"If life is a journey,my destination is our heart"
Group Blog
 
All Blogs
 
PART 5- Day4 : Osaka-Tokyo

       วันนี้เรา 2 คน เดินทางออกจากแถบคันไซ ไปยังแถบคันโต ซึ่งเมืองที่เราไปเที่ยวและพักค้างคืนคงไม่พ้น “โตเกียว” (ครั้งนี้เรา2คนไม่ได้เน้นเที่ยวในตัวเมืองมากนัก เพราะเคยมาโตเกียวกันแล้วรอบหนึ่ง แต่เป็นตอนหน้าร้อน) สองข้างทางจากต้นไม้ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นตึกสูงระฟ้าขื้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นตึกสูงอย่างไร ต้องชื่นชมการวางผังเมืองของญี่ปุ่นที่ยังคงจัดสรรพื้นที่ ให้มีพื้นที่สวนสาธารณะให้ผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจ หรือทำกิจกรรมเป็นครอบครัวได้






รถไฟหัวกระสุน (Shinkansen) ที่นำเรา 2คนมายังโตเกียว


       จาก Osaka-Tokyo ครั้งนี้เรา 2 คนได้ใช้บริการ Shinkansen หรือรถไฟหัวกระสุน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. เรามาถึงที่พักเวลาประมาณ 9.30น. เรานำสัมภาระไปฝากไว้ก่อนที่ Wasabi Guest House จากการจองผ่าน //www.AGODA.com ลงที่สถานี JR Mikawashima

       หากใครอยากหลบหนีความวุ่นวายในโตเกียว Wasabi Guest House ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เกสท์เฮาส์เป็นกึ่ง Business และ Ryokan ที่พักค่อนข้างใหม่ คุ้นๆว่าพึ่งจะเปิดได้ไม่นาน โดย
ชั้น 1 เป็นหอพักหญิง
ชั้น 2 เป็นหอพักชาย
ชั้น 3 เป็นห้องเดี่ยว ซึ่งมีให้เลือกว่าต้องการนอนเตียง หรือแบบเรียวกัง

ข้อดี -จาก JR Mikawashima ไปที่พักใช้เวลาเดินเพียงแค่ประมาณ 2นาที
-มีห้องส่วนกลางให้มานั่งดูโทรทัศน์ หรือทานอาหาร
-มีตู้กดกาแฟ ชา ทั้งเย็นและร้อน ฟรี ตลอด 24 ชม. ที่สำคัญ มีตู้กดซุปมิโซะให้ทานฟรีด้วยค่ะ
-พนักงานที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเลยทีเดียว
-มี Wifi และคอมพิวเตอร์ส่วนกลางให้เล่นฟรี
-ใกล้สนามบินนาริตะ

ข้อเสีย -เนื่องจากเป็น Guesthouse จึงไม่มีพนักงานทำความสะอาดหรือเปลี่ยนผ้าปูรายวัน
-ลิฟต์มีตัวเดียวค่อนข้างแคบ

สรุป ว่าเรา 2คนพอใจกับที่พักแห่งนี้มากๆ




ขออนุญาตนำภาพมาให้ชมจาก //www.facebook.com/guesthousewasabi,www.AGODA.com ค่ะ


       เมื่อฝากของยังที่พักเรียบร้อยแล้ว จุดมุ่งหมายแรกของเราก็คือวัดเซ็นโซจิ(Sensoji Temple) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าวัดอาซากุสะ (Asakusa Temple) เพราะอยู่ในย่านอาซากุสะนั่นเอง เรานั่ง JR Mikawashima มาลงที่Minami Senju แต่ต่อจากนี้แนะนำให้นั่ง Subway เพื่อลงที่สถานี Asakusa จะใกล้ที่สุด



เมื่อเดินตรงเข้าไปจะเห็นกระถางธูปขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าถ้าได้รับควันนี้ติดตัวมาจะโชคดีมีสุข เรา 2คนไม่พลาดที่ยืนเอามืออังควันธูปปัดควันธูปเข้าหาตัวเอง



ร้านขายของที่ระลึกเรียงราย 2ข้างทาง



ศาลเจ้าอาซากุสะ ซึ่งอยู่ติดกับวัดเซ็นโซจิ

       หลังจากถ่ายรูปไปได้พักใหญ่ ท้องก็เริ่มคำราม เราจึงต้องเคลื่อนย้ายตัวเองไปหาอะไรทานตามเสียงเรียกร้องของกระเพาะอาหาร ตลอดทริปที่ผ่านมาจะสังเกตเห็นว่า เราแทบไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องอาหารการกินมากนัก  ไม่ใช่ว่าเราไม่กินกันเลยนะคะ แต่ด้วยความที่เราชอบกินอาหารที่เป็นน้ำๆ สูดแข่งกันได้ดังๆ เช่น อุด้งร้อนๆ โซบะเย็น ดังนั้นเราหากินกันง่ายมากตามสถานีรถไฟ ซึ่งมีร้านอุด้งเต็มไปหมด ได้อารมณ์แบบคนญี่ปุ่นไปอีกแบบ ยืนกินบ้าง นั่งกินบ้าง อร่อยๆสุดไปเลย(อย่าลืมสูดเส้นดังๆเหมือนคนญี่ปุ่นด้วยล่ะ เค้าบอกว่าจะเป็นการลดความร้อนจากเส้นอุด้งแต่เมื่อมาถึงญี่ปุ่นแล้ว จะไม่กินขาปูยักษ์ก็เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง วันนี้เลยขอจัดเต็มสัก 1 มื้อ ลงจากสถานี JR-Tokyo ก็มองหาห้าง Daimaru เพื่อขึ้นไปชั้น 12เพื่อไปยังห้องอาหาร Tokyo Station Buffet ทานได้ 90นาที ถือว่าอาหารใช้ได้เลยทีเดียว ค่าเสียหายตกคนละ 1944 Yen สำหรับมื้อกลางวัน เราทานกันจนพุงกาง พร้อมที่กลิ้งเที่ยวต่อไป -_-



เสียดาย... ที่เราทานกันเพลินจนไม่ได้ถ่ายไลน์อาหารมา

       จากนั้นเราเดินย่อยกันต่อที่ Shibuya – Harajuku – Shinjuku เพื่อไปดื่มด่ำกับบรรยากาศแหล่งชอปปิ้งที่เป็นที่นิยมในญี่ปุ่น (สำหรับ ทริปนี้ จุดมุ่งหมายของเรา คือ ชอปปิ้งที่ตึกม่วง (Takeya) จึงไม่ได้ชอปปิ้งที่ย่านนี้มากนัก)



       รูปปั้นสุนัขยอดกตัญญู ฮาจิโกะ (Hachiko) โดยเรื่องเล่าของเจ้าสุนัขตัวนี้คือในปี ค.ศ. 1924 ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิมยาลัยโตเกียวได้เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์อะกิตะอินุไว้ และตั้งชื่อให้ว่า "ฮาจิ" ซึ่งในตอนเย็นของทุกวัน ฮาจิจะไปรอเจ้าของใกล้ๆกับสถานีรถไฟชิบุยะเป็นเช่นนี้อยู่ทุกวันจนกระทั่งในวันหนึ่งศาสตราจารย์ได้เสียชีวิตไป ทำให้ในวันนั้นเจ้านายของฮาจิไม่ได้กลับไปที่สถานีรถไฟ แต่ถึงเช่นนั้นฮาจิยังคงมารอเจ้านายทุกวันที่สถานีชิบุยะ รอคอยวันกลับมาของเจ้านาย ซึ่งในปัจจุบันฮาจิเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อซัตย์ และจุดนัดพบยอดฮิตอีกด้วย

       เมื่อเสร็จจากย่านชอปปิ้งแล้ว มองจากฟ้าที่มืดลงอย่างรวดเร็วเรานึกว่า20.00น. แต่เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลา 18.30 น. พอดีกับที่แพลนไว้หากเวลาเหลือ ขอลองไปย่าน Odaiba สักหน่อย เพื่อไปชื่นชมบรรยากาศยามค่ำคืนแบบโรแมนติกศึกษาหาข้อมูลได้ความว่าให้ลงสถานี Odaiba-Kaihinkoen พอเรา 2คนลงจากสถานีก็แอบแปลกใจนิดๆว่าทำไมไม่มีคนลงสถานีนี้เลยนะ เดินไปรอบๆก็เห็น RainbowBridge ไกลๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว และไม่เห็นเทพีเสรีภาพจำลองเลยแอบงงกันว่าเค้าถ่ายกันจากมุมไหน เอ๊ะหรือจะปิดปรับปรุง หลังจากเถียงกันอยู่สักครู่เลยตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆตามTokyo Deck ที่เป็นทางเดินยาวไปเรื่อยๆเดินมาไกลมากๆถึงได้เจอสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด รวมถึงเจอนักท่องเที่ยวมากขึ้นและพึ่งถึงบางอ้อว่า นี่เราเดินกันมา 1 สถานีรถไฟกันเลยทีเดียวว่าแล้วทำไมรู้สึกขาสั่นๆ เราค้นพบความจริงว่าควรจะลงที่สถานี Daiba ดีกว่า (แต่หากใครอยากเดินโรแมนติกชมไฟและอ่าวไปเรื่อยๆเหมือนเราพร้อมกับขาอันสั่นเทา ก็ให้ลงที่สถานี Odaiba-Kaihinkoen แล้วเดินมาที่สถานีDaiba นะคะ)และคืนนี้เรา2คน ขอลาไปด้วยภาพ Odaiba ยามค่ำคืนเมืองที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลบริเวณอ่าวโตเกียว หากมีเวลาอย่าลืมลองมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้กันนะคะแล้วอย่าลืมมาเที่ยวกับพวกเราต่อพรุ่งนี้ค่ะ









Create Date : 13 มกราคม 2558
Last Update : 25 มกราคม 2558 14:43:01 น. 0 comments
Counter : 1633 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Journey of Hearts
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Journey of Hearts's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.