★ ★ ★ ก า ร คิ ด เ ชิ ง บ ว ก เชื่อได้จริงๆหรือ... ชีวิตนักเรียนทุนรัฐบาลไทยในอเมริกา ตอนที่ 6 ★ ★
วันนี้ใจดี แถมให้สองตอน ตอนนี้เป็นตอนที่สอง ใครยังไม่อ่านตอนแรกของวันนี้ กลับไปอ่านตอนที่ 5 ก่อนนะครับ แล้วค่อยกลับมาอ่านตอนนี้ วันนี้เรื่องของมิกจบแล้วล่ะ
ตอนที่ 6 (ต่อจากตอนที่ 5)
เคยอ่านหนังสือเรื่อง Creative Visualization มา (รู้สึกจะมีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว แต่ไม่รู้ว่า ชื่อเรื่อง อะไร)
เป็นวิธีการที่เราใช้จิตนึกถึงสิ่งที่เราต้องการ อยากให้มันเกิด อย่างสร้างสรรค์
แล้วมันก็จะเกิดกับตัวเราจริงๆครับ
ใครสนใจเวอร์ชั่นเต็มกดอ่านได้ฟรีเลยนนะครับ >>> click here
คนแต่งเค้าใจดีมาก ให้อ่านออนไลน์ฟรีทั้งเล่มเลย
เอาย่อๆ ก็คือ
จริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนแต่เป็นรูปแบบของพลังงาน
ของทุกอย่าง จริงๆแล้วองค์ประกอบเล็กๆของมันก็คือพลังงาน
เคยได้ยินกฎของไอสไตน์ E= mc^2 มั้ยครับ
พลังงาน(E) กับมวล (m) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความเป็นสสารหรือวัตถุ
สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้
ง่ายๆก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนแต่เป็นรูปแบบหนึ่งของพลังงาน
แต่ละสิ่ง มีลักษณะความเร็วของการสั่นต่างกันของอนุภาคย่อย ความหนักความหนาขององค์ประกอบต่างกัน
เช่น วัตถุจะมีความเร็วของการสั่นต่ำมาก องค์ประกอบเรียงตัวหนา
เลยทำให้หนัก เปลี่ยนแปลงยาก เคลื่อนย้ายยาก เช่นก้อนหินใหญ่
พลังงานจะมีความสั่นมาก เรียงตัวกันบางเบา เพราะฉะนั้นจะเคลื่อนไหวง่าย เปลี่ยนแปลงง่าย
จิตใจคนเราก็จัดอยู่ในจำพวกนี้
(ถึงว่า วอกแวกง่าย แล้วก็เปลี่ยนใจง่าย หลายใจด้วย )
แต่ทุกอย่างก็เกี่ยวดองกัน ก้อนหินใหญ่มีอนุภาคที่รวมตัวกันหนา ทำให้เคลื่อนไหวยาก เปลี่ยนแปลงยาก แต่ก็ยังโดนพลังงานที่บางและเบาจากน้ำเซาะ ทำให้เปลี่ยนสภาพได้ กฎอีกข้อของพลังงาน เรียกว่า "Energy is Magnetic" มันจะสามารถดึงดูดพลังงานที่มีการสั่นแบบเดียวกัน ลักษณะเดียวกันได้ดี ความคิดและความรู้สึก ก็เป็นไปตามกฎแบบนี้เหมือนกัน ที่จะ ดึงดูดพลังงานที่มีลักษณะเหมือนกัน เคยเจอมั้ยครับ ที่พอคิดจะโทรหาใครแล้วเค้าโทรมาพอดี หรือพอนึกถึงใครก็บังเอิญเจอเค้าพอดี ฉะนั้น หนังสือเล่มนี้จะสอนการผ่อนคลาย ทำให้ใจนึ่ง และนึกถึงเรื่องดีๆ ให้ละเอียด ชัดเจนที่สุด แล้วสิ่งนั้นก็จะไหลมาสู่ตัวเราเอง พร้อมๆกับที่เราไหลไปหามัน โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย ฝืน หรืออึดอัดเลย แต่กลับกันถ้าเราคิดแต่เรื่องร้ายๆ กลัวไปทุกอย่าง สิ่งเหล่านั้นก็จะมาจริงๆ
เช่นคนที่ป่วย แล้วคิดว่าตัวเองตายแน่
ระบบต่างๆในร่างกายที่อยู่นอกเหนือจิตสำนึกของเรา
(ตัวอย่างง่ายๆคือ การเต้นของหัวใจ... เราควบคุมจังหวะไม่ได้ สั่งให้มันหยุดเต้นไม่ได้)
มันจะแอบทำตามจิตใต้สำนึก ที่เราหวาดระแวง
เพราะบางระบบของร่างกาย มันอยู่นอกเหนือจิตสำนึก และก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่เรากลัว
มันก็จะค่อยๆทำให้เราเป็นไปตามนั้น มันคงคิดว่าเราต้องการ
อย่างที่เค้าเรียกว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าว
ยังเคยมีหลายคนหายจากการเป็นมะเร็งจากการคิดแต่ในสิ่งดีๆ คิดว่าหาย สำเร็จมาแล้วนักต่อนักเลย
ผมก็คนนึงครับ เคยเป็นเนื้องอก
ตอนนั้นตกใจมาก เพราะต่างบ้านต่างเมือง เป็นอะไรไปใครจะมาดูแล
แต่ก็ใช้วิธีคิดในทางบวกนี้ แล้วก็หายมาแล้ว หมอก็ตกใจอยู่เหมือนกันว่าหายได้ไง
(ค่อยมาเล่า เมื่อเดินเรื่องไปถึงแล้วกันเนอะ)
หนังสือเล่มนี้ยังบอกด้วยว่า เวลาเรานึกอะไรให้นึกถึงแต่ภาพดีๆไว้ และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เช่น อยากได้ตำแหน่งที่ดีกว่ารายได้ดีกว่า ก็ให้นึกว่าเราได้ตำแหน่งนั้นจริงๆ ในภาพที่ชัดเจน แล้วก็ให้นึกไปว่า รอบๆคือ คนที่เคยมีตำแหน่งนั้นมาก่อน แต่เค้าได้ตำแหน่งที่ดีขึ้น ไม่ใช่ว่านึกว่าเค้าโดนไล่ออก เพราะว่าธรรมชาติจะเคลื่อนที่ไปยังด้านที่เสถียรที่สุด (คนอื่นเค้าก็อยากได้อะไรดีๆ เหมือนกันนะ) มันจะเป็นไปตามกลไกไหน ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นฝ่ายจัดการเองครับ ธรรมชาติเค้าเก่งอยู่แล้ว อันนี้ไม่ได้เป็นความเชื่องมงาย อะไรใดๆนะครับ เค้าเรียกว่า Second Law of Thermodynamics พูดภาษาชาวบ้านๆคือ ทุกสิ่งจะเคลื่อนไปยังสภาพที่เสถียรที่สุด อันนี้ง่ายๆครับ เช่นว่าเราลองทำอะไร หรือคุยกับใคร เราไม่ชอบ รู้สึกฝืน อึดอัด รู้สึกต้องใช้พลังงานให้การประคับประคอง ซักวันเราก็เหนื่อย หน่ายและก็เดินจากมันไปเอง The universe is endlessly bountiful.
หลายๆคนไม่ชอบหยิบยื่นสิ่งดีๆให้ใครเลย กลัวคนอื่นแย่งของหมด
เค้าบอกไม่ต้องกลัวหรอกครับ
สิ่งดีๆในโลกนี้มีเยอะแยะ ที่มนุษย์ยังไม่พบ
เพราะมัวแต่แย่งสิ่งที่หาได้มาน้อยนิดกันอยู่แบบนี้
เคยเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก่อนครับ ไม่ใช่ไม่เคย
แต่ก็เรียนรู้แล้วว่าไม่มีอะไรดีกับใครเลย
ทำให้ใจเป็นทุกข์ปล่าวๆ สร้างบาปติดตัวด้วย
(ถึงได้เจอมารมาผจญอยู่บ่อยๆ)
มีอะไรหยิบยื่นให้คนอื่นได้ ไม่เสียหายก็ช่วยๆละกันครับ
โลกนี้จะได้มีอะไรร้ายๆน้อยลง
ตั้งแต่ยึดคตินี้มา รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีเรื่องเพื่อนมากครับ ตอนไปอยู่ไหนก็มีคนจริงใจ ที่อยู่ดีๆยื่นมือมาช่วยเหลือเรา จนได้เป็นเพื่อนแท้กัน มีคนมาอาสาช่วยสอนโน่นสอนนี่ให้ (ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้หาได้ยากมาก ในหมู่ฝรั่งรุ่นราวคราวเดียวกัน) แล้วก็มีคนชวนไปเล่น ไปเที่ยว ไปดูโน่นดูนี่มากมาย ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องมหัศจอ รอหัน การัน ยอ แต่ว่าคิดๆดู ถ้าเกิดเป็นเรา เราก็อยากจะช่วยคนอื่นแบบนี้ เมื่อก่อนเคยมีคนบอกว่า หน้าตาอมทุกข์ หมองเศร้า ทั้งๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่หน้ามันพาไป
อาจจะเคยมองโลกในแง่ร้ายมาก่อน คิดว่าหาคนจริงใจยาก
ใครอยู่ไกล้ก็ต้องรู้สึกอึดอัดเป็นธรรมดา กับคนที่คิดอะไรในแง่ร้าย กลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด
แต่พอเปลี่ยนแนวคิด โลกก็เหมือนเปลี่ยนไป
มีหลายๆคนเคยเข้ามาคุยกับเราตรงๆว่า รู้สึกอบอุ่นเวลาที่ได้พูดได้คุยกับเรา
เพราะเรามองโลกในแง่ดี รู้สึกได้ว่าเราจริงใจ
เดี๋ยวนี้คิดดี พูดดี ทำดีกับคนรอบข้างๆจริงๆครับ
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ทุกทีที่ทำก็รู้ว่าตัวเองมีความสุข รู้สึกได้
บางทีก็มีหลงทางไปบ้าง แอบคิดร้ายบ้าง แต่ก็ดึงตัวเองกลับมาได้ทุกครั้ง
แล้วก็อย่าลืมยิ้มนะครับ มันเป็นประตูที่ทำให้คนอื่นรู้ว่าเรารู้สึกยังไง ไม่ต้องกลัวว่าเค้าจะหาว่าบ้า ไม่ต้องกลัวว่าฝรั่งจะหาว่าไทยจ๋า เคยถามฝรั่งแล้วครับ เค้าบอกว่า รู้สึกดีที่เรายิ้ม ไม่ได้คิดว่าบ้า แต่คิดว่าเป็นเอกลักษณ์เรา คือเค้าบอกว่า เหมือนเรายิ้มแทนเค้า เพราะพวกเค้ายิ้มยาก เห็นเรายิ้มก็สดใสขึ้นมา นึกไปนึกมา ตอนนั้นยังเด็กมากจริงๆนะครับ ไม่ประสีประสาเรื่องการเข้าสังคม การเจอเพื่อนใหม่ๆเลย เลยทำตัวไม่ถูกอยุ่หนึ่งเดือนเต็มๆที่ Brewster แต่เดี๋ยวนี้ต้องฝึกกันจนเชี่ยวแล้วครับ เพราะฝรั่งจะมีงาน มีปาร์ตี้บ่อยที่ไม่ต้องรู้จักกันมาก่อน แต่อยู่ดีๆก็เบลอไปคุยกัน แล้วคนอเมริกัน เวลาเจอกัน เค้าจะเน้นแนว friendly กันด้วย ถ้าทำหน้าบึ้งใส่ เค้าจะหาว่าเราไม่อยากคบค้าสมาคม เมื่อก่อนกลัวมาก แต่เดี๋ยวนี้สนุกละ
เพิ่งเริ่มคุยกันบางคนสิบนาที ก็รู้สึกเหมือนกับเป็นเพื่อนกันมาแล้วสิบปีเลยก็มี โดยไม่รู้สึกอึดอัด
มีเทคนิคอีกมากมายเลยครับ (วันนี้ยาวแล้ว มาคุยต่อวันหลังละกัน)
ในการคุยกับคนไม่ให้รู้สึกอึดอัด หรือฝืนธรรมชาติ
หนึ่งในนั้นก็หนีไม่พ้นการแอบส่งยิ้มที่จริงใจ
ถ้าสนใจก็ลองๆเอาไปทำดูบ้างนะครับ
แล้วอย่าลืมยิ้มให้คนรอบข้าง คิดดีๆกับเค้า แล้วส่งต่อความรักให้เค้าด้วยนะครับ
Create Date : 16 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 16 สิงหาคม 2551 23:32:09 น. |
|
17 comments
|
Counter : 587 Pageviews. |
|
|
ทำไมย้อนดูตัวเองแล้วดูไร้สาระชอบกล 555
ตั้งใจเรียนนะคะ แล้วจะแวะมาอ่านบ่อยๆ