"If life is a journey,my destination is our heart"
Group Blog
 
All Blogs
 

PART 8 –day7 : Tokyo-BKK

โปสการ์ดแห่งความทรงจำ…เดินทางจากญี่ปุ่นมายังประเทศไทย




 

Create Date : 18 มกราคม 2558    
Last Update : 18 มกราคม 2558 22:44:23 น.
Counter : 943 Pageviews.  

PART 7 –Day6 : Tokyo – Kawaguchiko


       จากที่เราบอกไปข้างต้นเดิมทีเราวางแพลนจะนอนค้างที่Kawaguchiko กันสัก 1 คืนแต่เนื่องจากเรามีธุระจึงจำเป็นต้องเลื่อนกลับก่อนกำหนด 1 วันทำให้เราตกลงกันอยู่พักหนึ่งว่าจะไปหรือไม่ไปดี แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจไป แม้จะเดินทางนานและอาจได้เที่ยวไม่นานมากนักก็ตาม แต่ไปเที่ยวพร้อมๆกันนะคะจะได้รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
       เช้านี้เรานั่งJR-Mikawashima – Shinjuku เพื่อไปขึ้น LTD ExpSuper Azusa53 ไปลงที่สถานี Otsuki เพื่อต่อไปยังKawaguchiko  ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นราวๆ3 ชั่วโมง กึ่งหลับกึ่งตื่น รถไฟก็นำเรามาถึงจุดหมายปลายทางเนื่องจาก JR Pass ไม่ครอบคลุมการเดินทางในบางส่วนเราจึงต้องเสียเงินเพิ่มอีกเล็กน้อย (1140YEN/เที่ยว)
       แม้ว่าเวลาอันน้อยนิดของเราจะไปเที่ยวได้ไม่กี่ที่ภายใน Kawaguchiko แต่เราก็ตัดสินใจซื้อเป็น ตั๋ว Retrobus เหมาเที่ยวในราคาคนละ 1000YEN(เนื่องจากเราต้องการเก็บตั๋วเป็นที่ระลึก)
       ใน Retrobus คันนี้มีความพิเศษอยู่ที่เรามาเจอคนไทยที่มาเที่ยวกันเองเกือบเต็มคันรถจึงอบอุ่นไปด้วยเสียงภาษาไทย และความมีน้ำใจ พูดคุยถามไถ่แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม

จุดหมายแรกที่เราจะไปก็คือสถานีที่21


ตั๋วเหมาเที่ยวRetorbus สามารถใช้เป็นโปสการ์ดได้ด้วย


ที่แห่งนี้…ก็มีแผ่นพับภาษาไทยเช่นกัน^^



       สถานีปลายทาง สถานีที่21 ความจริงสถานีนี้เป็นมุมที่สวยมากหากท้องฟ้าเปิดจะเห็นทะเลสาป มีภูเขาไฟฟูจิอยู่เบื้องหลังแต่วันนี้ท้องฟ้าไม่เข้าข้างเรา2คน มีฝนปรอยๆลงมาเป็นช่วงๆทำให้มีเมฆลอยบังภูเขาไฟฟูจิ แต่ไม่เป็นไร… ไม่เห็นวันนี้เดี๋ยวเราจะกลับมา^_^


จากนั้นเรานั่งย้อนไปยังสถานีที่17-18




       สถานีที่  17-18 มีทางเดินเลียบกับทะเลสาป พร้อมกับการชมวิวฟูจิซังไปด้วย ข้างๆยังมีอุโมงค์เมเปิ้ลสีแดงเป็นแนวยาวอยู่ริมถนน ชวนให้ทำมิวสิคนางเอกพระเอกเกาหลีเสียจริงๆ นอกจากนี้ตรงป้ายที่ 17 จะมี Kawaguchiko Monkey Show Theater เป็นการแสดงโชว์ลิงหากใครมาเที่ยวเป็นครอบครัว ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เด็กน่าจะชอบนะคะ
       ถึงเวลาประมาณ บ่าย 3 เรา 2 คนจำต้องโบกมือลา Kawaguchiko ทั้งที่อยากค้างอีกสักคืน แต่เรา2คน สัญญากันไว้ว่าจะกลับมาเยี่ยมที่แห่งนี้อีกแน่นอน ขากลับก็เช่นกันเราต้องซื้อตั๋วรถไฟเพื่อขึ้นไปยัง Shinjuku และพอถึงสถานีShinjuku เราก็สามารถใช้ JR Pass ได้ตามเดิม
       ถึงโตเกียวประมาณ18.00น.เรายังไม่ค่อยอยากกลับที่พัก เพราะคืนนี้เป็นค่ำคืนสุดท้ายแล้วเราจึงไปชมวิวที่ อาคารที่ว่าการมหานครโตเกียว (Tokyo MetropolitanGoverment) ซึ่งชมวิวได้ที่ความสูง 243เมตรบนชั้น45 ที่เปิดให้เข้าชมฟรีกัน ตั้งแต่เวลา 9.30-23.00น. หากอากาศแจ่มใสจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เลย แต่วันนี้อากาศไม่เป็นใจจริงๆมีฝนตกปรอยๆและมีหมอกเต็มไปหมด ทำให้เรามองไม่เห็นอะไรเลยแต่ถ้าหากใครได้มาที่โตเกียวที่นี่นับเป็นอีกสถานที่หนึ่งหากมีเวลาและอากาศเป็นใจก็แวะมาชมวิวทิวทัศน์รอบๆกรุงโตเกียวได้ (วิธีการไป JR-Shinjuku, West Exit)

จากนั้นเรานั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีRoppongi ซึ่งคืนนี้เป็นค่ำคืนฮาโลวีน มีคนญี่ปุ่นแต่งคลอสเพลย์กันเต็มไปหมดดูแล้วเพลินตาจนเราลืมถ่ายรูปกันเลยทีเดียว  นั่งกันได้พักใหญ่ๆ เรา2คนเลยตัดสินใจกลับเข้าที่พักเพื่อเตรียมเก็บของกลับสู่ประเทศไทยก่อนบินกลับประเทศไทยคืนนี้ขอฝากรูป Mori Tower ที่ตั้งอยู่บริเวณRoppongi Hill ไว้นะคะ





TIPS:

(ที่มา: //www.yokosojapan.org)

สถานที่ท่องเที่ยวตามป้ายสถานีต่างๆของ Retrobus ของKawaguchiko





 

Create Date : 15 มกราคม 2558    
Last Update : 25 มกราคม 2558 15:08:34 น.
Counter : 820 Pageviews.  

PART 6 -Day5 : Tokyo-Hakone

       เดินทางมาถึงวันที่5 ของทริปแล้ว วันนี้ชีพจรยังลงเท้าของเราทั้งคู่นั่งรถไฟออกจากโตเกียวอีกตามเคย วันนี้มีโปรแกรมไปล่องเรือโจรสลัด นั่งกระเช้ากินไข่ดำ ชมวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทาง
       โปรแกรมของเราเริ่มจากนั่งรถไฟJR ไปลงที่สถานี Tokyo  และนั่ง Shinkansenลงที่ Odawara ใช้เวลาประมาณ 35 นาที จากนั้นเราต้องซื้อบัตรเพิ่มเป็นHakone 2-dayspass (ในราคา 4000 Yen/คน) เพื่อขึ้นHakone Tozanrailway เพื่อลงที่ Hakone-Yumato 



       เมื่อถึงสถานีHakone-Yumato เราไม่รอช้า เดินไปป้ายรถบัสซึ่งไม่ไกลจากสถานีเท่าใดนักเพื่อต่อคิวขึ้นรถบัสไปยังท่าเรือ Motohakone-Ko โดยระหว่างทางรถบัสวิ่งได้อย่างช้าๆเนื่องจากรสบัสต้องลัดเลาะไปตามทางอันคดเคี้ยว ที่มีต้นไม้ 2 ข้างทางมองให้เพลินตา แต่หากใครเมารถ แนะนำให้ติดยาแก้เวียนมาด้วยหรือจะใช้วิธีหลับไปเลยก็ได้ เพราะพอตื่นขึ้นมาก็เห็นท่าเรืออยู่ตรงหน้าเลยค่ะ555+
       ดูตารางรอบล่องเรือโจรสลัดแล้วรอบแรกประมาณ 9.30น. ยังเหลือเวลาให้เราเก็บบรรยากาศโดยรอบอีกสัก30นาที ใกล้ๆเวลาเราเห็นลูกเป็ดหมวกเหลืองหน้าตาน่ารักเดินเรียงกลุ่มกันมาลิบๆ(เด็กนักเรียนญี่ปุ่นมาทัศนศึกษาเรือรอบนี้จึงเต็มไปด้วยลูกเป็ดหมวกเหลืองเสียงครึกครื้น ปนกับบรรยากาศรอบๆทะเลสาปอาชิ (Ashi LAke) ทำให้ได้อรรถรสไปอีกแบบ




บรรยากาศรอบๆทะเลสาปอาชิ(Ashi Lake) รายล้อมไปด้วยขุนเขา


เรือโจรสลัดลำนี้แหละที่นำเราชมบรรยากาศโดยรอบ

       ล่องเรือโจรสลัดมาจนถึงท่าเรือTogendai เป็นอันว่าต้องโบกมือร่ำลาเรือโจรสลัด เพื่อมานั่งกระเช้าลอยฟ้า(Hakone Ropeway) ไปยังสถานี Owakudaniตลอดสองข้างทางมีใบไม้เปลี่ยนสีอวดให้ชมเป็นระยะๆและมองไปไกลๆจะเห็นควันลอยพวยพุ่งอยู่เหนือบริเวณเขา ซึ่งก็คือบ่อน้ำแร่กำมะถัน สามารถต้มไข่ให้สุกได้จุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งของการมาที่นี่ของนักท่องเที่ยวแทบทุกคนก็คือการกินไข่ดำที่นี่เค้าจะขายเป็นแพค 1 แพค มี 5 ฟอง ในราคา 500 Yen (มีความเชื่อว่ากินไข่1 ฟองอายุจะยาวไปอีก 7ปีเลยทีเดียว) เราเลยกินไปคนละ 2 ฟองครึ่งจะได้มีอายุเท่าๆกัน ^_^ บริเวณรอบๆมีขายของที่ระลึกรูปแบบต่างๆมากมาย



ไข่ดำที่เราได้ลิ้มลองมาจากบ่อกำมะถันบ่อนี้นี่เอง


       สถานที่ท่องเที่ยวของHakone มีมากมายจริงๆ แต่เราขอเที่ยวเท่านี้พอเราจึงนั่งกระเช้าลงมาตามเดิม ตอนลงคนไม่เยอะมากนัก หนึ่งกระเช้า จึงเป็นของสองเราช่างโรแมนติกเสียจริงๆ เมื่อลงมาถึง เราก็มาต่อแถวเพื่อขึ้น Hakone Tozan Cable Car รถจะจอดรับผู้โดยสารเป็นช่วงๆ เราลงกันที่สถานีGora ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง จากนั้นเราต้องต่อรถไฟสายคลาสสิค(Hakone TozanTrain) เพื่อไปเปลี่ยนรถอีกครั้งที่สถานี Odawara  เพื่อมุ่งหน้ากลับโตเกียวภายในตัวรถค่อนข้างแน่นเนื่องจากรถจอดรับส่งผู้โดยสารเป็นช่วงๆ
       เมื่อเรามาถึงโตเกียวก่อนเข้าที่พักขอแว๊บไปตึก Takeyaหรือที่คนไทยเรียกว่า“ตึกม่วง” กันสักหน่อย เพื่อไปชอปปิ้งทั้งของตัวเอง และของเพื่อน เราไม่รอช้าที่จะควักลิสต์รายการสินค้าเพื่อจัดใส่ตะกร้ารัวๆเลยค่ะตึกม่วงนี่อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าใดนัก


       ที่ตึกม่วงนี้สามารถขอเรียกคืนภาษีได้หากซื้อสินค้าบางส่วนที่ร่วมรายการ 5000YEN ขึ้นไปซึ่งก่อนออกจากร้านหากทำเรื่องขอคืนภาษี เค้าจะกำชับเราว่าอย่าเปิดใช้ที่ญี่ปุ่นนะคะและเนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวไทยมีมากเลยมีแผ่นพับภาษาไทยให้ได้หยิบกันด้วย 


TIPS : 


แผนที่ท่องเที่ยว Hakone

(ที่มา: //www.odakyu.jp/english/destination/hakone/#link-02)



ราคาบัตร Hakone 2-days pass 

(ที่มา: //www.odakyu.jp/english/deels/freepass/hakone/)




 

Create Date : 15 มกราคม 2558    
Last Update : 25 มกราคม 2558 14:41:23 น.
Counter : 495 Pageviews.  

PART 5- Day4 : Osaka-Tokyo

       วันนี้เรา 2 คน เดินทางออกจากแถบคันไซ ไปยังแถบคันโต ซึ่งเมืองที่เราไปเที่ยวและพักค้างคืนคงไม่พ้น “โตเกียว” (ครั้งนี้เรา2คนไม่ได้เน้นเที่ยวในตัวเมืองมากนัก เพราะเคยมาโตเกียวกันแล้วรอบหนึ่ง แต่เป็นตอนหน้าร้อน) สองข้างทางจากต้นไม้ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นตึกสูงระฟ้าขื้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นตึกสูงอย่างไร ต้องชื่นชมการวางผังเมืองของญี่ปุ่นที่ยังคงจัดสรรพื้นที่ ให้มีพื้นที่สวนสาธารณะให้ผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจ หรือทำกิจกรรมเป็นครอบครัวได้






รถไฟหัวกระสุน (Shinkansen) ที่นำเรา 2คนมายังโตเกียว


       จาก Osaka-Tokyo ครั้งนี้เรา 2 คนได้ใช้บริการ Shinkansen หรือรถไฟหัวกระสุน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. เรามาถึงที่พักเวลาประมาณ 9.30น. เรานำสัมภาระไปฝากไว้ก่อนที่ Wasabi Guest House จากการจองผ่าน //www.AGODA.com ลงที่สถานี JR Mikawashima

       หากใครอยากหลบหนีความวุ่นวายในโตเกียว Wasabi Guest House ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เกสท์เฮาส์เป็นกึ่ง Business และ Ryokan ที่พักค่อนข้างใหม่ คุ้นๆว่าพึ่งจะเปิดได้ไม่นาน โดย
ชั้น 1 เป็นหอพักหญิง
ชั้น 2 เป็นหอพักชาย
ชั้น 3 เป็นห้องเดี่ยว ซึ่งมีให้เลือกว่าต้องการนอนเตียง หรือแบบเรียวกัง

ข้อดี -จาก JR Mikawashima ไปที่พักใช้เวลาเดินเพียงแค่ประมาณ 2นาที
-มีห้องส่วนกลางให้มานั่งดูโทรทัศน์ หรือทานอาหาร
-มีตู้กดกาแฟ ชา ทั้งเย็นและร้อน ฟรี ตลอด 24 ชม. ที่สำคัญ มีตู้กดซุปมิโซะให้ทานฟรีด้วยค่ะ
-พนักงานที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเลยทีเดียว
-มี Wifi และคอมพิวเตอร์ส่วนกลางให้เล่นฟรี
-ใกล้สนามบินนาริตะ

ข้อเสีย -เนื่องจากเป็น Guesthouse จึงไม่มีพนักงานทำความสะอาดหรือเปลี่ยนผ้าปูรายวัน
-ลิฟต์มีตัวเดียวค่อนข้างแคบ

สรุป ว่าเรา 2คนพอใจกับที่พักแห่งนี้มากๆ




ขออนุญาตนำภาพมาให้ชมจาก //www.facebook.com/guesthousewasabi,www.AGODA.com ค่ะ


       เมื่อฝากของยังที่พักเรียบร้อยแล้ว จุดมุ่งหมายแรกของเราก็คือวัดเซ็นโซจิ(Sensoji Temple) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าวัดอาซากุสะ (Asakusa Temple) เพราะอยู่ในย่านอาซากุสะนั่นเอง เรานั่ง JR Mikawashima มาลงที่Minami Senju แต่ต่อจากนี้แนะนำให้นั่ง Subway เพื่อลงที่สถานี Asakusa จะใกล้ที่สุด



เมื่อเดินตรงเข้าไปจะเห็นกระถางธูปขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าถ้าได้รับควันนี้ติดตัวมาจะโชคดีมีสุข เรา 2คนไม่พลาดที่ยืนเอามืออังควันธูปปัดควันธูปเข้าหาตัวเอง



ร้านขายของที่ระลึกเรียงราย 2ข้างทาง



ศาลเจ้าอาซากุสะ ซึ่งอยู่ติดกับวัดเซ็นโซจิ

       หลังจากถ่ายรูปไปได้พักใหญ่ ท้องก็เริ่มคำราม เราจึงต้องเคลื่อนย้ายตัวเองไปหาอะไรทานตามเสียงเรียกร้องของกระเพาะอาหาร ตลอดทริปที่ผ่านมาจะสังเกตเห็นว่า เราแทบไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องอาหารการกินมากนัก  ไม่ใช่ว่าเราไม่กินกันเลยนะคะ แต่ด้วยความที่เราชอบกินอาหารที่เป็นน้ำๆ สูดแข่งกันได้ดังๆ เช่น อุด้งร้อนๆ โซบะเย็น ดังนั้นเราหากินกันง่ายมากตามสถานีรถไฟ ซึ่งมีร้านอุด้งเต็มไปหมด ได้อารมณ์แบบคนญี่ปุ่นไปอีกแบบ ยืนกินบ้าง นั่งกินบ้าง อร่อยๆสุดไปเลย(อย่าลืมสูดเส้นดังๆเหมือนคนญี่ปุ่นด้วยล่ะ เค้าบอกว่าจะเป็นการลดความร้อนจากเส้นอุด้งแต่เมื่อมาถึงญี่ปุ่นแล้ว จะไม่กินขาปูยักษ์ก็เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง วันนี้เลยขอจัดเต็มสัก 1 มื้อ ลงจากสถานี JR-Tokyo ก็มองหาห้าง Daimaru เพื่อขึ้นไปชั้น 12เพื่อไปยังห้องอาหาร Tokyo Station Buffet ทานได้ 90นาที ถือว่าอาหารใช้ได้เลยทีเดียว ค่าเสียหายตกคนละ 1944 Yen สำหรับมื้อกลางวัน เราทานกันจนพุงกาง พร้อมที่กลิ้งเที่ยวต่อไป -_-



เสียดาย... ที่เราทานกันเพลินจนไม่ได้ถ่ายไลน์อาหารมา

       จากนั้นเราเดินย่อยกันต่อที่ Shibuya – Harajuku – Shinjuku เพื่อไปดื่มด่ำกับบรรยากาศแหล่งชอปปิ้งที่เป็นที่นิยมในญี่ปุ่น (สำหรับ ทริปนี้ จุดมุ่งหมายของเรา คือ ชอปปิ้งที่ตึกม่วง (Takeya) จึงไม่ได้ชอปปิ้งที่ย่านนี้มากนัก)



       รูปปั้นสุนัขยอดกตัญญู ฮาจิโกะ (Hachiko) โดยเรื่องเล่าของเจ้าสุนัขตัวนี้คือในปี ค.ศ. 1924 ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิมยาลัยโตเกียวได้เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์อะกิตะอินุไว้ และตั้งชื่อให้ว่า "ฮาจิ" ซึ่งในตอนเย็นของทุกวัน ฮาจิจะไปรอเจ้าของใกล้ๆกับสถานีรถไฟชิบุยะเป็นเช่นนี้อยู่ทุกวันจนกระทั่งในวันหนึ่งศาสตราจารย์ได้เสียชีวิตไป ทำให้ในวันนั้นเจ้านายของฮาจิไม่ได้กลับไปที่สถานีรถไฟ แต่ถึงเช่นนั้นฮาจิยังคงมารอเจ้านายทุกวันที่สถานีชิบุยะ รอคอยวันกลับมาของเจ้านาย ซึ่งในปัจจุบันฮาจิเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อซัตย์ และจุดนัดพบยอดฮิตอีกด้วย

       เมื่อเสร็จจากย่านชอปปิ้งแล้ว มองจากฟ้าที่มืดลงอย่างรวดเร็วเรานึกว่า20.00น. แต่เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลา 18.30 น. พอดีกับที่แพลนไว้หากเวลาเหลือ ขอลองไปย่าน Odaiba สักหน่อย เพื่อไปชื่นชมบรรยากาศยามค่ำคืนแบบโรแมนติกศึกษาหาข้อมูลได้ความว่าให้ลงสถานี Odaiba-Kaihinkoen พอเรา 2คนลงจากสถานีก็แอบแปลกใจนิดๆว่าทำไมไม่มีคนลงสถานีนี้เลยนะ เดินไปรอบๆก็เห็น RainbowBridge ไกลๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว และไม่เห็นเทพีเสรีภาพจำลองเลยแอบงงกันว่าเค้าถ่ายกันจากมุมไหน เอ๊ะหรือจะปิดปรับปรุง หลังจากเถียงกันอยู่สักครู่เลยตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆตามTokyo Deck ที่เป็นทางเดินยาวไปเรื่อยๆเดินมาไกลมากๆถึงได้เจอสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด รวมถึงเจอนักท่องเที่ยวมากขึ้นและพึ่งถึงบางอ้อว่า นี่เราเดินกันมา 1 สถานีรถไฟกันเลยทีเดียวว่าแล้วทำไมรู้สึกขาสั่นๆ เราค้นพบความจริงว่าควรจะลงที่สถานี Daiba ดีกว่า (แต่หากใครอยากเดินโรแมนติกชมไฟและอ่าวไปเรื่อยๆเหมือนเราพร้อมกับขาอันสั่นเทา ก็ให้ลงที่สถานี Odaiba-Kaihinkoen แล้วเดินมาที่สถานีDaiba นะคะ)และคืนนี้เรา2คน ขอลาไปด้วยภาพ Odaiba ยามค่ำคืนเมืองที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลบริเวณอ่าวโตเกียว หากมีเวลาอย่าลืมลองมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้กันนะคะแล้วอย่าลืมมาเที่ยวกับพวกเราต่อพรุ่งนี้ค่ะ









 

Create Date : 13 มกราคม 2558    
Last Update : 25 มกราคม 2558 14:43:01 น.
Counter : 1633 Pageviews.  

PART 4- Day3 : Osaka-Kyoto(Nijo Castle,Fushimi Temple)-Osaka Castle


       เช้านี้เราไม่ได้ตื่นเช้ามากนักเนื่องจากเพลียกันมาจากเมื่อวาน วันนี้เลยขอพาเพื่อนเที่ยวตามโปรแกรมแบบสบายๆสไตล์เรา2คน เช่นเดิมเรานั่งรถไฟJR Osaka ไปยัง Kyoto สำหรับข้าวนั้นเราซื้อชุดเบ็นโตะตามร้านที่อยุ่ในสถานีขึ้นมาทานในรถไฟถือว่าอร่อยทีเดียวเชียว





       ใช้เวลาในการเดินทางโดย JRจากที่พัก มาถึง JR Nijo ทั้งหมดประมาณ45 นาที จากนั้น เดินต่อมายังประสาท อีก 10-15 นาที (หากใครมีบัตร Subway จะเดินใกล้กว่ามาก) เมื่อมาถึงหากจะเข้าไปชมประสาทด้านในต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่ม (600YEN/คน)


แผนที่การเดินทางจาก JR Nijo – Nijo castle เราได้มาจากนายสถานี JR

ปราสาทนิโจ ปราสาทแห่งมรดกโลก







       จากนั้นเราไปเที่ยวกันต่อที่วัดฟูชิมิอินาริ(Fushimi Inari temple) โดยนั่ง JR Nijo-Inari ใช้เวลาเพียงแค่ 10นาทีเท่านั้น พอเดินขึ้นมาจากสถานีมองไปฝั่งตรงข้ามก็เห็นวัดฟูชิมิอินาริ(FushimiInari temple) ทันที










       ในส่วนของวัดฟูชิมิอินาริ (FushimiInari Temple) หากจะเดินครบทั่วทุกส่วนต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะสามารถเดินขึ้นเขาด้านหนึ่งแล้ววนไปลงอีกด้านหนึ่งได้เลย โดยระหว่างทางเดินมีเสาโทโอริตลอด2ข้างทาง 
       เราออกจากวัดฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Temple)ไม่เกินบ่าย 2 เพื่อนั่ง JR กลับมายัง Osakaอีกครั้ง จากนั้นไปเที่ยวยังปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) (ค่าเข้าชม 600YEN/คน) รอบๆปราสาทโอซาก้า(Osaka Castle)  เป็นสวนสาธารณะ ซึ่งเราสามารถปั่นจักรยานชมสวนรอบๆได้ หากใครอยากชมการแสดงซามูไรหรือว่าจะแต่งตัวในชุดซามูไร แล้วถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกก็มีไว้บริการ แต่ทั้งนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยค่ะเรานั่งท้าลมหนาวเพื่อเก็บทุกมุมของปราสาทโอซาก้า(Osaka Castle)  ตั้งแต่ยามบ่าย โพล้เพล้จนพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับซึมซับบรรยากาศความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ไว้ หากใครอยากทำแบบเราสามารถนำไปใช้ได้เลยค่ะ ได้ความโรแมนติกไปอีกแบบ (ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะคะ)


บรรยากาศยามบ่าย ท่ามกลางอากาศเย็นๆ ณ สวนสาธารณะรอบปราสาทโอซาก้า 




ก่อนพาไปชมปราสาทโอซาก้าพาเพื่อนๆไปชมกำแพงกันก่อนว่าสวยแค่ไหน


สะพานสู่ปราสาทโอซาก้า ซึ่งหากยืนตรงจุดนี้จะได้ยินเพลงบรรเลงเพราะๆยิ่งเพิ่มอรรถรสถึงความยิ่งใหญ่ของตัวปราสาทมากยิ่งขึ้นอีก







หลังจากเราชื่นชมความยิ่งใหญ่จนหนำใจแล้วเราก็กลับไปหาอะไรกิน และเดินเล่นยังย่านโดทงโบริอีกครั้ง (Dotonbori)


TIPS: หากใครชอบแช่ Onsenอย่าลืมนึกถึง Spaworld และหากยิ่งเลือกที่พักแถวShin-immamiya  สามารถเดินจากสถานีไปได้เลย สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.spaworld.co.jp




 

Create Date : 13 มกราคม 2558    
Last Update : 25 มกราคม 2558 14:38:48 น.
Counter : 1146 Pageviews.  

1  2  

Journey of Hearts
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Journey of Hearts's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.