Group Blog
 
All blogs
 

ฮอลลีวูดยกนิ้ว Mr. Go ซีจีสมจริงกว่าหนังทุกเรื่อง

MR.GO


Mr.Go พลิกหน้าประวัติศาสตร์ยุคใหม่ให้วงการสเปเชียลเอฟเฟกต์เกาหลี ฮอลลีวูด ยกนิ้ว!  ซีจีสมจริง กว่าที่หนังทุกเรื่องเคยสร้างมา (มงคลภาพยนตร์)

          Mr.Go มิสเตอร์คิงคอง ภาพยนตร์ที่ได้รับการคาดหมายว่านี่คือหนังที่จะมาพลิกหน้าประวัติศาสตร์ยุคใหม่ให้กับวงการสเปเชียลเอฟเฟกต์ของโลก หลังจากที่ทางผู้สร้างได้ฉายโชว์ฉากสเปเชียลเอฟเฟกต์ความยาวกว่า 10 นาที ให้กับบริษัทผู้ซื้อสิทธิ์จากทั่วโลกได้ชมกันไปแล้ว โดย เควิน สก็อต (ผู้ออกแบบงานสร้างจากภาพยนตร์ Transformer) หนึ่งในทีมงาน มิสเตอร์คิงคอง และ ผู้กำกับ คิมยงฮวา (200 Ponds Beauty ฮันนะซัง สวยสั่งได้) ได้ออกมาเปิดเผยว่า "ถ้ามีคนถามว่าซีจีของภาพยนตร์ Mr.Go สมจริงขนาดไหน คุณลองคิดถึงเสือที่ดูสมจริงภาพยนตร์เรื่อง Life of Pi เสือตัวนั้นใช้การถ่ายทำกว่า 150 ชอต แต่คิงคอง ในภาพยนตร์เรื่อง Mr.Go นั้นใช้การถ่ายทำมากถึงกว่า 1,000 ชอต !!"

          ในส่วนของงานสร้าง มิสเตอร์โก คือ คิงคองยักษ์น้ำหนักถึง 300 กิโลกรัม ที่เข้าใจภาษามนุษย์ได้มากกว่า 2,000 คำ และมีพรสวรรค์ในการตีเบสบอล ซึ่งนอกจากหนังจะเน้นฉากแอ็คชั่น ฮาสนั่น แล้วหนังยังเน้นมิตรภาพและกำลังใจ ที่ มิสเตอร์โก มีให้แด่ เหว่ย เหว่ย (ซูเจียว) เทรนเนอร์ส่วนตัว ที่เป็นทั้งผู้จัดการส่วนตัว เป็นครอบครัว และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกัน โดยเจ้าโก ก็ สามารถทำทุกอย่าง แม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตเพื่อเธอคนนี้ ได้

MR.GO

MR.GO

          Mr.Go เล่าเรื่องราวของเหว่ยเหวย (เจียวซู) สาวน้อยชาวจีนอายุ 15 ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ โก คิงคอง ของคุณปู่เจ้าของคณะละครสัตว์หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป ด้วยความรักในการเล่นเบสบอลของคุณปู่ ทำให้โก ไม่ใช่แค่ลิงยักษ์ธรรมดา แต่มันคือคิงคองแสนรู้ที่มีความสามารถพิเศษในการเล่นเบสบอลอย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องราวได้ไปเข้าหู ซองชุงซู (ซองดงอิล) แมวมองนักกีฬาเบสบอลเข้า ทำให้ หลิง หลิง ได้เป็นคิงคองตัวแรกที่ได้ลงแข่งในแมตช์เบสบอลระดับประเทศของเกาหลีและกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ไปในทันที แต่เส้นทางของความสำเร็จก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเมื่อทีมคู่แข่งก็จัดหนักใส่ โก ด้วยการส่ง คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้ออีกตัวมาลงสนามแข่ง !

1 สิงหาคม นี้ เตรียมเทหัวใจ ให้ Mr. Go มิสเตอร์คิงคอง




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2556    
Last Update : 27 มิถุนายน 2556 14:21:51 น.
Counter : 1485 Pageviews.  

14 อันดับแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมถึงยอดแย่ของ Pixar

แอนิเมชั่น



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Disny Pixar

          พูดถึงทีมสร้างแอนิเมชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว เชื่อได้ว่าหลาย ๆ คนต้องนึกถึง Pixar เป็นอันดับแรก ๆ กันแน่นอน เพราะสร้างการ์ตูนดัง ๆ มาแล้วหลายเรื่อง เป็นที่ชื่นชอบทั้งในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ดี ใช่ว่าทุกเรื่องจะดีเสมอไป บางเรื่องแม้แต่ Pixar เองก็เคยทำผิดพลาดมาแล้วเหมือนกัน ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวม 14 อันดับแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมไปจนถึงยอดแย่ของ Pixar ที่จัดโดยเว็บไซต์ Indiewire มาฝากกันแล้ว ลองมาดูกันดีกว่าว่าเรื่องโปรดของคุณอยู่ที่อันดับไหนกันแน่

แอนิเมชั่น

1. The Incredibles

          นานแล้วที่ Pixar ไม่ได้ทำแอนิเมชั่นที่มีตัวเอกเป็นมนุษย์จนกระทั่งมาถึงเรื่องนี้ และมันก็ไม่ทำให้เรารู้สึกผิดหวังเลยสักนิด โดยเรื่องนี้มีครบทุกรสชาติตั้งแต่ความตื่นเต้นของฉากแอ็คชั่นเข้มข้น ตลกขบขันไปกับมุกเกรียน ๆ ความรักผูกพันของครอบครัวที่น่าประทับใจ และการสอนให้เราเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง ทำให้ดูกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อเลยจริง ๆ มันจึงสมควรได้อันดับหนึ่งยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ ยังไงล่ะ

แอนิเมชั่น

2. Ratatouille

          มันอาจดูเหมือนการ์ตูนพื้น ๆ ทั่วไป แต่ Ratatouille เป็นเรื่องที่แทรกข้อคิดเอาไว้ให้เราได้เรียนรู้มากกว่าที่คิด และมีพื้นหลักอยู่ที่การเลิกใช้อคติตัดสินคนอื่น โดยเฉพาะในฉากจบที่นักวิจารณ์อาหารผู้เคยเอาแต่ตัดสินคนอื่นมาตลอด ได้มารู้ว่าคนที่ทำอาหารอร่อยจนเขาต้องเอ่ยปากชมคือหนูตัวหนึ่ง แม้ตอนแรกจะช็อคจนพูดไม่ออก แต่สุดท้ายแล้วแม้คนที่มีอคติมากที่สุดก็ได้รู้ว่า เราตัดสินคนอื่นจากเปลือกนอกไม่ได้จริง ๆ อย่างที่ตัวละครนี้พูดเองว่า ไม่ใช่ทุกคนจะกลายเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้จากทุกที่

แอนิเมชั่น

3. Up

          เรื่องมันออกจะดูแปลก ๆ สักหน่อยตอนดูตัวอย่างครั้งแรก เพราะแม้แต่ในการ์ตูน บ้านลอยได้ก็ดูเหมือนจะมีแต่ในนิทานยุคเก่าเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี พอดูจริง ๆ แล้ว Up มีความหมายมากกว่าการเป็นการ์ตูนที่บอกเล่าความฝันเพียงอย่างเดียว มันเล่าถึงรักนิรันดร์ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมอบให้ภรรยาของเขาได้ รวมถึงการเสียสละสิ่งมีค่าเพื่อคนอื่นด้วย ทำให้มันเป็นการ์ตูนที่ซึ้งกินใจที่สุดเรื่องหนึ่ง จนกลายเป็นแอนิเมชั่นเรื่องที่ 2 ต่อจาก Beauty & the Beast ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงาน Academy Awards


แอนิเมชั่น

4. WALL-E

          หนังเรื่องนี้แทบจะเรียกว่าเป็นหนังเงียบได้เลยด้วยซ้ำ เพราะกว่าครึ่งตอนแรก เราก็ไม่ได้ยินคำพูดใด ๆ นอกจากหุ่นยนต์ 2 ตัวเรียกชื่อกันไปมา แต่เสน่ห์ของเรื่องนี้ก็อยู่ตรงที่การบอกเล่าเรื่องราวโดยไม่ใช้คำพูดนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เดินเข้าไปเห็นของสะสมในรถเป็นตัวบอกว่า WALL-E มีชีวิตที่อ้างว้างเดียวดายแค่ไหน และความรักที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเขากับ EVE ยังทำให้เราอินไปกับมันได้ โดยไม่ต้องใช้ประโยคหวานเลี่ยนใด ๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้น การแทรกประเด็นที่มนุษย์พึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปยังทำออกมาได้น่าประทับใจมากเช่นกัน

แอนิเมชั่น

5. Toy Story 3

          และแล้วภาค 3 ซึ่งเป็นภาคล่าสุดของ Toy Story ก็กลายมาเป็นภาคที่แฟน ๆ รักมากที่สุดเพราะมันทำให้เราได้เห็นจนได้ว่าสุดท้ายแล้วเมื่อแอนดี้โตขึ้น ชะตากรรมของเหล่าของเล่นจะเป็นอย่างไร ซึ่งฉากจบนั้นไม่ทำให้เราผิดหวังเลยสักนิด แม้จะต้องพกทิชชูซับน้ำตากันเป็นแถบ  ๆ ก็เถอะ เพราะมันทำให้เรารู้ว่าต่อให้แอนดี้โตเกินกว่าจะเล่นของเล่นแล้ว พวกมันก็ยังคงมีความหมาย และจะอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ

แอนิเมชั่น

6. Monsters, Inc.

          แวบแรกที่เห็นสัตว์ประหลาดปุกปุยขนฟูสีฟ้ากับสัตว์ตัวเล็กตาเดียวสีเขียวปี๋ เราก็เข้าใจว่ามันจะเป็นเรื่องน่ารัก ๆ ที่เอาพล็อตความกลัวปีศาจใต้เตียงตอนเด็ก ๆ มาล้อเป็นเรื่องขำขันเท่านั้น แต่มันกลับมีความหมายมากกว่าที่คิดเยอะ โดยเฉพาะความสัมพันธ์น่าประทับใจที่ค่อย ๆ ก่อตัวโดยไม่ต้องใช้คำพูด และตอนจบที่ซาบซึ้ง

แอนิเมชั่น

7. Finding Nemo

          เนื้อเรื่องที่ถูกถ่ายทอดผ่านนีโม น่าจะเหมือนครอบครัวทั่ว ๆ ไป ที่ทำให้เห็นว่าพ่อแม่รักลูกมากมายจนยอมทำทุกอย่างได้เพื่อพวกเขา แต่เพราะความรักนี่แหละ ทำให้พวกเขาปกป้องลูกมากเกินไป และไม่ไว้ใจให้ลูกได้ทำอะไรเองบ้างเลย สุดท้ายเมื่อนีโมได้พิสูจน์ตัวเอง จึงเหมือนเป็นการทลายกำแพงทั้ง 2 ฝั่งให้ทั้งคู้ได้เข้าใจกัน ว่าที่พ่อทำไปนั้นก็เพราะรัก และลูกก็แค่อยากได้ความไว้ใจจากพ่อบ้างเท่านั้นเอง มันจึงเป็นเรื่องราวที่สะท้อนความรักของครอบครัวได้น่าประทับใจมาก


แอนิเมชั่น

8. Toy Story

          เรื่องราวมิตรภาพของบัซและวู้ดดี้เกิดขึ้นได้ แม้พวกเขาจะเคยไม่ชอบหน้ากันมาก่อน จากการที่บัซเข้ามาแย่งความสนใจไปจากแอนดี้ เด็กชายที่เคยมีวู้ดดี้เป็นตุ๊กตาตัวโปรดมาตลอด แต่สุดท้ายด้วยสถานการณ์เป็นใจ ก็ทำให้ทั้งสองมีโอกาสได้เปิดใจเรียนรู้กันและกัน จนกลายมาเป็นเพื่อนตายในที่สุด และเพราะการถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีจากจุดเริ่มต้นที่สวยงามนี่เอง จึงทำให้ Toy Story ครองใจแฟน ๆ จนมีภาคต่อตามออกมาเรื่อย ๆ และประสบความสำเร็จไปซะทุกภาค

แอนิเมชั่น

9. Toy Story 2

          ยากที่จะหาหนังที่ภาคต่อดีไม่แพ้ภาคแรกได้ แต่ Toy Story 2 ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยตัวละครทุกตัวยังมีคาแรคเตอร์ตามเดิมไม่ผิดเพี้ยนไป แถมมันยังช่วยย้ำให้เห็นความรักระหว่างแอนดี้และวู้ดดี้ชัดขึ้นไปอีก เมื่อวู้ดดี้เลือกจะกลับไปอยู่กับแอนดี้ แม้รู้ดีว่าสักวันแอนดี้จะต้องโตขึ้นแล้วอาจทอดทิ้งเขาไปก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น มิตรภาพระหว่างบัซและวู้ดดี้ที่เขาออกติดตามพาวู้ดดี้กลับมาอย่างไม่ลดละยังน่าประทับใจมากอีกด้วย

แอนิเมชั่น

10. A Bug's Life

          ตอนสร้างเรื่องนี้ ทีมงานของ Pixar ยังไม่ได้มีคนจำนวนมากอย่างทุกวันนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณภาพของมันจะด้อยกว่า ยากจะเอามาเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ที่ตามออกมาทีหลังได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมาก A Bug's Life ก็มีความสนุกสนานขำขันพอให้คุณหัวเราะได้บ้าง แต่ขอเตือนว่าอย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นแอนิเมชั่นที่ลึกซึ้งจากเรื่องนี้เลย เพราะมันค่อนข้างจะขาดอารมณ์ความรู้สึกที่ควรมีไปมากทีเดียว

แอนิเมชั่น

11. Monsters University

          พวกเขาทำภาคนี้ออกมาเพื่อให้เราได้รู้ว่าก่อนจะมาเป็น Monsters, Inc ที่ไมค์และซัลลีกลายเป็นเพื่อนสนิทกันนั้น พวกเขาเคยผ่านมหาลัยทำเรื่องแผลง ๆ เหมือนกับเรา ที่ถึงแม้จะดูแล้วก็สนุกสนานอยู่ แต่มันกลับมีส่วนที่ไม่ควรมีอยู่ในหนังสำหรับเด็กสักนิดปนมาด้วย โดยทำให้เห็นว่าบางครั้งแม้เราจะพยายามสักเท่าไหร่ เราก็ไม่อาจไปถึงความฝันได้อยู่ดี จนคนเป็นพ่อเป็นแม่อดคิดไม่ได้ว่า ให้ลูก ๆ เห็นเรื่องที่โหดร้ายขนาดนี้ตั้งแต่เด็ก มันดีแน่แล้วหรือ?

แอนิเมชั่น

12. Brave

          ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้ทำภาพแอนิเมชั่นออกมาได้สวยงามจริง ๆ และนั่นก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้มันได้รางวัล Best Animated Feature Oscar มาครอง แต่น่าเสียดายตรงที่ประเด็นหลักที่เรื่องต้องการจะสื่อตามชื่อ Brave ให้เห็นว่าผู้หญิงก็กล้าหาญดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกเจ้าชายขี้แพ้มาปกป้อง กลับถูกกลบด้วยประเด็นแม่ลูกแทนซะอย่างนั้น ที่ถึงแม้จะดูแล้วอบอุ่นหัวใจดี แต่นางเอกคงมีโอกาสได้ฉายความเป็นหญิงแกร่งมากกว่านี้ หากไม่ต้องมาคอยดูแลแม่ของเธออยู่

แอนิเมชั่น

13. Cars

          เรื่องนี้นับว่าเป็นแอนิเมชั่นน่าผิดหวังเรื่องแรกของ Pixar เลยก็ว่าได้ และที่กระแสตอบรับของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็ไม่น่าแปลกใจสักนิดเลยด้วย โดยเป็นเรื่องที่เข้าข่ายสูตรสำเร็จจริง ๆ แบบที่ตัวเอกเคยหยิ่งยโสมาก่อน แล้วเกิดสำนึกกลับกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้ พร้อมการดำเนินเรื่องเอื่อย ๆ ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแต่มันออกจะธรรมดาเกินไปหากเทียบกับเรื่องอื่น ๆ เท่านั้นเอง


แอนิเมชั่น

14. Cars 2

          ภาคแรกว่าไม่ผ่านแล้ว ภาคต่อกลับแย่ยิ่งกว่า เพราะแทนที่จะยึดข้อคิดของเรื่องเช่นเดียวกับภาคแรกที่สอนให้เราได้รู้ว่า ความเร็วไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป บางครั้งการใช้ชีวิตให้ช้าลงสนใจสิ่งรอบข้างบ้าง ก็อาจช่วยให้ชีวิตมีความสุขในมุมที่ไม่คาดคิดมาก่อนได้เหมือนกัน แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยการแทรกโฆษณาขายของเข้ามาเกินจำเป็น พ่วงด้วยฉากที่เหมือนจะตื่นเต้นแต่ก็ยังไม่เข้าถึงอารมณ์ได้เต็มที่แทรกมาเป็นระยะ มันจึงเป็นหนังที่ดูแล้วไม่ได้รู้สึกอินสักเท่าไหร่ แถมยังเป็นเรื่องเดียวของ Pixar ที่ไม่ได้เข้าชิง Best Animated Feature Academy Award อีกต่างหาก


เป็นอย่างไรบ้างคะ คุณเห็นด้วยกับการจัดอันดับครั้งนี้หรือเปล่า มีเรื่องไหนได้อันดับต่ำหรือสูงเกินไปบ้างไหม? แล้วเรื่องโปรดของเพื่อน ๆ อยู่ที่อันดับไหนกันบ้าง? ลองมาแชร์ความคิดเห็นร่วมกันดูนะคะ




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2556    
Last Update : 26 มิถุนายน 2556 21:01:10 น.
Counter : 2563 Pageviews.  

10 อันดับวายร้ายหนังฮีโร่ที่โดดเด่นมากที่สุด

ตัวร้าย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคถณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Man of Steel, comicbookmovie.com, robsmovievault.wordpress.com, เฟซบุ๊ก Avengers, popwatch.ew.com,beginningandend.com, fansshare.com, taringa.net, butterfunk.com, ign.com

          ช่วงนี้กระแสหนังซูเปอร์ฮีโร่แรงดีไม่มีตก จนกลายเป็นหนังสร้างชื่อเสียงให้กับพระเอกหลายคน แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่านอกจากบทนำอย่างตัวซูเปอร์ฮีโร่แล้ว ตัวร้ายก็เป็นส่วนสำคัญและมีบทบาทไม่แพ้กันเลยนะ ลองคิดดูสิว่าหนังจะจืดชืดสักแค่ไหน หากได้พวกเขามาร่วมสร้างสีสันด้วย ดังนั้นนอกจากจะกรี๊ดพระเอกแล้ว วันนี้กระปุกดอทคอมขอสวนกระแสมาชื่นชมนักแสดงที่เล่นบทตัวร้ายกันซะหน่อย ด้วยการเอา 10 อันดับนักแสดงที่เล่นวายร้ายหนังฮีโร่ได้โดดเด่นมากที่สุดซึ่งจัดโดยเว็บไซต์ JoBlo มาฝาก ลองมาดูกันสิว่ามีวายร้ายคนไหนบ้าง ที่มีบทบาทน่าสนใจไม่แพ้พระเอกของเรื่อง

ตัวร้าย

1. ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger)  The Dark Knight

          ก่อนที่ The Dark Knight จะออกฉาย หลายคนก็ตั้งแง่ว่า บท Joker ที่ ฮีธ เลดเจอร์ แสดง คงเป็นเพียงแค่การเลียนแบบ แจ็ค นิโคลสัน ที่แสดงบทนี้เอาไว้ได้ดีมาก และคงไม่ทางเทียบเขาได้แน่นอน แต่ฮีธก็พิสูจน์แล้วว่าเราคิดผิด เพราะการแสดงของเขาทำให้เราอินยิ่งกว่าคราวแจ็คเสียอีก จนเกือบเชื่อว่าเขาเป็น Joker จริง ๆ เสียด้วยซ้ำ เชื่อได้ว่าแม้ปัจจุบันฮีธจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่บทบาทของเขาจะยังคงติดอยู่ในความทรงจำของทุก ๆ คนแน่นอน

ตัวร้าย

2. เอียน แม็คเคลเลน (Ian McKellen) The X-Men Series

          มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะเชื่ออยู่สักหน่อย แต่ในยุค 2000 ช่วงที่ The X-Men เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ หนังแนวฮีโร่ที่สร้างจากการ์ตูนพวกนี้ ถูกมองว่าเป็นหนังไร้สาระ ไม่ค่อยฮิตสักเท่าไหร่ (ผิดกับสมัยนี้ที่ออกมากี่เรื่องต่อกี่เรื่องก็ฮอตฮิตไปซะหมด) แต่การแสดงของ เอียน แม็คเคลเลน ก็ทำให้คนหันมามองภาพยนตร์แนวนี้ในทัศนคติใหม่ ๆ มากขึ้น  และตัวละคร Magneto ที่เขาแสดงนั้นดูเป็นตัวร้ายที่ละเอียดอ่อนจับต้องได้จริง

ตัวร้าย

3. แซมมวล แอล แจ็คสัน (Samuel L. Jackson) Unbreakable

          เวลาพูดถึงหนังฮีโร่ส่วนใหญ่ คนมักจะลืมนับเรื่อง Unbreakable เข้าไปด้วย แต่จริง ๆ คาแรคเตอร์ของตัวเอกในเรื่องนี้คงยิ่งใหญ่พอน่าจะเรียกว่าเป็นฮีโร่ได้ล่ะน่า ดังนั้นตัวร้ายของเรื่องอย่าง Mr.Glass จึงมาติดอันดับนี้ด้วยเช่นกัน จากการที่เป็นบทเดียว แต่ต้องเล่นเป็น 2 ตัวละครที่แตกต่าง ได้แก่ เอลิจาห์ ไพรซ์ ชายหนุ่มผู้อ่อนโยน รวมทั้ง Mr.Glass ที่ชั่วร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ

ตัวร้าย

4. แจ็ค นิโคลสัน (Jack Nicholson) Batman

เรื่อง Batman ของผู้กำกับชื่อดัง ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) เมื่อปี 89 ถูกล้อว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น Joker เสียมากกว่า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เสียจริง ๆ ในเมื่อฝีมือการแสดงของ แจ็ค นิโคลสัน กับบท Joker ทำให้การปรากฏตัวของเขากลายเป็นการขโมยซีนไปเสียทุกฉาก แม้ว่า ไมเคิล คีตัน จะแสดงบท Batman ได้ดีมากแล้วก็ตาม เรียกได้ว่าการแสดงของแจ็คทำให้เราติดภาพเขาในมาด Joker ไปเลยล่ะ

ตัวร้าย

5. ทอม ฮิดเดิลสตัน (Tom Hiddleston) Thor & The Avengers

          เดิมที Thor เริ่ม ต้นด้วยการมีดาราหลัก ๆ เป็นคนที่ยังไม่มีชื่อเสียง แต่หลังจากที่ภาพยนตร์ออกฉาย ชื่อของ ทอม ฮิดเดิลสตัน และ คริส เฮมสเวิร์ธ ก็เป็นที่รู้จักไปทั่ว ซึ่งทอมสามารถทำให้คาแรคเตอร์ของตัวเองดูโดดเด่นขึ้นมาได้ โดยไม่โดนพวกฮีโร่กลบสักนิด แม้กระทั่งในเรื่อง The Avengers และเชื่อว่าผลงานของเขาใน Thor: The Dark World คงทำให้อันดับพุ่งสูงขึ้นอีกแน่นอน


ตัวร้าย

6. เทอร์เรนซ์ แสตมป์ (Terrence Stamp) Superman II


"จงคุกเข่าลงบุตรของ JOR-EL คุกเข่าต่อหน้า Zod คุกเข่าให้ข้า" คือคำพูดของตัวละคร Zod ที่เขาแสดงเอาไว้ และเป็นฉากเด็ดที่น่าจดจำของเรื่องเสียด้วย โดยตัวละครที่เขาแสดงเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องเลยก็ว่าได้ และความชั่วร้ายของมันก็ทำให้คนยังคงจดจำบทบาทนั้นของเขามาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว


ตัวร้าย

7. อัลเฟรด โมลินา (Alfred Molina) Spider-Man 2

แซม ไรมี (Sam Raimi) ตัดสินใจได้ถูกมากที่สุดครั้งหนึ่ง เมื่อเขาเลือกให้ อัลเฟรด โมลินา มารับบท Doctor Octopus วายร้ายคนใหม่ในภาค 2 ซึ่งเมื่อเขามาแสดงบทตัวร้ายอัจฉริยะนี้แล้ว ดูเสมือนจริงอย่างที่สุด จนทำให้คนดูพลอยรู้สึกเชื่อไปด้วย นอกจากนี้ ฝีมือการทำเอฟเฟกต์ชั้นเยี่ยมของทีมงานยังช่วยทำให้ตัวละครนี้ดูเป็นผู้ร้ายที่ทรงพลังขึ้นอีก

ตัวร้าย

8. แดนนี เดวิโต (Danny DeVito) Batman Returns

          ย้อนกลับไปเมื่อปี 92 แดนนี เดวิโต เป็นที่รู้จักดีในฐานะนักแสดงตลกชื่อดัง ทำให้พอมีข่าวว่าจะมารับบทเพนกวิน คนเลยคาดหวังว่าจะได้เห็นตัวร้ายคนนี้ในแบบฮา ๆ ตามไปด้วย แต่พอได้มาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ มีอันต้องผิดคาดไปตาม ๆ กัน เพราะนอกจากเขาจะไม่ตลกสัดนิด ยังดูสยองขวัญสุด ๆ ด้วยบุคลิกประหลาดพิสดาร แถมยังดูน่าสงสารด้วยในเวลาเดียวกัน และในเมื่อเขาสามารถตีบทแตก รวมทั้งพลิกคาแรคเตอร์ที่คนติดภาพได้ขนาดนี้ จะไม่ให้ยอมรับในฝีมือได้ยังไงล่ะ?

ตัวร้าย

9. ไบรอัน คอกซ์ (Brian Cox) X-Men: United


          แม้ว่า แดนนี ฮุสตัน จะเล่นบท Stryker เวอร์ชั่นที่หนุ่มกว่าใน X-Men Origins: Wolverine ได้ดี แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับการแสดงของ ไบรอัน คอกซ์ ที่รับบทเดียวกันนี้ซึ่งเขาสามารถสื่อถึงความกลัวที่มนุษย์มีต่อพวกกลายพันธุ์ได้เป็นอย่างดี จนเราเข้าใจความจำเป็นที่เขาต้องพยายามกำจัดพวกกลายพันธุ์ออกไปให้หมด ไม่ใช่แค่เป็นหน้าที่เท่านั้น ทำให้เรามองออกเลยว่าเขาเป็นตัวร้าย ที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ร้ายเลยสักนิด แต่กำลังทำสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก

ตัวร้าย

10. ไมเคิล แชนนอน (Michael Shannon) Man of Steel

แน่นอนว่าบท Zod ที่แสดงโดย ไมเคิล แชนนอน จากเรื่อง Man of Steel เป็นตัวละครที่เพิ่งได้ถูกจับเข้าชาร์ตด้วยหมาด ๆ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเข้าฉายได้ไม่นานเสียเท่าไหร่ แต่การแสดงของเขาก็น่าประทับใจมากพอจะทำให้เขาเข้ามาติดอันดับได้อย่างง่ายดาย ด้วยความกล้าที่จะเล่นบทนี้ให้แตกต่างไปจากเวอร์ชั่นก่อน ๆ โดยไม่ให้ความรู้สึกแบบคนทะนงตนไม่มีที่มาที่ไปเหมือนเมื่อก่อน แต่ดูเป็นคนที่มีนิสัยติดตัวมาจากการเลี้ยงดูจริง ๆ แถมฉากต่อสู้ของเขายังดูเข้มข้นเพราะรูปร่างที่ดูเข้มแข็งสูสีกับพระเอกอีกด้วย

เป็นไงบ้างคะ ตัวร้ายทั้ง 10 คนนี้ มีคนไหนตรงกับใจคุณบ้างไหม และมีใครเด็ด ๆ ที่ควรจะติดชาร์ตอีกบ้างหรือเปล่า อย่าลืมแชร์ความคิดเห็นกับเพื่อน ๆ ให้ได้รู้ว่าผู้ร้ายจากหนังฮีโร่คนโปรดของคุณคือใครด้วยนะคะ




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2556    
Last Update : 24 มิถุนายน 2556 16:03:22 น.
Counter : 2705 Pageviews.  

10 นักแสดงคนนี้แหละ แสดงบทซูเปอร์แมนได้สมจริงที่สุดแล้ว

SUPERMAN

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก toptenz.net, เฟซบุ๊ก Christopher Reeve: The Real Superman, เฟซบุ๊ก Lois & Clark, เฟซบุ๊ก Superman 1978, เฟซบุ๊ก Smallville, เฟซบุ๊ก The Adventures of Superman, เฟซบุ๊ก Tim Daly, เฟซบุ๊ก Superman Returns

          เมื่อ เฮนรี คาวิลล์ ตัดสินใจมารับบทซูเปอร์แมนคนล่าสุด ในเรื่อง Man of Steel เขาคงรู้ดีแหละว่า ต้องแบกรับความกดดันและความคาดหวังแค่ไหน เพราะมันเป็นบทที่มีนักแสดงหลายต่อหลายคนเคยพิสูจน์ฝีมือกันมาแล้ว และแต่ละคนก็แสดงได้ดีมากเสียด้วย ทำให้คนที่คิดจะมาเทียบต้องมั่นใจพอสมควร ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวม 10 นักแสดงที่ถ่ายทอดบทบาทซูเปอร์แมนได้ดีที่สุดจากเว็บไซต์ TopTenz มาฝากกันแล้ว ว่าแต่จะมีใครบ้างนั้นลองไปดูกันเลยค่ะ

Superman

1. จอร์จ รีฟส์ (George Reeves) - The Adventures of Superman

  ทันทีที่โลกได้รู้ว่า จอร์จ รีฟส์ จบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย มันเหมือนกับว่าซูเปอร์แมนได้ตายไปพร้อมกับเขาด้วย เพราะเขาเป็นทั้งซูเปอร์แมนและ คลาร์ก เคนท์ ที่สมบทบาทที่สุดแล้ว จนเราแทบจำผลงานการแสดงอื่นของเขานอกจากนี้ไม่ได้เลย ซึ่งแม้จะอาจเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับอาชีพการงานของรีฟส์ที่คนติดภาพลักษณ์เดิม ๆ มากเกินไป แต่มันก็ทำให้เขาเป็นซูเปอร์แมนอันดับ 1 อย่างไม่ต้องสงสัย

Superman

Superman

2. คริสโตเฟอร์ รีฟ (Christopher Reeve) - Superman (1978)

          เรียกได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในซูเปอร์ แมนเวอร์ชั่นที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยมากที่สุด จนแค่เพลงประกอบของ จอห์น วิลเลียม ในเรื่องดังขึ้นมา เราก็นึกถึงหน้าเขาตามมาแล้ว ทำให้ผ่านมาจนทุกวันนี้คนก็ยังมองเขาเป็นซูเปอร์แมนอยู่ ที่ดูเข้มแข็ง ห้าวหาญ แต่ก็อ่อนโยนตรงกับคาแรคเตอร์แบบในการ์ตูน ทำให้แฟนดั้งเดิมชื่นชอบเขามาก

Superman

Superman

3. ทอม เวลลิง (Tom Welling) - Smallville

ในมุมมองของซูเปอร์แมนที่ถูกถ่ายทอดผ่าน Smallville ให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงหนุ่มบ้านไร่ที่ไม่รู้ประสีประสา แต่กลับมาพร้อมพลังที่น่าทึ่งจริง ๆ ซึ่งเราไม่คุ้นกับภาพพจน์นั้นสักเท่าไหร่ และมักจะมองว่าฮีโร่คนนี้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลาเสียมากกว่า ทำให้การสื่อให้เห็นอารมณ์นี้เป็นเรื่องยาก ซึ่งทอมก็ทำได้ดีเหนือความคาดหมายจนคนดูรู้สึกอินไปด้วย

Superman

4. บัด คอลลีเออร์ (Bud Collyer) - Adventures of Superman

          ย้อนกลับไปเมื่อปี 1940 สมัยนั้นละครวิทยุยังเป็นที่นิยมอยู่มาก แต่ออกจะเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อยสำหรับคนแสดง เพราะต้องใช้แค่เสียงเท่านั้นเป็นตัวสื่อสารให้เห็นภาพชัด ๆ แล้วนี่บัดต้องเล่นเป็นตัวละครที่มีคาแรคเตอร์ถึง 2 ในคราวเดียว ได้แก่ คลาร์ก เคนท์ และ ซูเปอร์แมน มันจึงยิ่งยากขึ้นไปอีก บัดจึงตัดสินใจทำเสียงนุ่มสักหน่อยตอนเป็นคลาร์ก และทุ้มต่ำขึ้นอีกเมื่อเป็นซูเปอร์แมนให้คนฟังเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะเขานี่แหละถึงได้มีคริปโตไนท์เกิดขึ้น เพื่อให้บัดมีเวลาได้พักเสียงบ้าง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นซูเปอร์แมนยังไม่มีจุดอ่อนนี้มาก่อนด้วยซ้ำ

Superman

Superman

5. ดีน เคน (Dean Cain) - Lois And Clark : The New Adventures of Superman

          ปกติเรามักสนใจแต่ด้านทรงพลังของความเป็นซูเปอร์แมน จนลืมภาพหนุ่มอ่อนโยนด้านที่เป็น คลาร์ก เคนท์ ไป แต่ดีนก็ทำให้เราได้มองซูเปอร์แมนในมุมมองใหม่อย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทำให้เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาที่รักผู้หญิงคนหนึ่งสุดหัวใจ และมีความรู้สึกอ่อนไหวอ่อนแอเหมือน ๆ กับคนทั่วไปด้วยเหมือนกัน

Superman

6. เคิร์ก อลิน (Kirk Alyn) - Superman (1948)

นักแสดงคนนี้แหละ คือผู้รับบทซูเปอร์แมนคนแรกของโลก โดยเขาเล่นเป็นซูเปอร์แมนในซีรีส์ตั้งแต่ปี 1948 ก่อนจะถอนตัวไปในปี 1951 เพราะไม่อยากให้คนติดภาพมากเกินไป แต่ยังไงซะ คนก็ยังติดภาพเขาจากบทบาทนี้อยู่ดี และด้วยความเป็นซูเปอร์แมนคนแรก ทำให้เขาเป็นนักแสดงต้นแบบของซูเปอร์แมนคนอื่น ๆ ในรุ่นต่อมา แถมปี 1978 เขายังได้มาเล่นเป็นพ่อของ ลูอิส เลน นางเอกของเรื่องในหนัง Superman อีกด้วยนะ

Superman

7. แดนนี ดาร์ค (Danny Dark) - Superfriends


          สำหรับคนที่เกิดช่วงปี 70 - 80 แล้ว เสียงของ แดนนี ดาร์ค คือเสียงของซูเปอร์แมนเพียงคนเดียวเท่านั้นเลยก็ว่าได้ ซึ่งเทคนิคการพากย์เสียงของเขาผ่านประสบการณ์มานาน ไม่ว่าจะเป็นคนประกาศรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ หรือบรรยายโฆษณา ลองคิดดูสิว่ามันจะเท่ขนาดไหนที่คุณได้ยินเสียงซูเปอร์แมนพูดชวนให้ซื้อโน่นนี่หรือบอกให้ชมรายการถัดไปทุกวัน

Superman

8. เจอร์ราด คริสโตเฟอร์ (Gerard Christopher) - Superboy

ซีรีส์เรื่อง Superboy ช่วงปี 80 - 90 เป็นเหมือนหายนะที่เรตติ้งดิ่งลงเหว ทำให้ทีมงานเปลี่ยนตัวซูเปอร์แมนจาก จอห์น เฮนส์ นิวตัน มาเป็น เจอร์ราด คริสโตเฟอร์ เผื่ออะไรจะดีขึ้นมาบ้าง และมันก็ได้ผลจริง เพราะทำให้คนดูหันกลับมาสนใจเรื่องนี้กันอีกครั้ง ที่จริงเขาแสดงได้ดีจนเกือบได้รับบทนี้อีกใน Louis and Clark เสียด้วยซ้ำ ติดตรงที่ว่าทีมงานไม่อยากใช้นักแสดงคนเดิมให้คนสับสนนี่แหละ เจอร์ราดถึงได้ชวดบทนี้ไป

Superman

9. ทิม เดลีย์ (Tim Daly) - Superman: The Animated Series and Justice League: Doom

          ลองคิดดูสิว่ามันจะยากสักแค่ไหน หากเราต้องใช้เพียงแค่เสียงเป็นตัวสื่ออารมณ์ของตัวละครให้คนอื่นรับรู้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้กำลังแสดงอยู่ และทิมก็ทำได้ดีในการรับหน้าที่พากย์เสียงซูเปอร์แมนเสียด้วย ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ยิ่งดูสมจริงขึ้นไปอีก โดยเขาไม่หลุดสำเนียงของตัวเองออกไปเลยสักนิด แต่กลายเป็นเสียงของซูเปอร์แมนจริง ๆ จนคนติดภาพไปเสียแล้ว

Superman

10. แบรนดอน รูธ (Brandon Routh) - Superman Returns


ซูเปอร์แมนในเวอร์ชั่นของผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ ทำได้ต่อเนื่องจากเรื่อง Superman เมื่อปี 1970 ดีอยู่ แต่กลับผิดจากบทบาทซูเปอร์แมนย่างที่หลาย ๆ คนรู้จักในการ์ตูนไปเสียหน่อย เลยทำให้ไม่ค่อยอินเท่าที่ควร อย่างไรก็ดีการแสดงของแบรนดอนก็ช่วยฉุดให้เรารู้สึกถึงความเป็นซูเปอร์แมนขึ้นมาได้ ดังนั้นการยกเครดิตความชอบให้เขาได้อันดับ 10 ไป จึงถือว่าสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน

เชื่อว่าแฟนตัวจริงของฮีโร่คนนี้จะต้องมีซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นโปรดเป็นของตัวเองกันอยู่แล้ว แต่ก็อาจมีบางเวอร์ชั่นที่คุณพลาดชมไปบ้างเหมือนกัน ดังนั้นลองหาภาพยนตร์ตอนที่แสดงโดย 10 อันดับนักแสดงที่ถ่ายทอดบทบาทซูเปอร์แมนได้ดีที่สุดนี้ไปดูกันสักหน่อย อาจช่วยให้คุณเจอคนที่เล่นได้ดียิ่งกว่าที่คิดแบบคาดไม่ถึงก็ได้นะ




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2556    
Last Update : 23 มิถุนายน 2556 20:58:08 น.
Counter : 2065 Pageviews.  

ภาพแรก ต้มยำกุ้ง 2 ระดมแก๊งมอเตอร์ไซค์ไล่ล่าเอาชีวิต จา พนม

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ภาพแรก  ต้มยำกุ้ง 2-3D เจาะเบื้องหลังหนังฟอร์มยักษ์ ระดมแก๊งมอเตอร์ไซค์แว๊นกว่า 300 คันไล่ล่าเอาชีวิต จา พนม (สหมงคลฟิล์ม)


     เป็นอีกหนึ่งภาพอลังการที่ควรต้องถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ในการสร้างภาพยนตร์เลยทีเดียวสำหรับ 1 ในฉากใหญ่ ที่ต้องมีการปิดถนนพระราม 3 เพื่อถ่ายทำฉากเหล่าแก๊งมอเตอร์ไซค์แว๊นกว่า 300 คันขับไล่ล่าเอาชีวิตพระเอกจาพนม ยีรัมย์ใน ต้มยำกุ้ง 2-3D ภาพยนตร์ Real Action Martial Arts 3 มิติ เรื่องแรกของโลก และถือได้ว่าเป็นภาพแรกอย่างเป็นทางการที่ทางค่ายสหมงคลฟิล์มฯ เปิดเผยออกมาให้แฟน ๆ ได้เห็น หลังจากมีเสียงเรียกร้อง และพูดถึงโปรเจคท์ภาคต่อของต้มยำกุ้งที่คนทั้งโลกรอคอย ว่าอยากเห็นภาพจากหนังกันออกมามากเหลือเกิน


          ด้วยโจทย์ที่ว่าใหญ่ทุกฉาก ยากทุกซีน เป็นการยืนยันให้รู้ว่าระดับดีกรีความมันของหนังแอ็คชั่นที่คนทั้งโลกรอคอยเรื่องนี้นอกจากจะไม่ลดลงแล้วแต่กลับยกกำลังสองทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก แฟน ๆ คอแอ็คชั่นจะได้เห็นวิชวลทางด้านภาพที่มาพร้อมกับความอลังการแบบสุดขีด โดยเฉพาะฉากนี้เป็นการระดมเหล่าสตันท์นักแสดงสมทบ และทีมงานในแต่ละฝ่ายทั้งทีมกล้องเสื้อผ้าเมคอัพสไตล์ลิสต์ ฯลฯ รวมแล้วกว่า 1000 ชีวิตมารวมสร้างความยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นบนจอภาพยนตร์ หลังจากที่มีการเตรียมงานเพื่อการถ่ายทำฉากนี้กันอยู่นานหลายเดือน ซึ่งก่อนหน้านี้ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับภาพยนตร์ รวมไปถึงทีมงานทั้งหมดได้ผ่านการประชุมงาน และเตรียมที่จะถ่ายทำไปแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ต้องยกเลิกเนื่องจากทัศนวิสัย และสภาพอากาศในช่วงถ่ายทำไม่เป็นใจ ทำให้เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถขึ้นบินได้ จนกระทั่งเมื่อทุกอย่างลงตัว การนัดหมายทีมงานร่วมพันจึงเริ่มต้นขึ้นเหล่าสตันท์แมนที่ต้องมาขับรถมอเตอร์ไซค์ไล่ล่าจาพนม ตลอดจนเหล่านักบิดและบรรดาขาแว๊น สก๊อยเกิร์ล ที่ต้องมาซ้อนท้ายเกือบ600 คน ถูกนัดหมายให้มาแต่งหน้าทำผมสวมชุดที่ทางทีมงานเตรียมพร้อมตั้งแต่เช้าตรู่

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

          โดย 2 ผู้กำกับภาพ ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยอย่าง เปีย ธีระวัฒน์ รุจินธรรม (ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องปาฏิหาริย์รักต่างพันธุ์, ผู้กำกับภาพซุ้มมือปืน, 102 ปิดกรุงเทพปล้น) และ เฉลิม วงค์พิมพ์ (ผกก.7 ประจัญบาน1-2, คนไฟบิน) พร้อมทีมงานกล้อง 3 มิติ จากสยามพัฒนาฟิล์มถูกแบ่งเป็น 2ทีม โดยทีมเอไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่สนามบินเพื่อสแตนบาย ส่วนทีมบี ติดตั้งกล้องบนรถที่จะต้องเข้าฉากเพื่อเข้าไปร่วมเก็บภาพนักแสดงในระยะใกล้เพื่อนแทนภาพสายตาบนท้องถนนในระหว่างฉากไล่ล่า


ดยก่อนการเริ่มต้นถ่ายทำพระเอกแอ็คชั่นฮีโร่ของเรา จา พนม ก็ทำการไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น รวบรวมพลังกาย และพลังใจด้วยความฮึกเหิม พร้อมกล่าวเป็นกำลังใจกับทีมนักบิดและน้อง ๆ พี่ ๆ นักแสดงทั้ง 600 คนที่มาร่วมเข้าฉากด้วยกันให้มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียว หลังจากนั้นก็ขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ที่ทีมงานเตรียมพร้อม ตั้งขบวนร่วมกับนักแสดงทั้งหมด 

          "ในการถ่ายทำต้มยำกุ้ง 2 ฉากนี้ เห็นทีมงานทั้งหมดที่ล้วนแล้วแต่ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นทีมนักแสดงที่มาร่วมในการถ่ายทำวันนี้ทั้งบรรดานักบิดที่มีประมาณ 300 กว่าคน นอกจากนี้ยังไม่รวมน้อง ๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลังและต้องพกพาพวกอาวุธ มีดสปาต้าร์อีก 300 กว่าคน เห็นแล้วก็ตกใจเหมือนกัน (หัวเราะ) ยังมีสตันท์อีก และรถอีกหลายสิบคันที่ต้องเข้าฉาก ตำรวจเห็นถึงกับเป่านกหวีด ปิ๊ดปิ๊ดปิ๊ด หยุดหยุดหยุด นึกว่าเค้าตีกันกลางเมือง (หัวเราะ) ก็เพื่อความสมจริงครับ เพราะฉากนี้เราก็ต้องขี่มอเตอร์ไซด์หนีเพื่อเอาตัวรอดจากการไล่ล่าให้ได้

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

          ตอนแรกที่คุยกับพี่ปรัชถึงการถ่ายทำฉากนี้เป็นฉากใหญ่มาก ๆ แค่ทีมงานนักแสดงเฉพาะวันนี้ก็เกินพันคนแล้ว ให้ทีมงานติดต่อถ่ายทำโดยปิดถนนเลย แล้วก็จะมีเฮลิคอปเตอร์ช็อตที่เป็นการถ่ายภาพจากมุมสูง มุมกว้างให้เห็นบรรยากาศทั้งหมด ในส่วนของ Location มุมกล้อง ภาพรวมทุกอย่างผ่านการประชุมมาหมดแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้ถ่ายทำเพราะเราคำนึงถึงความปลอดภัยบนท้องฟ้า ท้องถนนเป็นหลัก มีการตรวจเช็คสภาพอากาศ ถ้าสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยก็ไม่สามารถ่ายทำได้ พี่ปรัชไม่ให้ถ่ายเลยเพราะว่าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกคนเป็นหลัก ก็เลยต้องมีการเลื่อนคิว จนมาถึงวันนี้ที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เลยได้ถ่ายทำสมใจ และทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แล้วยิ่งพอได้เห็นภาพที่ถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ช็อตแล้วรู้สึกว่าเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลกตา เป็นภาพใหม่ ๆ ที่อลังการเหมือนกัน ถือว่าเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่เราจะได้เห็นภาพที่น่าตื่นตาแบบนี้และเป็น 3 มิติด้วยต้องชื่นชมในมุมมอง ของพี่ปรัชญา ปิ่นแก้วผู้ กำกับ และทีมงานทุกคนด้วย ในส่วนของผมเอง ก็มีโอกาสได้ขับมอเตอร์ไซค์แว๊น (หัวเราะ) ก็ยังเสียว ๆ อยู่เลยครับ ถ้าปกติในสมัยโบราณจะขี่ม้า แต่เรื่องนี้ขับมอเตอร์ไซค์และเป็นหนังเรื่องแรกที่ผมขับมอเตอร์ไซค์ถือว่าเป็นฮีโร่แบบใหม่ยุคปัจจุบันที่ขี่มอเตอร์ไซค์ (หัวเราะ) แต่ว่าจริง ๆ แล้วผมก็ฝึกมานานนะครับ ฝึกมาตั้งแต่เรียนมัธยม ก็ถือว่าได้เข้าฉาก ได้โชว์ความสามารถของเราในการแว๊นมอเตอร์ไซค์สักครั้งหนึ่ง ในฉากที่เราพยายามหนีเอาตัวรอดแต่จะเป็นอย่างไรก็คงต้องรอติดตามในต้มยำกุ้ง 2"

งานนี้ทีมงานได้ช่างภาพพิเศษรับเชิญที่ไม่ได้มีคิวถ่ายทำในวันดังกล่าวมาช่วยบันทึกภาพนั่นคือแอ็คชั่นฮีโร่หญิงเล่นจริงเจ็บจริง จีจ้า ญาณิน ซึ่งขอมาร่วมเป็นกำลังใจให้กับพี่จาพนม และพี่ ๆ ทีมงานในการถ่ายทำด้วย

          เตรียมพบกับความมันอลังการของหนังแอ็คชั่นที่คนทั้งโลกรอคอยต้มยำกุ้ง 2 ในรูปแบบ 3 มิติ ปีนี้แน่นอน



ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ต้มยำกุ้ง 2

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2556    
Last Update : 22 มิถุนายน 2556 18:25:52 น.
Counter : 1623 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.