แหล่งกบดาน

[Books] เซเปียนส์: ประวัติย่อมนุษยชาติ - Yuval Noah Harari



"เราไม่มีทางจะชักจูงลิงให้ยกกล้วยให้เรา
โดยสัญญาว่าจะมีกล้วยให้กินไม่หมดสิ้นบนสวรรค์ของลิงหลังจากมันตายไปแล้ว"




เซเปียนส์: ประวัติย่อมนุษยชาติ - Yuval Noah Harari


ติดท็อปเท็นของเราในปีนี้แน่นอน เล่มนี้กระแสแรงมากอยุ่พักหนึ่ง ได้อ่านแล้วก็เข้าใจ มันสนุกมากจริงๆแหละ

เนื้อหาคือประวัติย่อของมนุษยชาติ ตั้งแต่วิวัฒนาการจากวานร เริ่มใช้เทคโนโลยี สร้างสังคม มีศาสนา ประเทศ เศรษฐกิจ ไปจนถึงบริโภคนิยม และอภิมนุษย์ ถือว่าหลักๆเก็บได้ค่อนข้างครบ จุดเด่นอยู่ที่การอธิบายเรื่องยากๆให้เข้าใจง่ายและชวนคิด สำนวนแปลดีงาม อ่านลื่น อ่านไว เนื้อหาที่ถูกใจเยอะจนหมดที่คั่นเป็นโหลๆ

คร่าวๆสิ่งที่ได้เรียนรู้คือ เราเป็น สปีชีส์แห่งผู้เล่า เป็นนักศรัทธาในจินตนาการ เป็นเผ่าพันธุ์ที่ร่วมมือกับสมาชิกแปลกหน้าได้นับไม่ถ้วน เป็นเจ้าแห่งการสร้างสรรค์เชื่อมโยง เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เป็นหายนะภัยทางนิเวศวิทยาของอาณาจักรสัตว์ เป็นสปีชีส์ที่โหดร้ายที่สุดในบันทึกประวัติศาสตร์ด้านชีววิทยา และอาจเป็นพระเจ้าได้ในอนาคต

หนังสือแบ่งเป็น 4 ส่วนหลักคือ

1. ปฏิวัติการรับรู้ (วิวัฒนาการ)
2. ปฏิวัติเกษตรกรรม (ที่ผู้เขียนบอกว่าเป็นความผิดพลาดมหัตมหันต์)
3. การรวมเป็นหนึ่ง (เงินตรา จักรวรรดิ ศาสนา)
4. ปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (ทุนนิยม อุตสาหกรรม)

ส่วนแรกสนุกมาก อาจจะเพราะชอบแนวนี้อยู่แล้ว เลยอ่านจบไวเป็นพิเศษ เนื้อหาไม่ค่อยต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆที่เคยอ่าน แต่ย่อยได้ดี เข้าใจง่าย พูดถึงส่วนนี้น้อย แต่บอกเลยว่าปลื้มที่สุดในหนังสือ

ส่วนที่สองก็พลิกความคิดได้สนุก แต่แอบคิดว่าคนเขียนโปรสมัยไล่ล่าหาเก็บมากๆๆๆ และมองเกษตรกรรมเป็นเรื่องชั่วร้าย บางหัวข้อก็เน้นความคิดส่วนตัวมากกว่าข้อเท็จจริง แต่ก็ยังอ่านเพลินอยู่ เพราะคนเขียนเล่าเป็นเรื่องเป็นราว

ส่วนที่สามเป็นอะไรที่ธรรมดาแต่เฮฮา ขำบทเงินตราเป็นพิเศษ คนเขียนอธิบายเศรษฐศาสตร์ได้ง่ายดี ไม่ว่าใครก็ยอมรับเงินของพวกนอกรีต คนไม่ลงรอยก็ยังเชื่อในระบบเงินตราร่วมกันได้ ชอบคำพูดนี้ "ศาสนาสอนให้เราเชื่อบางอย่าง แต่เงินตราขอให้เราเชื่อในเรื่องบางอย่างที่คนอื่นเชื่อ"

บทจักรวรรดิเหมือนเล่าประวัติศาสตร์ อารยธรรมทั้งหลาย บทศาสนาแจกแจงได้เห็นภาพ โดยเฉพาะที่เล่าว่าไม่ว่าศาสนาไหน นานๆไปก็เป็นกล้องสลับลายของเอกเทวนิยม พหุเทวนิยม และทวินิยม (เช่น คริสต์มีพระเจ้า มีนักบุญ และมีซาตาน) คนเขียนพูดถึงพุทธได้ค่อนข้างดี ไม่เป๋เหมือนฝรั่งหลายคน

ส่วนที่สี่ดร็อปไปนิด แต่ก็ไม่เลว ประเด็นหลักคือบอกว่าปฏิวัติวิทยาศาสตร์คือการค้นพบความไม่รู้ ส่วนที่เป็นมานุษยวิทยาเรามีมึนไปบ้าง (เอ๊ะ หรือว่ามันคือบางส่วนของ 3 จำไม่ได้แล่ว) แต่ยอมรับว่าอธิบายเรื่องการเหยียดและอคติแบ่งแยกได้น่าสนใจ

จุดหนึ่งที่เราชอบมากในหนังสือคือ คนเขียนไล่ตีมายาคติทั้งหลาย ให้เราคิดทั้งด้านมืดด้านสว่าง เช่น

- ในทางชีววิทยา ไม่มีสิ่งใดเลยที่ "ผิดธรรมชาติ"
- วัฒนธรรม "ที่แท้"
- การซุบซิบนินทาทำให้สังคมเข้มแข็งขึ้น
- จักรวรรดิชั่วร้ายจริงหรือ
- ศาสนาทำให้มนุษยชาติแตกแยก?
- "มนุษยนิยม" เป็นคนละเรื่องกับที่เราคิดไว้
- ลำดับชนชั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
- การทำตามความฝันที่ใจอยาก (เป็นแค่ตำนานโรแมนติกนิยม + บริโภคนิยม)
- ความสุขคืออะไร (เห็นด้วยมากๆที่บอกว่า ความสุขยุคนี้ถูกกำหนดด้วยสื่อสารมวลชนและโฆษณา)
- สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ปัจเจกชน เป็นเรื่องประดิษฐ์ ดำรงอยู่ในจินตนาการของมนุษย์ เราหลอกตัวเองเพื่อให้สังคมอยู่ได้



ภาพประกอบในเล่มเป็นขาวดำ มีมากมาย น่าสนใจทั้งนั้น ภาพ ถ้ำมือ ที่อาร์เจนตินา ทรงพลังมาก แล้วก็ติดใจภาพโครงกระดูกผุ้หญิงอายุ 50 ปี นอนเคียงข้างกับโครงกระดุกลูกสุนัข มือซ้ายวางอยู่บนตัวน้องหมา คำอธิบายภาพบอกว่า ภาพนี้สะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึก ประมาณสุนัขคือเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ แต่ต่อจากนั้นก็บอกว่า หรือไม่ลูกหมานั่นอาจจะเป็นของขวัญสำหรับผู้พิทักษ์ประตูสู่โลกหน้าก็ได้ ^^



ส่วนที่ติมีแน่ อย่างที่บอก เราคิดว่าตรรกะบางส่วนออกเหมารวมไปหน่อย หลายตอนก็ลำเอียงชัดๆ คนเขียนพูดแต่แง่ที่ตรงกับความคิดตัวเอง บางเรื่องยกขึ้นมาแล้วก็ไม่มีบทสรุป นำเสนอแต่ทฤษฎีกว้างๆ และบางส่วนเราก็ไม่เห็นด้วยเอาเสียเลย เช่น เราไม่คิดว่ามียุคไหนที่ดีทีสุด แต่ละยุคสมัยมีความสุขในแบบของตัวเอง เรายังมีความหวังกับอนาคต เรารุ้ว่าเทคโนโลยีใหม่ๆมีความเสี่ยง แต่ก็มีส่วนที่ดีด้วย ถึงแม้คนเขียนจะนำเสนอแต่ความคิดในส่วนที่น่ากลัวเป็นหลัก การปิดเล่มจึงไม่ค่อยมีอิมแพ็คสำหรับเรา

ถึงงั้นก็ยังคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีมากนะ ข้อมูลมากมายขนาดนี้ แต่ผูกร้อยเรียบเรียงได้เป็นเรื่องราว ส่วนแรกอ่านเพลินจริงๆ ส่วนอื่นๆก็ทำให้เราคิดหลายอย่าง แม้แต่ส่วนที่ไม่เห็นด้วย เราก็ชื่นชมที่เค้าอธิบายข้อโต้แย้งของตัวเองได้เข้าใจง่าย

อย่างไรก็ตาม ความที่มันเป็น "ประวัติศาสตร์ย่อ" คนเขียนเลยไม่ได้ลงลึก ถ้าคนอ่านเชี่ยวด้านไหน อ่านเล่มนี้ก็อาจจะเบื่อในบทนั้นๆ เช่น นักประวัติศาสตร์กับมานุษยวิทยาคงหาวหวอดกับส่วนที่ 2 และ 3 ในขณะที่เราเป็นผู้ศึกษาเริ่มต้นในทุกหัวข้อของหนังสือ (ส่วนที่เราเรียนมา คนเขียนเอ่ยถึงน้อยมาก 555) เลยกลายเป็นอ่านได้อย่างเพลิดเพลิน

ปิดท้าย หนังสือบางครั้งก็บอกตัวตนของนักเขียน เล่มนี้เราอ่านแล้วรู้สึกว่าคนเขียนอาจจะเป็นวีแกน และนับถือพุทธ หรือไม่ก็ใฝ่ทางพุทธ อ่านจบไปค้นข้อมูล พบว่าถูกข้อแรก และใกล้เคียงในข้อสอง (ชอบนั่งสมาธิ นับถืออาจารย์เซ็น)

4.5 ดาว

---
ตอบโจทย์บิงโก:
เล่มเดียวจบ, หนังสือในกระแส, ชื่อขึ้นต้น ป, >400 หน้า


เครดิตภาพ
https://blogs.timesofisrael.com/mans-best-friend/
https://vamospanish.com/the-cave-of-hands/




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2562   
Last Update : 8 พฤษภาคม 2562 11:08:37 น.   
Counter : 4785 Pageviews.  

[Books] เก็บกระเป๋าไปดาวอังคาร (Packing For Mars) - Mary Roach

"ใช่ เราอาจใช้เงินบนโลกดีกว่า แต่มันดีกว่าจริงไหม
เงินที่ประหยัดจากขั้นตอนราชการ ถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษาและการวิจัยเรื่องมะเร็งเมื่อไหร่กัน
มันถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองเสมอมา
ไปเปลืองเงินบางส่วนบนดาวอังคารกันเถอะ
ออกไปเล่นข้างนอกกัน"




เก็บกระเป๋าไปดาวอังคาร (Packing For Mars) - Mary Roach


สนุกมาก อ่านเพลินไม่น่าเบื่อ คนเขียนอารมณ์ขันเหลือเฟือเหมือนเคย และฝีมือแปลก็ฉกาจไม่แพ้กัน

ถึงหนังสือจะมีชื่อดาวอังคารปะหรา แต่เนื้อหาของจริงมันคือ "สารพัดเรื่องราวเฮฮาและโหยไห้ในประวัติศาสตร์การสำรวจอวกาศของมนุษย์" ดาวอังคารเป็นแค่กิมมิคล่อนักอ่านให้ซื้อหนังสือเท่านั้น

แต่ไม่ต้องเป็นห่วง แค่นี้ก็สนุกมากแล้ว ผู้เขียนเล่าถึงโครงการอวกาศต่างๆ ตั้งแต่

การคัดเลือกนักบินอวกาศ - ติงต๊องกว่าที่คิดมาก แต่ก็มีเหตุผลรองรับแหละ มีให้พับนกกระเรียนพันตัวด้วย

การฝึกฝนและเตรียมความพร้อม - พวกนักวิทยาศาสตร์คิดกันละเอียดมาก เช่น คลื่นเสียงจะทำให้มนุษย์อวกาศกลายเป็นแยมไหม อยู่ในอวกาศนานๆสุขภาพจิตจะเป็นยังไง เมื่อไม่มีแรงโน้มถ่วงมีดบาดแล้วจะเลือดจะหยุดไหลได้หรือเปล่า ลูกตาจะเปลี่ยนรูปไหม ฯลฯ

สัตว์ต่างๆในโครงการอวกาศ - ชื่อบทน่ารักมาก ก้าวขนดกเล็กๆของมวลมนุษยชาติ อ่านๆไปรู้สึกน่าสงสาร แต่ก็ขำขันหลายเรื่อง เช่น นักวิทยาศาสตร์ต้องหาวิธีป้องกันชิมแปนซีไม่ให้ช่วยตัวเองในวันแถลงข่าว การคิดหางานฝังศพ "อย่างสมเกียรติ"

ชีวิตของนักบินอวกาศ - ที่สวยหรูสัก 10% ที่เหลือเป็นความไร้ศักดิ์ศรีและไม่สง่างามในเรื่องบ้าบอนานาประการ เพราะร่างกายมนุษย์เราถูกสร้างมาให้อยู่บนโลกที่มีแรงโน้มถ่วงและทรัพยากรธรรมชาติ พอขึ้นไปบนอวกาศ มนุษย์เรากลายเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องบ้าง เมาการเคลื่อนที่บ้าง กลิ่นกับเชื้อราที่เกิดจากการไม่ได้อาบน้ำ อุปกรณ์ที่ถูกคิดค้นเพื่อต่อสู้กับความงี่เง่าของกลไกมนุษย์ก็ไม่ค่อยจะสมบูรณ์แบบ เช่น ถุงยางที่ใช้สวมสำหรับฉี่หลุดจนเปียกเลอะเทอะ ความล้มเหลวของการผลิตโค้กให้นักบินอวกาศ แต่ที่เราว่าอ่านแล้วขำที่สุดคือเรื่องอาหาร และอึ +การตด ^^ บทสนทนาระหว่างนักบินอวกาศกับศูนย์ควบคุมเป็นอะไรที่ฮามาก

การทดลองต่างๆสำหรับการใช้ชีวิตในอวกาศในระยะยาว - เพราะกว่าจะเดินทางถึงดาวอังคารต้องใช้เวลามาก ทั้งเรื่องการนอนไม่ลุก การมีเซ็กซ์ในอวกาศ การรีไซเคิลแบบสุดขั้ว (กรองฉี่มาดื่ม, กินเสื้อผ้า, เอาอึมาทำฉนวนกันความร้อน)

อย่าพลาดอ่านเชิงอรรถของผู้เขียน ส่วนใหญ่เป็นเกร็ดตลกๆ หรือคุณคนเขียนนั่นแหละที่ทำให้มันตลก ส่วนนี้แอบรู้สึกว่าคุณคนเขียนคล้ายคุณมนันยาหน่อยๆ (ไม่รู้จักทั้งคู่ แค่ความรู้สึกน่ะ) คืออารมณ์ขันที่จิกนิดๆ ถล่มตัวหน่อยๆ แฝงด้วยลูกบ้าน้อยๆ ในมุมมองที่คิดตามแล้วต้องยิ้ม

ชอบตอนจบที่งผู้เขียนพูดถึง "ความคุ้มค่า" ของการไปดาวอังคาร แล้วอ้างถึงทัศนะของเบนจามิน แฟรงคลิน ตอนที่มีการทดลองบินโดยมนุษย์ครั้งแรก โดยใช้บอลลูน มีคนไปถามแฟรงคลินว่าเห็นประโยชน์อะไรักับเรื่องคะนองแบบนี้ แฟรงคลินตอบว่า "อะไรคือประโยชน์ของทารกแรกเกิดล่ะ"

4 ดาว




 

Create Date : 10 เมษายน 2562   
Last Update : 15 พฤษภาคม 2562 15:59:26 น.   
Counter : 3267 Pageviews.  

[Books] Jane Doe - Victoria Helen Stone


“Maybe I should get a cat.
The thought invades my head fully formed and utterly obvious.
A cat. Another little sociopath
to curl up beside me at night and keep me warm.”




Jane Doe - Victoria Helen Stone


เป็นนิยายล้างแค้นที่สนุกโอเคเลย แทบจะอ่านรวดเดียวจบ แนะนำๆ

เรื่องเล่าผ่านมุมมองของเจน ตัวเอก ผู้เป็นโรคจิตชนิดต่อต้านสังคม (sociopath) เจนไม่ได้ไปหาหมอ แต่ศึกษาอาการเองแล้วคิดว่าใช่ (ซึ่งทำให้เราคิดว่าอาการเธออาจจะไม่ได้รุนแรงมากนัก) เธอมีความสุขกับชีวิตของตัวเองดี ถึงจะไม่เข้าใจชาวบ้านเท่าไหร่ แต่เธอแสดงละครเก่ง และความไม่แคร์ใครบวกกับไร้ความละอายใจ ทำให้การงานยิ่งก้าวหน้า

แต่คนเป็น sociopath ไม่ได้ไร้ชีวิตจิตใจเสียทีเดียว เจนมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง นั่นคือเธอมีเพื่อนผู้หญิงที่เธอรักมาก อย่างที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ และเพื่อนที่เหมือนแสงสว่างในชีวิตเธอคนนี้เกิดมาฆ่าตัวตาย...เพราะผู้ชายคนหนึ่ง

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของแผนแก้แค้นของเจน เธอลางานที่มาเลเซียกลับมาอเมริกา แล้วไปรับตำแหน่งต๊อกต๋อยเป็นพนักงานคีย์ข้อมูลที่บริษัทที่ผู้ชายคนนั้นทำงานอยู่ เพื่อศึกษาว่าต้องทำยังไงถึงจะทำลายชีวิตหมอนั่นได้สาสมกับที่ทำร้ายเพื่อนเธอ

เจนไม่เคยฆ่าใคร แต่เธอไม่ถือสาที่ผู้ชายคนนี้จะเป็นรายแรก และเธอเตรียมแผนและทางหนีทีไล่ไว้เรียบร้อย

อ่านแล้วลุ้นดีว่าเจนจะจัดการหมอนั่นยังไง จะฆ่าเมื่อไหร่วิธีไหน คนเขียนกระตุ้นความโกรธของเจน (และของคนอ่าน) ต่อผู้ชายคนนั้นเป็นระยะๆ และเน้นถึงความบัดซบของความสัมพันธ์ที่ผู้ชายเอาแต่ทำลายความมั่นใจและศักดิ์ศรีของผู้หญิง ความที่เล่าจากมุมมองของเจนเลยยิ่งสนุกมาก เวลาหมอนั่นถามคำถาม เจนก็จะคิดว่า จะตอบ เยส หรือโน ถึงจะทำให้อีกฝ่ายพอใจมากกว่า บางทีก็เป็นการวิเคราะห์ว่าหมอนั่นพูดจายังไงให้ผู้หญิงรู้สึกด้อยค่าและเป็นฝ่ายผิด

มันทำให้ถึงเราจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเจน แต่ก็เข้าใจเธออะ

ส่วนที่ชอบมากในหนังสือคือตอนที่เจนเหงา (ก็อยู่มาเลเซียมีแต่เฮฮาปาร์ตี้) ก็เลยไปรับแมวมาเลี้ยง การนั่งมองเจนตกหลุมรักแมวมันน่ารักดี

อีกเนื้อหาที่รู้สึกว่าน่าสนใจคือ เจนคอยศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับคนเป็น sociopath ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องแน่ เพราะงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นไปในทางนั้น แต่งานวิจัยรุ่นหลังบอกว่า เป็น sociopath ก็อยู่ในสังคมได้ และนิสัยแบบนี้เป็นประโยชน์ในวงการธุรกิจ เจนเลยค่อยรู้สึกแฮปปี้กับ "ความสามารถ" ของตัวเอง เลยไปมุมานะด้านหาเงินแทน อ่านแล้วรู้สึกดี ทำให้เรารู้สึกว่า คนเรามีทางเลือกเสมอ ว่าเราจะเป็นคนแบบไหน

หนังสือจบ "ดี" ส่วนตัวคิดว่าเล่มนี้ผู้หญิงอ่านน่าจะสนุกกว่าผู้ชายอ่าน ^^

4 ดาวเต็มๆ

อ่านจบเปิดดู goodreads แล้วก็พบว่า เฮ้ยยย Victoria Helen Stone คือ Victoria Dahl นักเขียนโรแมนซ์คนโปรดของเราหรอกเรอะ! มิน่าล่ะถึงได้ซื้อเล่มนี้มา (จำตอนซื้อไม่ได้แล้ว) และอาจจะเพราะงี้ ตอนหลังถึงไม่ค่อยเห็นผลงานโรแมนซ์ของเธอ ทีแท้หนีไปเขียนแนวอื่นน่ะเอง




 

Create Date : 26 มีนาคม 2562   
Last Update : 26 มีนาคม 2562 10:42:11 น.   
Counter : 2830 Pageviews.  

[Books] The Princess Bride - William Goldman


“When I was your age, television was called books.”

― William Goldman, The Princess Bride




มันเป็นหนังสือตาหลก

คนเขียนเค้าตั้งใจเอาฮาแน่ๆเลยใช่มั้ย อ่านไปเหมือนคนเขียนขยิบตายิบๆให้เราตลอดเรื่องเลย XDDD

ข้าพเจ้าดู The Princess Bride ครั้งแรกเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน (จากนั้นก็ซ้ำอีกหลายครั้ง) ตกหลุมรักชนิดที่จำบทพูดเด็ดๆได้เยอะมาก และแน่นอนว่าที่เลิฟสุดคือ Hello. My name is Inigo Montoya. You killed my father. Prepare to die!

เพิ่งจะมารู้เมื่อไม่กี่ปีมานี้ว่ามันเป็นหนังสือมาก่อน โดยฝีมือของ William Goldman ผู้เขียนบท Butch Cassidy and the Sundance Kid อีกต่างหาก! ตั้งมั่นว่าสักวันจะอ่าน แต่ก็ไม่ได้ซื้อซะที จนกระทั่งมันโปรโมชั่น

ก่อนเปิดเล่มคิดว่าหนังสือไม่มีทางสู้หนังได้เด็ดขาด

และปรากฏว่า...

มันก็สู้ไม่ได้จริงๆนั่นแหละ



ยอมรับว่าฉบับหนังไม่ได้สมบูรณ์แบบ จุดอ่อนและรูโหว่ยิ่งกว่าหินภูเขาไฟ แต่อะนะ มันเป็นหนังตลก ห้ามคิดถึงตรรกะใดๆเด็ดขาด ^^ และเวลาดูหนัง ทุกอย่างผ่านไปรวดเร็วจนเราลืมคิด ในขณะที่เวลาอ่านหนังสือ สิ่งเหล่านี้มันชัดเจนเสียจนแทบจะพุ่งออกมาตำลูกตา

ต่อไปนี้สปอยทั้งหนังและหนังสือจ้า
.
.
.



ในหนังสือ คนเขียนพยายามใช้ทุกวิถีทางหลอกเราว่า The Princess Bride เป็นฉบับที่เขาแปล+เรียบเรียงใหม่จากนิยายเสียดสีการเมืองของประเทศฟลอรินโดยนักเขียนนามว่า S. Morgenstern

ขอบอกว่าเราอ่านเจอตรงคำนำปุ๊บก็ว่ามันแม่งๆ ไปค้นกูเกิลทันทีและก็พบว่า ทั้งหมดยกเมฆจ้า Morgenstern ไม่มีตัวตนจริง เรื่องที่เล่าไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ตรงไหน มันเป็นกิมมิคของคุณคนเขียนล้วนๆ (ขอบคุณกูเกิล ถ้าไม่มีนายเราอาจจะงงไปอีกนาน)

ทั้งหมดนี้ทำให้เรารำคาญโพดๆเวลาคนเขียนพยายามโกหกให้สมจริง ขนาดที่มีบทหนึ่งที่แกข้ามไปดื้อๆ โดยอธิบายว่า ในนิยายของ Morgenstern บทนั้นเอาแต่อธิบายถึงประวัติศาสตร์ธรรมเนียมของประเทศฟลอริน ซึ่งน่าเบื่อมาก แต่เนื่องจากเรารู้แล้วว่าของปลอม อ่านไปก็กลอกตาไป

แต่เนื่องจากคุณคนเขียนเธอไม่เลิก ยังใส่กิมมิคโน่นนี่เข้ามาปั้นน้ำเป็นตัวต่อไปอย่างแข็งขัน เราอ่านๆไปเลยชักเริ่มขำ แบบนับถือในความอุตสาหะ เลยไม่รำคาญเหมือนตอนแรกๆ ก็ถือเป็นสีสันอีกอย่างของหนังสือเล่มนี้ แต่ถึงงั้นเราก็ว่ายังเยอะไปอยู่ดี ถ้าเปรียบก็เหมือนอาหารที่พ่อครัวใส่เกลือหนักมือไปหน่อย

คุณ Goldman เป็นคนเขียนบทหนังด้วย แกคงรู้ตัวเหมือนกัน เพราะในหนังเกลื่อนเรื่องพวกนี้ไป โดยเปิดเรื่องด้วยคุณปู่อ่านหนังสือให้หลานฟัง ฉากปู่หลานที่แสนจะน่ารักนี้บางส่วนมาจากในหนังสือ น่ารักสุดๆ

คนเขียนยังบอกอีกว่า Morgenstern เขียนภาคต่อไว้ด้วย ชื่อ Buttercup's Baby แต่ตัวเองยังฟ้องร้องขอสิทธิ์ในการแปลจากครอบครัวของ Morgenstern ไม่ได้ คือทางนั้นอยากให้สตีเวน คิง แปล 555 ลุงคิงแกรู้เปล่านี่ว่าคุณคนเขียนเอาชื่อแกมาโม้ ^^

เข้าเรื่องดีกว่า ฉากหลักๆในหนังสือมาอยู่ในหนังหมด ยกเว้นตอนที่อินนิโกกับเฟซซิกบุกเข้า The Zoo of Death ไปช่วยเวสต์ลีย์ เราคิดว่าเหมาะสมแล้วที่ตัดไป เพราะมันน่าเบื่อมาก คือสำหรับเรา หนังสือเป็นโทนตลกขยิบตา ให้มาลุ้นตื่นเต้น มันบิ๊วต์ไม่ขึ้น

สิ่งที่ทำให้แฮปปี้มากคือ บทพูดที่เราชอบและท่องจำได้ ล้วนมาจากหนังสือทั้งสิ้น แม้กระทั่ง Mavwide *ยิ้มแก้มปริ*



ถามว่าแฟนหนัง The Princess Bride ควรอ่านหนังสือมั้ย ก็ควรนะ สิ่งที่เราชอบคือรายละเอียดที่ลึกกว่า และปูมหลังตัวละครแต่ละตัวก็สนุกสนาน เวสต์ลีย์ดูเป็นคนมากขึ้นในแง่อารมณ์ (มีน้อยใจแล้วตบบัตเตอร์คัพด้วย!) แต่น้อยลงในแง่ความสามารถ (ในหนังสือเทพยิ่งกว่าเทพอะ) บัตเตอร์คัพก็มีพ่อแม่ มีที่มาของการเป็น "สตรีที่งามที่สุดในปฐพี" นอกจากนี้ยังมีการอธิบายถึงการเมืองระหว่างฟลอรินกับกิลเดอร์ที่เป็นต้นเหตุของการลักพาตัวบัตเตอร์คัพด้วย

อย่างไรก็ตาม เราเคยรู้สึกว่าบัตเตอร์คัพในหนังเป็นโฉมงามหัวกลวง พออ่านหนังสือ รู้สึกว่าเธอเพิ่มคุณสมบัติน่ารำคาญเข้าไปอีก =_=" ส่วนเวสต์ลีย์ก็แอบใจร้ายอะ อ่านแล้วโรแมนติกไม่ลง ในหนังเรายังมีโมเมนต์กรี๊ดกร๊าดคู่นี้บ้าง เพราะ Robin Wright กับ Cary Elwes หล่อสวยมากๆ แต่ในหนังสือเราได้เคลิ้มแค่ก่อนเวสต์ลีย์ออกเดินทาง หลังจากนั้นเฉยสนิท

อ๊ะ ที่ชอบอีกอย่างคือฉากดวลระหว่างเวสต์ลีย์กับอินนิโก ในหนังสืออ่านสนุกไม่แพ้ในหนัง แล้วยังมีท่าฟันดาบมากมายให้เราไปค้นกูเกิลจนรู้ว่ามันเป็นชื่อเหล่าปรมาจารย์นักดาบในสมัยโบราณ รู้สึกกรี๊ดคุณคนเขียนเบาๆในจุดนี้



ตอนจบของหนังสือ แทนที่จะลงเอยแฮปปี้เอนดิ้งแบบในหนัง เนื่องจากคนเขียนต้องการใช้กิมมิค Morgenstern ก็เลยจบประมาณว่าขณะขี่ม้าหนี อาการของอินนิโกกับเวสต์ลีย์ก็เกิดทรุด และขบวนไล่ล่าของเจ้าชายฮัมเปอร์ดิงค์กำลังใกล้เข้ามาทุกที สาธุที่หนังไม่จบแบบนี้

ที่สำคัญ หนังสือไม่มีทางเทียบได้เลยกับ "As you wish" ของคุณปู่ในตอนจบของหนัง ที่ขึ้นเครดิตแล้วเรายังนั่งยิ้มไม่หุบอยู่ที่หน้าจอ ^^

3 ดาวนิดๆ (มีส่วนที่อ่านข้ามเยอะเกิน หลักๆก็เรื่องโม้ของคุณคนเขียนแหละ)





 

Create Date : 31 มกราคม 2562   
Last Update : 31 มกราคม 2562 11:54:07 น.   
Counter : 2817 Pageviews.  

[Books] 10 หนังสือสุดสนุกที่ได้อ่านในปี 2018

| 2011 | 2012 | 2013 | 2014 | 2015 | 2016 | 2017 | 2018 | 2019 | 2020 |



ภาพรวม :

เป็นปีที่มีอุปสรรคหลายอย่าง ทั้งเรื่องสุขภาพของตัวเองและคนในบ้าน รวมถึงการจัดงานใหญ่ของครอบครัว ปีนี้ไปเที่ยวน้อยมาก เวลาอ่านเลยถูกลดทอนไป แต่ดูจากจำนวนเล่มยังถือว่าไม่เลว

ปีนี้เป็นปีแรกที่ลองออกตารางบิงโกเอง ถือว่าไม่ต่างจากตารางอื่น เพราะทำให้อ่านหนังสือภาษาไทยเยอะอีก

ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อเทียบกับปีก่อนๆที่ผ่านมา เพราะมีหนังสือที่อ่านแล้วชอบจริงๆไม่ถึง 10 เรื่อง

อีกหนึ่งปัญหาก็คือ ปีนี้พบว่าตัวเองได้มีอาการสายตายาวแล้ว แง้ๆๆๆๆ เวลาอ่านหนังสือเลยชัดเจนน้อยลง กำลังจะไปตัดแว่นสำหรับอ่านหนังสือโดยเฉพาะ หวังว่าจะทำให้อ่านได้สบายตาขึ้น

เป้าหมายปีหน้าคือเคลียร์ซีรี่ส์ที่มีอยู่ให้หมดไป ตอนนี้ที่ติดตามอยู่มีตั้ง 26 ชุด อยากให้เหลือสัก ไม่เกิน 20 (แค่นี้ก็แย่แล้ว จำตัวละครไม่ได้) และกลับมาทำท็อปเท็นได้ครบ 10 เหมือนเดิม

สรุปสถิติ :

- อ่านหนังสือไป 104 เล่ม เป็นหนังสือภาษาไทย 43 เล่ม (41%)
- อ่านไม่จบ 11 เล่ม (11%) ดังนั้นถ้านับเฉพาะที่อ่านจบ ก็ 93 เล่ม
- หมวดที่อ่านมากที่สุดยังเป็นโรแมนซ์ แต่น้อยลงมากๆ แค่ 29% Non-fiction เบียดขึ้นมาสูสีที่ 28% ต่อจากนั้นเป็น YA 14% แฟนตาซี 12% ที่เหลือกระจายเป็น Literature, Sci-fi, Mystery รวมกัน 17%
- เจอนักเขียนใหม่ที่ถูกใจแค่ 4 คน คาดว่าเพราะพยายามจะอ่านซีรี่ส์เดิมให้จบมากกว่า

เช่นเคยคือไม่นับการ์ตูน

2018 Top Ten :
(ไม่เรียงลำดับ)

1. Game of Thrones - George R. R. Martin



เพิ่งได้ขึ้นรถไฟขบวนมาโซคิสต์สายนี้เอาปี 2561 นี่แหละ หลังจากตะลุยดูซีรี่ส์ครบทุกภาคก็ไล่อ่านหนังสือดะมันไปเลย ทั้งสองแบบมีส่วนที่ดีกว่าและด้อยกว่า >เคยเขียนร่ายไปเยอะแล้ว คงไม่ต้องพูดกันอีก นี่เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ที่เริ่มในปีนี้ และจะตามต่อ ถ้ามีต่อ! เราไม่เชื่อใจลุงจอร์จเลย Words are wind!



2. Magic Binds - Ilona Andrews

เป็นหนึ่งในหนังสือชุดสุดประเสริฐของเรา สนุกทุกเล่มจริงๆ เล่ม 10 อวสานเพิ่งออก แต่ยังไม่ซื้อ ราคายังแรงอยู่ เราอดทนรอปีหน้าให้ราคาลงได้ คนเขียนไม่ใจร้าย ไม่ได้ทิ้งเราค้างคาที่ขอบหน้าผา ที่ติดตามต่อก็เพราะชอบโลก ตัวละคร พล็อต ตำนาน และสำนวนฝีมือ //ปาหัวใจรัวๆ

3. The Fortune Hunter - Diane Farr

รีเจนซีโรแมนซ์รุ่นเก่าที่อ่านแล้วอย่างกรี๊ด โอ๊ย พระเอกออกมาเล่มแรก เราก็รออ่านเล่มของหมอนี่เลย อะไรจะน่ารักขนาดนี้ และที่สำคัญ นางเอกเริ่ดมั่ก!

4. The Kiss Quotient - Helen Hoang

หนังสือที่ดังเปรี้ยงปร้างทุกสำนักรีวิว ก่อนอ่านความคาดหวังจึงสูงลิบ แต่กลับไม่ทำให้ผิดหวัง อ่านไปยิ้มไปเขินไปจิกหมอนไป ช่างดีต่อใจจริงๆ นี่แหละปีแห่งเอเชีย



5. อยากเล่าให้ฟังจัง! : นิทานอินเดียเมี้ยว - พัณณิดา ภูมิวัฒน์

อ่านไปยิ้มไป เล่านิทานอินเดียแบบเฮฮาสไตล์คุณพัณณิดา

6. Ancillary Sword & Ancillary Mercy - Ann Leckie

ภาคสองสามต่อจาก Ancillary Justice ยานอวกาศที่น่าเอ็นดูที่สุดในจักรวาล ^^ อาจจะดรอปกว่าเล่มแรกไปบ้าง แต่ยังมีโมเม้นต์ชวนให้กำหมัดชกลมเยสได้หลายตอน



7. ยีนเห็นแก่ตัว - Richard Dawkins

หนังสือที่เป็นต้นกำเนิดคำว่า meme ถือเป็น non-fiction ที่น่าสนใจที่สุดในปีนี้สำหรับเรา (ยังไม่ได้อ่าน Sapiens ซื้อมาแล้วแต่ตระหนกในความหนาเลยซุกลงไห) น้ำเสียงคนเขียนจิกกัดสุดชีวิต อ่านเพลินยันภาคผนวก

8. ศพบอก - Dr. Bill Bass

เป็นปลื้ม+ชื่นชมคุณคนเขียนมากๆ เป็นสารคดีที่อ่านจบอย่างไว สนุกชวนติดตามประหนึ่งดู CSI แถมยังมีอารมณ์ขัน อยากอ่านเล่มอื่นๆของ ดร.แบสต่อเลยละ

9. ยิ้มกระป๋องสาม - มนันยา

เพียบด้วยสาระและความบันเทิงเช่นเคย



10. The Lathe of Heaven - Ursula K. Leguin

นึกอยู่นานว่าอีกอันดับจะเอาเล่มไหนดี จาก 4 ดาวที่ตัวเองมีเหลืออยู่ สุดท้ายก็ลงตัวที่เล่มนี้ เพราะจบไปพักนึงแล้ว แต่เรายังจำหลายส่วนในเรื่องได้อยู่ ประทับใจพล็อตมาก ถึงจะยังไปม่ปลื้มสำนวนก็เถอะ


รางวัลชมเชย



จิตลวงร่าง
ประวัติย่อก่อการร้าย
ศาสนา: ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์
The Rest of Us Just Live Here
The Secret Heart

พบกันใหม่ปีหน้าค่า




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2561   
Last Update : 30 ธันวาคม 2563 11:23:15 น.   
Counter : 2719 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  

Froggie
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]




[Add Froggie's blog to your web]