Bangkok Home Review, Interior, Design, Decoration, & Etc.
28อสังหาฯยอดทะลุแสนล. ถึงยุค"ปลาใหญ่กินปลาเล็ก"


28 บริษัทอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ฯ กวาดยอดขายปีที่แล้วถึง 1.1 แสนล้าน โตสวนกระแสจากปีก่อน 7.8% นักวิชาการชี้เข้าสู่ยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กเต็มตัว เผย 8 บิ๊กแบรนด์ทำยอดขายสูงสุด ครองส่วนแบ่งตลาด 82% ส่วนรายกลางยอดขายวูบ "ศุภาลัย-แสนสิริ" ใจยังสู้ คาดผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ไปโลด



 



ศ.ดร.บัณฑิต จุลาสัย คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รอบปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากแรงกดดันทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจเช่นเดียวกับธุรกิจอื่น แต่ในการสำรวจผลประกอบการบริษัทพัฒนาที่ดินในตลาดหลักทรัพย์ฯปี 2551 ที่ผ่านมา กลับพบว่าผลประกอบการปีที่ผ่านมาถือว่าดี มีอัตราขยายตัวต่อเนื่องจาก ปี 2550 สวนทางกับราคาหุ้นที่ลดต่ำลงตามสถานการณ์บ้านเมืองและเศรษฐกิจ โดยบริษัทพัฒนาที่ดินมหาชนทั้ง 28 บริษัทมีรายได้รวมกัน 114,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% จากปี 2550 ที่มียอดรายได้รวม 106,470.13 ล้านบาท



จากการสำรวจยังพบว่าบริษัทอสังหาฯที่มีรายได้เพิ่มขึ้น อาทิ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ฯลฯ ส่วน บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท บมจ.เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง มีรายได้รวมลดลงเล็กน้อย และ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ บมจ.เอเวอร์แลนด์ บมจ.รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ เป็น 3 บริษัทที่มีรายได้รวมลดลงเกือบ 50% ซึ่งอาจสะท้อนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังอยู่ในยุค "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก"



คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์กล่าวต่อว่า สำหรับบริษัทอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีผลประกอบการปีที่ผ่านมาสูงสุด 8 อันดับแรก ได้แก่ 1.บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด แม้ว่ารายได้รวมปีที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงเป็นบริษัทที่มียอดขายสูงสุด มีรายได้ 16,008 ล้านบาท ลดลง 19.3% จากปีก่อนที่ทำได้ 19,837 ล้านบาท 2.บมจ.แสนสิริ มีรายได้ 15,177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.28%



3.บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท มีรายได้รวม 13,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.35% 4.บมจ.ควอลิตี้เฮาส์ มีรายได้รวม 10,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 5.บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ มีรายได้รวม 9,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% 6.บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ มีรายได้รวม 7,303 ล้านบาท 7.บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 6,333 ล้านบาท และ 8.บมจ.ศุภาลัย 6,241 ล้านบาท ทั้ง 3 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย



ที่น่าสนใจคือบริษัทอสังหาฯที่มีรายได้รวมสูงสุดทั้ง 8 ราย มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันสูงถึง 82.66% หรือ 94,874 ล้านบาท ของรายได้รวมทุกบริษัทรวมกัน ซึ่งหมายความว่า 21 บริษัทที่เหลือล้วนเป็นบริษัทขนาดเล็ก มีรายได้รวมกันแค่ 20% ของทั้งตลาด และจากตัวเลขดังกล่าว วิเคราะห์ได้ว่าตลาดอสังหาฯไทยในปัจจุบันอยู่ในมือของผู้ประกอบการรายใหญ่



"ธุรกิจอสังหาฯในอนาคตคงคล้ายกับสินค้าอุปโภค-บริโภคที่บริษัทยักษ์ใหญ่สามารถยึดครองตลาดไว้ได้ ยกตัวอย่างแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ควอลิตี้เฮาส์ เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติกัน ที่รายได้ของทั้ง 3 บริษัทรวมกันแล้วสูงถึงเกิน 3 หมื่นล้านบาท"



สำหรับในปี 2552 ธุรกิจอสังหาฯยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยลบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อ "มู้ด" (อารมณ์) คนซื้อบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้การตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ของผู้ประกอบการจัดสรรบางรายถึงขนาดไม่กล้าวางเป้าเติบโตขึ้น แต่ก็ยังมีบริษัทพัฒนาที่ดินบางกลุ่มที่มองสภาพตลาดที่อยู่อาศัยเป็นบวก เพราะเชื่อว่าตลาดยังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่องเพราะที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต สังเกตได้จากยอดขายรวมไตรมาสแรกปีนี้ที่เริ่มทยอยออกมาดีเกินคาด



"ศุภาลัย-แสนสิริ" เชื่อไตรมาสแรกปีนี้ดี



นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/52 ตัวเลขน่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะตลาดที่อยู่อาศัยยังมีปัจจัยบวกเรื่องของราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวลง และรวมถึงมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ จึงทำให้ไม่รู้สึกกังวลกับความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้มองว่าปัจจัยลบต่างๆ จะไม่กระทบต่อกลุ่มลูกค้าคนไทยมากนัก ยกเว้นลูกค้ากลุ่มต่างชาติ หรือกลุ่มที่ซื้อไว้เพื่อเป็นบ้านพักหลังที่สองอาจชะลอการตัดสินใจไปก่อน



นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกแสนสิริมียอดขายรวม 6,100 ล้านบาท ถือเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท โดยยอดขายหลักๆ ประมาณ 60% จะมาจากคอนโดฯ 3 โครงการ ได้แก่ แบรนด์ควอทโทร บาย แสนสิริ, บลอคส์ 77 และเดอะ เวอร์ติคัล อารีย์ ประเมินว่าปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขายดีกว่าที่คาด มาจากกำลังซื้อส่วนหนึ่งที่อั้นไว้เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์บ้านเมืองช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่วนอีก 3 ไตรมาสที่เหลือบริษัทจะจัดกิจกรรมใหม่ๆ พร้อมกับเปิดขายโครงการใหม่อีก 7 โครงการ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 5 โครงการ และทาวน์เฮาส์อีก 2 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท



โดยบริษัทมั่นใจว่าจะทำยอดขายปีนี้ได้ตามเป้า 17,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดพรีเซลแบ็กล็อกรอทยอยรับรู้รายได้ (ส่งมอบบ้าน) แล้ว 18,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้คาดว่าจะสามารถรับรู้ภายในปีนี้ 12,600 ล้านบาท หรือ 76% ของยอดพรีเซลแบ็กล็อกปัจจุบัน






Create Date : 24 เมษายน 2552
Last Update : 24 เมษายน 2552 7:09:57 น. 1 comments
Counter : 622 Pageviews.

 
ขอบคุณครับ


โดย: นายแว่นธรรมดา วันที่: 24 เมษายน 2552 เวลา:14:41:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

High Bridge
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add High Bridge's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.