคุณน้าก็ไม่รู้) เค้าใจดีกับเด็กๆมาก
เราจะเรียกกันว่า "คริส" ชื่อเต็มๆคือ Chris Brown ครับ
เค้าจะสอนการเขียนเรียงความ ที่จะใช้สมัครเข้ามหาวิทยาลัย
พร้อมกับดูแลเรื่องการเขียนเรียงความตลอดรอดฝั่ง จนยื่นใบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเป็นการเรียบร้อย
องค์ประกอบต่อไปคือ คณะคุณครูครับ
ก็จะมีครูมาสอนแต่ละคลาส เดี๋ยวค่อยเล่าตอนเข้าเรียนละกัน
องค์ประกอบต่อไปคือ ทีเอฝรั่ง
TA ย่อมาจาก Teaching Assistant
คือ เค้าจะมาช่วยคณะครูบาอาจารย์ทั้งหลายในการสอนเด็ก
ช่วยยังไง เดี๋ยวค่อยมาว่ากันอีกนะคร้าบ (ติดคนอ่านไว้เยอะจัง แฮะ)
แต่บางคนก็ไม่ช่วยเท่าไหร่ แต่ก็ยังได้ตังส์เยอะมาก
(บอกให้ก็ได้ว่า เงินเดือนหลักแสนแหนะ คิดเป็นเงินไทย แล้ว
แถมอาหารฟรี ที่อยู่ฟรี
ให้กันเยอะแบบนี้ ต้องหาคนดีๆหน่อยแล้วล่ะ
ส่วนใหญ่เค้าจะเลือกคนจากมหาลัยดังๆ (แต่ก็ไม่ได้จะแปลว่าดีเสมอไปนะ)
เช่น มหาลัยที่เป็นไอวี่หลีก (Ivy League)
ใครไม่เคยได้ยินก็ไม่ต้องอายนะครับ
ผมรู้จักคำนี้ตอนก่อนมานี่แค่เดือนเดียวเอง
ข้อความต่อไปนี้แปลมาให้ตรงๆตัวเลยนะ
Ivy League เป็นกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาที่เก่าแก่และทรงเกียรติ
8 แห่งในนิวอิงแลนด์ ที่มีประเพณีแข่งกีฬาร่วมกันทุกปี
ประกอบไปด้วย Brown, Columbia, Cornell, Dartmouth, Harvard, Princeton, Upen, และ Yale
แล้วตัวประกอบต่อไป เอ้ย องค์ประกอบต่อไปคือ ทีเอไทย
คือ ทีเอที่เป็นคนไทยนั่นเอง
ก็พวกเรานั่นแหละครับ เด็กทุนที่เข้ามหาวิทยาลัยมาแล้ว
แล้วก็มาสมัครช่วยๆงานเค้า เล่นกับเด็กๆรุ่นน้อง
จะว่าเป็นตัวประกอบก็ได้นะครับ เพราะมีเพื่อนมาสารภาพว่า ไม่ต้องคิดมาก ทำอะไรมากเลย
ชิวไปวันๆ ช่วยเค้าเตรียมความพร้อม เช็คชื่อเด็ก ไปเล่นกีฬากับเด็กๆ
กินฟรี อยู่ฟรี ได้สัปดาห์ละหกสิบดอล
อันนี้ก็มีคนมาขอร้องให้ไปเป็นทีเอทุกปีน่ะครับ
แหม...คนมันหน้าตาดี และมากไปด้วยความสามารถ
แต่ด้วยเงินอันน้อยนิด ข้าพเจ้าเลย say no ไปทุกครั้ง
เพราะคิดว่า ค่าตัวเราแค่นี้เองหรือ
ปกติทำงานคืนนึง เหนือ่ยแป๊ปเดียวเอง ได้เป็นร้อย
(เอ๊ะ ทำอะไร ค่อยมาเล่าเมื่อถึงโอกาสอันควรนะครับ)
ไมได้ใจหินใจมารขนาดน้าน
จริงๆก็อยากไปช่วยเค้าอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยว่างไป Brewster ซักที
โหพูดกันยาวเชียว แค่นี้ล่ะครับ สมาชิกของที่นี่
เข้าห้องเรียนเลยดีกว่าเนอะ เดี๋ยวจะสาย
ที่โรงเรียนนี่ เรื่องสาย ถือเป็นเรื่องที่เค้าเคร่งครัดมากเลยนะครับ
สายแค่ห้านาทีเค้าจะจดชื่อไว้ ถ้ารวมกันหลายๆครั้ง เค้าจะทำโทษครับ
เช่น โรงเรียนที่ผมไป ถ้าเกินสามครั้งเค้าจะให้ ขัดส้วม เก็บขยะ อะไรประมาณนั้น
หลังจากถูกแบ่งแยกตามความสามารถทางภาษาอังกฤษแล้ว
(อันนี้ไม่ได้มีน้ำเสียงตัดพ้อนะครับ รู้สึกขอบคุณเค้าด้วยซ้ำ เล่าทีหลังเด้อ...อีกละ)
ห้องนึงก็จะมีสมาชิกนักเรียนประมาณสิบกว่าคนครับ
ซึ่งขนาดของห้องเรียนใน prep school ก็เป็นแบบนี้
คือเด็กจะไม่เกินยี่สิบคน จะได้ดูแลอย่างถั่วถึงนะครับ
คลาสแรกก็คือ Listening & Speaking
คือเค้าจะให้เราหาข่าวไปพรีเซ้นต์ แล้วก็ให้เพื่อนๆในห้อง ช่วยกันวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นกันครับ
ระบบการพรีเซ้นต์และแย่งกันแสดงความคิดเห็น ถือเป็นหัวใจหลักของห้องเรียนประเทศนี้เลยครับ
คือเด็กๆจะเรียนรู้โดยการฟังความคิดความอ่าน ข้อมูล จากคนอื่น
แล้วเด็กเค้าก็จะอยากแรงกัน โดยการไปหาข้อมูล มาสนับสนุนความคิดเห็นของตัวเองกันเป็นการบ้าน
ต่างจากบ้านเราเลยเนอะ ที่ครูก็พูดๆๆอยู่อย่างเดียว เด็กก็หลับๆๆๆอยู่อย่างเดียว
แต่หลายๆครั้ง ที่เมืองไทย ครูกับเด็กก็แอบแลกหน้าที่กัน
คือครูจะแอบหลับ แล้วเด็กเห็นเช่นนั้น เลยฝอยๆๆ ท่าเดียว
เฮ่อ ระบบการศึกษาไทย
ต่อไปเป็นคลาส Writing ครับ คือเค้าจะให้เราฝึกการเขียนเรียงความ
ซึ่งฝรั่งเค้าจะเรียกว่า Essay
ที่บ้านเมืองนี้ การเขียน ถือเป็นสิ่งสำคัญมากของการศึกษาครับ
คือไม่ว่าจะเรียนสาขาไหน จะต้องเขียนเป็น
เค้าจะวัดความสามารถทางด้านนี้เยอะมาก บางวิชาถือการเขียน Essay เป็นข้อสอบไฟนอลไปเลย
ที่ Brewster เค้าจะสอนให้มากมายหลายแบบครับ แบบแรกที่ดูเป็นระบบที่ง่ายที่สุดคือ Academic Essay
ที่มี Intro + 3 Supporting Paragraphs + Conclusion อย่างที่หลายๆคนเคยได้ยินกัน
คลาสสุดท้ายก่อนกินข้าวคือ Computer
เค้าก็จะสอนหลักการพื้นฐานทั่วๆไปครับ เช่น การซื้ออของออนไลน์ การพิมพ์จดหมาย
การใช้ Power Point การทำวีดีโอ
อันนี้เค้าจะให้ใช้ laptop ที่เค้าจัดให้ครับ ซึ่งเป็นของ Mac
ครูคนนี้เค้าชื่อ Abby ครับ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรานี่เอง
แต่หน้าตาเธอนี่ คิดว่า ... เพื่อนแม่
ฝรั่งก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ
อันนี้ไม่ได้นินทานะครับ ความแก่ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหายเนอะ เรื่องธรรมชาติ
เพราะฉะนั้นไม่ได้ทำใครเสียหายเด้อ
จริงๆแอบสนิทกับ Abby มาก
แต่มีคนนึงมาทำร้าย Abby ของเรา
คือ ก่อนจะเล่า ต้องท้าวความก่อนว่า แอ๊บบี้จะเป็นคนหน้าโหด เสียงโหด
เสียงเจ๊แกจะแหลมทิ่มเยื่อแก้วหูเลย
และอยู่มาวันนึง เจ๊แกมาพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ กับเพื่อนคนนึง
ให้ชื่อว่า กบ ละกัน
แล้วคุณกบก็ทนไม่ไหว พอ Abby เดินหันหลังไป
เธอด่าขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง (คือ เธอคงคิดว่าเธอได้ยินคนเดียว) ว่า...
"อี-Abbyyyyyyyy"
ทันใดนั้น คุณครู Abby ก็หันมา
แล้วทั้งคุณกบ ทั้งผม ซึ่งยืนอยู่กับเธอในตอนนั้น
ยืนตะลึง มือสั่น ขาสั่น ปากสั่น ทำอะไรไม่ถูก
แล้ว Abby ก็เดินขึ้นมาอย่างช้าๆ
ใจพวกเราก็เต้น ตึก ตึก ตึก...
แต่ด้วยความที่ Abby ฉลาดพอ
เธอจึงไม่ถามน้องกบ หันมาถามผมแทนว่า...
"E-Abby" อีน่ะ หมายถึงอะไร
ผมก็ไม่รู้จะทำไง ยิ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้อยู่
ถ้าเกิดยืนกรานกระต่ายขาเดียว โกหกว่า คำว่า อี คือ ...
คำสุภาพที่ใช่เรียกนำหน้าชื่อคนไทยเพื่อเป็นการให้เกียรติ ...บลาๆๆๆๆๆ
เค้าคงเดินไปถามคนอื่นซะก่อนพอดี กว่าเราจะพูด จะยกมือยกไม้ อธิบาย
เดี๋ยวก็ซวยอีก ถ้าเค้ารู้ว่าโกหก
ตอนนั้นไม่รุ้คิดอะไร ก็บอกเค้าว่า ...
อ๋อ ก็ E มาจาก Electronic ไง
เค้าเห็นเก่งคอม เลยเรียก Electronic Abby ว่า
อีแอ๊บบี้ ไง คล้ายกับ Email, Ecard นั่นแหละ
เจ๊แกก็บอกว่า "Oh, I see."
แล้วก็เดินยิ้มไปที่มีคนชมว่าเก่งคอม
เหนื่อยยัง หมดครึ่งเช้าแล้ว เดี๋ยวไปกินข้าวเที่ยงเอาแรงกันเน้อ ก่อนจะไปเรียนคลาส Queen Mary กับปู่โร้ค