แหล่งกบดาน

ญี่ปุ่น 2557



เป็นเอ็นทรี่ที่รูปบานเบอะ ยังไงรอให้โหลดจบก่อนนะคะ

ตอนแรกที่วางแผนไว้ ตุลาคมนี้เราจะไปอิหร่าน แต่บังเอิญเจอตั๋วไปญี่ปุ่นราคาน่าคบหาเสียก่อน เลยเปลี่ยนใจไปดูใบไม้แดงที่นิกโก้แทน เราไปลงที่โตเกียวก็จริง แต่แทบไม่ได้แวะเวียนสถานที่ท่องเที่ยวไหนเลย ทริปนี้เน้นชิลเป็นหลัก

สองวันแรกในโตเกียวหมดไปกับการหาของกินและ (วินโดว์) ช้อปปิ้ง ดังนั้นจะไม่พูดถึง วันที่สาม เรานั่งรถไฟออกเดินทางไปหาฟูจิซังที่ทะเลสาบคาวางุจิ คราวที่แล้วเราก็มาที่นี่ แต่ทัศนวิสัยเลวร้าย ฟ้าปิดหมอกบังไม่เห็นฟูจิซังแม้แต่น้อยนิด แถมยังไม่มีเวลาเที่ยวรอบทะเลสาบด้วย งวดนี้กันเวลาไว้สองวัน ซื้อตั๋ว retro bus เที่ยวให้จุใจไปข้างนึง



รอบๆทะเลสาบมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เราแวะชมหลายแห่ง ที่ชอบมากคือ พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา ของศิลปิน อาตาเอะ ยูกิ (Muse Museum) แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป เลยเอาภาพจากอินเตอร์เน็ตมาให้ดูกัน ตุ๊กตาสวยน่ารักจับใจ ข้างในเป็นดินเหนียวหุ้มผ้าแล้วเขียนสี มีทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบแฟนตาซี เราชอบตรงที่เขาเขียนหน้าตาได้ดูมีชีวิตจิตใจ เหมือนกับเป็นคนจริงๆ ทุกตัวให้ความรู้สึกนุ่มนวลละมุนละไม มองแล้วจิตใจสงบดี



ที่อื่นๆก็โอเค อย่าง music forest หรือกระเช้า แต่บอกตรงๆนะ มาญี่ปุ่นนี่แย่อยู่อย่าง คืออะไรๆเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด เขียมคำบรรยายภาษาอังกฤษเหลือเกิน ฟังไม่รู้เรื่อง อ่านไม่รู้ความ บางทีเลยออกจะกร่อยๆ

ใบไม้ที่คาวางุจิโกะยังเปลี่ยนสีไม่เต็มที่ เราพยายามตามหา maple corridor จนพบ ปรากฏว่ามันยังเขียวอื๋ออยู่ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าตรงอื่นก็พอมีให้เห็นเยอะเหมือนกัน


แต่ยังไงไฮไลท์ของที่นี่ก็คือฟูจิซัง ก่อนมาเราเดาว่าอาจจะไม่ได้เห็นฟูจิซังแบบมียอดโปะหิมะขาวๆ เพราะแม้แต่เทศกาลใบไม้แดงก็จะเริ่มเมื่อเรากลับเมืองไทยแล้ว

วันแรกที่มาถึงคาวางุจิโกะ ฟ้าปิดเมฆทะมึน ไม่ว่าจะจากจุดไหนก็เห็นฟูจิซังแค่ฐาน บอกไม่ได้เลยว่า ข้างบนมีหิมะหรือเปล่า คืนนั้นเราก็ได้แต่ลุ้นว่าพรุ่งนี้ขอให้เห็นฟูจิซังแบบยอดขาวๆด้วยเถอะ ขอร้องๆๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น รีบเปิดหน้าต่างและพบว่าฟูจิซัง...

ใส่หมวก...

คือคุณฟูจิมียอดสีขาวตามคำขอ แต่เป็นเมฆ ฟูจิซังอย่าเล่นอย่างนี้สิคะ *กัดผ้าเช็ดหน้าช้ำใจ* ตลอดช่วงเช้าเราเที่ยวไปก็ภาวนาไป (พร้อมกับเช็คสกอร์เบสบอลไป) ว่าขอให้ฟูจิซังมียอดหิมะขาวๆ เพี้ยงๆๆ เราขอเท่านี้แหละ

ตกบ่าย เมฆเคลื่อนคล้อยออกจากยอดเขา แล้วฟูจิซังก็ปรากฏโฉมอย่างสวยงาม วี้ดดดด



หลังจากนั่งกินซอฟครีมลาเวนเดอร์ชมโฉมคุณฟูจิ และถ่ายภาพอย่างชื่นอกชื่นใจที่ oishi park กบน้อยผู้ไม่รู้จักพอก็คิดต่อ แหม ถ้าฟ้าไม่มีเมฆเยอะขนาดนี้จะสวยสักแค่ไหนนะ *หันขวับ* คุณฟูจิคะ ขอแบบท้องฟ้าเป็นสีฟ้าหน่อยสิคะ (ฟูจิซัง : ไหนว่าขออย่างเดียวไง!)

ความโลภคนเรานี่ไม่มีสิ้นสุดจริงๆ

แต่คุณฟูจิก็ใจดีนะ เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าใสไร้เมฆ อากาศสดชื่นสว่างปิ๊ง ลักกี้!



ที่พักคาวางุจิโกะงวดนี้ถือว่าคุ้มค่า เป็นเกสต์เฮาส์ที่โฆษณาว่าเห็นวิวฟูจิทุกห้อง แถมยังมีออนเซ็นให้จองเวลาใช้ส่วนตัวได้ฟรีห้องละ 45 นาทีทุกวัน หรือใครจะแช่ตอนเช้าด้วยก็ได้ ห้องกว้างขวาง แช่ไปชมฟูจิซังไป ได้บรรยากาศสุดๆ



อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาที่พักมันค่อนข้างถูก จึงเดาว่าออกเซ็นที่นี่น่าจะเป็นน้ำร้อนใส่ผงออนเซ็นมากกว่าน้ำแร่จริงๆ 555 แต่ก็คิดว่าเวิร์คแล้วสำหรับราคาที่จ่ายไป

จากคาวางุจิโกะ เราจับบัสรอบเช้ากลับโตเกียว แล้วนั่งรถไฟไปนิกโก้ ซื้อ all nikko pass ซะเลย ที่พักเราอยู่นอกนิกโก้ด้วย ถือโอกาสนั่งรถไฟฟรี ใช้มันจนคุ้มละ ว่างั้น



นิกโก้คือจุดประสงค์หลักของทริป เราอุตส่าห์กะจังหวะเป็นอย่างดีว่าช่วงปลายตุลานี่แหละ ใบไม้แดงที่ทะเลสาบชูเซ็นจิต้องกำลังสะพรั่งสวยงาม แต่ความซวยคือใบไม้เกิดแดงเร็วขึ้นเกือบสองอาทิตย์ ทำให้พอมาถึงทุกอย่าง..โกร๋นหมด ตัวทะเลสาบยังงามอยู่นะ น้ำตกเคกอนก็ยังสวย แต่ฉากหลังมันไม่ใช่อะ เป็นอะไรที่ผิดความคาดหมายอย่างยิ่ง มรดกโลกก็ปิดบูรณะหลายแห่ง ทั้งทางเข้าศาลโทโชขุ วัดรินโนจิ และหอต่างๆ กว่าจะเปิดให้ชมอีกทีก็ปี 2019 นู่น กำลังคิดว่าเราอาจจะต้องมาซ่อมอีกรอบ แต่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการมานิกโก้มันแพงหูดับ กลับมาถึงบ้านป่านนี้ก็ยังคิดไม่ตกเลย



สิ่งที่ประทับใจ แน่นอนว่าเราปลื้มศาลเจ้าโทโชขุ แต่ก็ชอบสวนของวังแปรพระราชฐานจักรพรรดิด้วย ที่นั่นใบไม้เปลี่ยนสีบ้างแล้ว สวยสุดๆไปเลย แต่ยิ่งขึ้นเขาใบไม้ยิ่งโกร๋นนี่สิ โคตรชีช้ำ

สำหรับที่พัก เราเช่าบ้านเล็กๆห่างจากเมืองนิกโก้ออกมาค่อนข้างไกล เป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นริมทุ่งในบรรยากาศรอบข้างที่แสนจะบ้านน้อกบ้านนอก พวกเราสนุกกับตัวบ้านมาก (หรือบ้ากันไปเองก็ไม่รู้) ไปจ่ายตลาดซื้ออาหารมาทำครัวกินเอง ทำใส่กล่องข้าวไปกินตอนเที่ยงด้วย ตกเย็นผิงฮีตเตอร์ตัวจิ๋ว (เพราะในบ้านไม่มีระบบทำความอุ่น) ปูฟูตงนอนเสื่อตาตามิ พับเพียบกินข้าวกับโต๊ะเล็กๆ (ถ้ามีโคทัตสึคงเปรม) เล่นเงามือกับประตูโชจิ เช้าขึ้นมาก็นั่งระเบียงจิบชา ชมวิวภูเขาแสนงามกับนาข้าวสีทองที่เห็นอยู่ไกลๆ ต้องจิบชาร้อนเพราะมันหนาวมาก เช้าขึ้นมามีน้ำค้างแข็งเกาะหญ้าด้วย วันรุ่งขึ้นคุณเจ้าของบ้านเช่าถึงกับรีบเอาผ้าห่มมาให้อีกสองผืน คงกลัวกะเหรี่ยงแข็งตาย XD เป็นสามวันที่มันส์ดี



สถานีรถไฟใกล้ที่พักก็บ้านนอกสุดชีวิต เราออกเช้าช่วง rush hour รถไฟทั้งขบวนมีแต่นักเรียนมัธยม ไม่รู้ที่ญี่ปุ่นโรงเรียนเข้ากี่โมง แต่มีวันหนึ่งเราออกหลังแปดโมงไปแล้ว เห็นเด็ก ม.ปลาย ในชุดกักขุรังกลุ่มนึงจับกลุ่มป้วนเปี้ยนเฮฮาเอะอะอยู่ที่สถานี ตอนแรกเราเดากันว่า เอ๊ะ เป็นเด็กเกเรโดดเรียนรึเปล่านะ (ดูการ์ตูนมากไป) มีผลักกันตรงรางรถไฟด้วย จากนั้นดูไปสักพัก... ไม่ใช่ละ เพราะเจ้าเด็กกลุ่มนี้มันเล่นไล่จับ กับซ่อนแอบกันค่ะ แถมยังมีโค้งคารวะขออภัยทางรถไฟอีก เด็กเกบ้านไหนคะ เด็กติงต๊องชัดๆ!



เวลาที่เหลือเราไปเที่ยวเอโดะวันเดอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสวนสนุกแบบย้อนยุค เราว่าเค้าทำได้ดีเชียวละ เสียแต่ค่าบัตรแพงไปหน่อย สภาพแวดล้อมเหมาะกับการถ่ายรูปอย่างยิ่ง วันที่ไปอากาศดีมาก และมีเด็กประถมมาทัศนศึกษาถึงสามฝูง ประกอบด้วยฝูงหมวกเขียว ฝูงหมวกขาว และฝูงหมวกเหลือง จนพาลให้เข้าใจผิดได้ว่านี่เป็นเครื่องแบบของคนสมัยเอโดะ ^^



โชว์ต่างๆในสวนสนุกเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด แต่สื่อสารพอรู้เรื่อง เพราะทุกอย่างโอเวอร์แอ็คชั่นจนโคตรจะการ์ตูน ชอบบ้านนินจา ชอบการแสดงนินจา และเขาวงกตนินจา (เออ เรามันไม่รู้จักโต) โดยเฉพาะเขาวงกตเนี่ย ต้องคอยสังเกตว่ามีประตูกลตรงไหนบ้าง บริเวณที่เห็นเป็นทางตัน อาจจะมีบานเลื่อนหรือประตูผลักออกไปที่อื่นก็ได้ สารภาพว่าเราแก้เขาวงกตไม่สำเร็จ ขนาดเดินตามเด็กแล้วนะ (คือมีกลุ่มน้องตัวเล็กๆสงสารป้ากะเหรี่ยงยืนงงเซ่อซ่า เลยโบกมือให้ตามมาด้วยตอนเค้าแก้ประตูกลสำเร็จ) ตามรายทางมีประตูยอมแพ้หลอกล่อเป็นระยะๆ แต่เราไม่ใช้หรอกอายเด็กมัน เรา...เดินกลับไปตรงทางเข้า ฮือ ขายหน้าจริงๆ ถ้ามีเวลาอยากกลับไปแก้มือใหม่นะนี่



ละครกลางแจ้งทำได้ฮาดี ถึงจะฟังไม่ออก ก็ยังขำ เด็กๆที่มาดูหัวเราะกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ที่นี่เค้าให้เช่าชุดโบราณใส่เดินเล่นได้ด้วย บางทีก็เลยเห็นซามูไรกับแม่นางกิโมโนเดินกดไอโฟน ตลกดี




จากนั้นก็กลับมาโตเกียว เพื่อให้เราไปเยี่ยมสักการะปูชนีย์ เอ๊ย กันดั้ม ที่ห้างไดเวอร์ซิตี้ โอไดบะ น่าเสียดายฟ้าไม่เป็นใจ เลยถ่ายรูปไม่สวยเท่าไหร่ จากนั้นก็ไปเที่ยว miraikan หรือพิพิธภัณฑ์แห่งอนาคต เราเป็นคนชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แต่ที่นี่เราว่าไม่ค่อยเวิร์ค คือมันยากไปน่ะ ถึงกลุ่มเป้าหมายจะเป็นเด็ก แต่เน้นวิชาการซะเยอะ มีสิ่งที่คล้ายๆกระสวยอวกาศให้ดู แต่กลับมีเจ้าหน้าที่คอยคุมแจ เล่นอะไรไม่สนุกเลย อ้อ ที่นี่มีแอนดรอยด์ที่คล้ายคนมากๆอยู่ด้วยละ เคยดูจากยูทูป ได้มาเห็นตัวจริงซะที เวลาเราคุยกับแอนดรอยด์ นางหันหน้ามาตามเสียงได้ด้วยนะ ...เท่นะ แต่ก็แอบหลอน ^^;

ช่วงที่ไปตรงกับวันฮัลโลวีน เลยสบโอกาสไปท่องราตรีชมหนุ่มสาวแต่งแฟนซี ลงสถานีไล่มาตั้งแต่รปปงงิ (ประปราย) ฮาราจูกุ (ตลาดวายไวไปหน่อย) ชิบุย่า (โป๊ะเชะ!) ขอแนะนำที่หลังสุดนะคะ สนุกมาก ดูจนเพลินเลย แต่คนก็เยอะมากๆด้วย เราไม่ได้เอากล้องไป อาศัยโทรศัพท์ สกิลถ่ายรูปแต่เดิมก็ต่ำต้อยอยู่แล้ว นี่ถ่ายรูปกลางคืน ภาพออกมาไหวมั่งเบลอมั่ง เสียดาย





แซมเปิ้ลเป็นน้ำจิ้มแค่นี้แหละ ที่เหลือชวนไปดูรูปกระทู้นี้ดีกว่า

ช่วงเวลาในโตเกียวของเราส่วนใหญ่หมดไปกับการช้อปปิ้ง เสาะหาขนมอร่อย และ...หลงทาง ความคุ้มเกินคุ้มอีกอย่างในทริปนี้ก็คือ data sim ของ b-mobile มหกรรมตามหาร้านของกินของเราอาศัย google maps เป็นหลัก คือถ้าไม่มีมัน หลงแหลกเป็นเรียวกะจากเรื่องรันม่าแหงๆ

แต่หลงก็ไม่ต้องกังวล สิ่งที่น่าประทับใจสุดๆคือการถามทางคนญี่ปุ่น ช่วยเหลือกันอย่างดีสุดๆ ต่อให้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็พยายามพูดภาษาญี่ปุ่น ชี้ไม้ชี้มือกับเรา ไม่ว่าจะน้องหนูคุณลุงคุณป้า ไม่มีใครปฏิเสธที่จะช่วยเราเลย ภาษาญี่ปุ่นเรางูปลามากนะคะ ลืมไปเกือบหมดแล้ว แต่ต่อให้ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย เราขอแนะนำศัพท์สามคำที่จะทำให้ชีวิตท่านง่ายขึ้น

มัตสึกุ - ตรงไป
ฮิดาริ - ซ้าย
มิงิ - ขวา

เวลาเค้าบอกทาง คอยเงี่ยหูฟังไว้ รับรองรอดชัวร์

รายการขนมตามลายแทงงวดนี้ มีสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง เฉยๆบ้าง ขนาดไปกินโดรายากิเจ้าลือชื่อก็ยังไม่ถูกใจ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราไม่ปลื้มความหวานแสบไส้ของถั่วแดงญี่ปุ่น จริงๆยังไปไม่ครบตามโพย แต่ขอบอกเล่าถึงสามอันดับขนมอร่อยสำหรับเราในทริปนี้ก่อนละกัน

1. โมจิหิมะ (yuki ichigo)



พิกัด : เห็นว่าร้านใหญ่อยู่ที่สถานียูราคุโจ แต่เราซื้อที่สถานีโตเกียว ถ้าใช้ metro ก็ตามลายแทงกระทู้นี้ไป แต่ถ้ามา JR เหมือนเรา ต้องแตะบัตรออกมาจากสถานีก่อน จากนั้นก็เดินออกจาก south exit มาลงตรงนี้ Marunouchi Underground Southgate



สำหรับความอร่อยเหนียวนุ่มนั้นเราได้บันทึกอาการสติหลุดไว้ในโพสต์นี้แล้ว

2. ซูเฟล่ร้าน Le Souffle Glacier



พิกัด : อยู่ในร้าน Sweet Forest สถานีจิยูงะโอกะ

แรงบันดาลใจของเราจากกระทู้นี้ค่ะ ไม่ผิดหวังเลย กินเข้าไปคำแรก อร่อยเสียสติมาก แทบจะวางช้อนเพื่อถ่ายรูปไม่ได้ ซูเฟล่ต้องทำยี่สิบนาที แต่เราจ้วงเอาๆหมดเกลี้ยงในพริบตา ถ้าเลียชามได้เลียไปแล้ว

ขนมของร้านย่อยอื่นๆก็อร่อยนะคะ แต่ยังไงซูเฟล่ชนะขาด

3. บัตเตอร์เค้กส้ม ที่ร้านข้างสถานีโทบุ ที่นิกโก้

พิกัด : ตามกระทู้นี้ไปนะคะ อยู่ช่วงล่างๆค่ะ



มันเนียนนุ่มเนื้อแน่นแต่ไม่หนัก หอมส้มด้วย! กินหมดวันแรก วันต่อไปกลับไปซื้ออีกสองก้อน จากนั้นพอคำนวณเงินก็พบว่า เฮ้ย มันแพงเหมือนกันนี่หว่า แต่ไม่เป็นไร เพราะนี่กลับมาเมืองไทย ตัดกินแบบละเลียดแล้วก็คิดว่า รู้งี้ซื้อมาอีกก้อนก็ดีหรอก เก็บได้ตั้งเดือนนึงด้วย T^T

สรุปว่าเป็นทริปที่โคตรชิล ชมวิวสวยๆ เดินเล่นพอประมาณ หนุกหนานกับที่พัก และแอบดูชีวิตชาวบ้าน เราชอบแบบนี้แหละ เปลี่ยนตารางได้ตามใจชอบแล้วแต่ดินฟ้าอากาศและความขี้เกียจ เลือกของอร่อยได้ตามสะดวก เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นไปง่ายแล้ว เราคงได้ไปซ้ำอีกแน่ๆ มาตะ เนะ~




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2557 7:22:06 น.   
Counter : 2798 Pageviews.  

[Books] Dark Triumph (His Fair Assassin Series #2) – Robin LaFevers

"Not everyone recognize the mercy in a quick clean death."
- The Beast of Waroch : Dark Triumph




ซีเบลลามาถึงคอนแวนต์แห่งเซ็นต์มอร์เทน เทพแห่งความตาย ด้วยสภาพเพ้อคลั่ง ที่นั่นเธอได้แหล่งพักพิงอันปลอดภัย สหายที่รู้ใจ และทักษะทุกอย่างที่จะช่วยให้เธอสะสางความแค้นในอดีต

แต่เมื่อภารกิจบังคับให้เธอต้องกลับสู่ชีวิตเก่า ฝันร้ายที่ต้องเผชิญกลับรุมเร้าจนเธอแทบเป็นบ้า ในคืนแห่งชะตากรรมนั้น เธอได้พบพันธมิตรร่วมอุดมการณ์อย่างไม่คาดฝัน และทำให้เธอตั้งคำถามกับตัวเองว่า เป็นไปได้ไหมที่ธิดาแห่งความตายจะพบความหมายอื่นในชีวิตนอกจากการฆ่า



เล่มนี้ครึ่งแรกวางไม่ลงจริงๆ ตื่นเต้นกว่าเล่มหนึ่งอีก สถานการณ์อันตรายกว่าหลายเท่า แบบคืบก็ทะเลศอกก็ทะเลยังไงยังงั้น ความโหด สยองขวัญ และความมืดของเรื่องก็หนักข้อตามไปด้วย อ่านแล้วเครียดแทนซีเบลลา เธอไม่เป็นโรคประสาทได้ไงไหว

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ซีเบลลากระหายเลือดยิ่งกว่าอิสเมหลายเท่า ใครที่คิดว่าเล่มที่แล้วมีศพน้อยเกินไป เล่มนี้โปรดวางใจ เลือดสาดกระจาย ตายกันเกลื่อน การเมืองหดไปเหลือเป็นฉากหลัง เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ยังมี แต่เน้นการทหารมากกว่า

ซีเบลลา นางเอกของเราเป็นสาวซึนผู้แผดเผาด้วยไฟแค้น ช่วงต้นนี่อ่านแล้วอินนะ คนเขียนสื่อความอึดอัดได้แบบแทบจะเด้งออกมาจากกระดาษ (ชอบตอนที่ซีเบลลาเอาผ้าอุดปากแล้วกรี๊ด) อดีตของเธอโคตรจะบัดซบ แบบพอคิดว่านี่มืดแล้ว ยังถูกถีบลงเหวต่อไปได้อีก จุกอกพูดไม่ออก และขอสงสัยอีกรอบว่านิยายเรื่องนี้เป็น YA ตรงไหน หรือเพราะมันมีประเด็น incest

ลักษณะของซีเบลลา ปกติแล้วในนิยายจะต้องเขียนให้แข็งนอกอ่อนใน ซึ่งเล่มนี้ก็ใช่ แต่เรายังรู้สึกด้วยว่าเธออ่อนในแต่แกร่งในหัวใจ (ฟังแล้วงงมั้ย) มีประเด็นหนึ่งที่เราชอบ นั่นก็คือ อิสเมซึ่งเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทกลายเป็นหัวหอกงัดข้อกับคอนแวนต์ ส่วนซีเบลลาที่เกเรมาตลอด ปากจะด่าคอนแวนต์ยังไง ก็ยังยอมทำตามคำสั่ง เพราะคอนแวนต์เป็นที่เดียวที่ซีเบลลาเคยได้รับความเมตตาและมอบความปลอดภัยให้

ส่วนบีสต์ ยังคงความน่ารักไม่สร่างซาจากเล่มที่แล้วต่อเนื่องมาถึงเล่มนี้ พระเอกของเราเป็นนักรบยักษ์หน้าโหดอัปลักษณ์ ถึกห้าวเป็นอัลฟ่า แต่นิสัยพ่อคุณนี่เบต้าฮีโร่แท้ๆ บีสต์ทำให้เราแอบนึกถึงโซริล ใน คริสตัลดรากอน นิดหน่อย แต่แน่นอนว่าบีสต์เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐกว่าไวกิ้งกลาดิเอเตอร์จอมเจ้าชู้อย่างโซริลหลายเท่า

พล็อตและสูตรของเล่มนี้คล้ายนิยายโรแมนซ์มาก ถ้าบอกว่านี่เป็นนิยายโรแมนซ์อิงประวัติศาสตร์ที่เขียนได้ยอดเยี่ยมสักเรื่องเราก็เชื่อนะ อาจจะเพราะอย่างนี้ด้วยเราเลยคาดหวังมากกับความรัก โดยเฉพาะเมื่อเราชื่นชมทั้งพระเอกและนางเอก



แน่นอนว่านี่ไม่ใช่นิยายโรแมนซ์ มันเลยไม่โฟกัสที่ความรัก (จะเป็นไปได้ยังไงเล่า!) เนื้อหาเยอะ หน้ากระดาษน้อย คนเขียนจึงต้องรวบรัดหน่อย ตอนอ่านเจอคำว่า ‘รัก’ หนแรก เค้าเกาหัวเลย มันออกมาเร็วเกินไป แบบไม่ต้องรดน้ำพรวนดินอะไรทั้งสิ้น เป็นความรักกึ่งสำเร็จรูป ในฐานะแฟนโรแมนซ์เราเสียดายมากนะจุดนี้

อันที่จริงมิตรภาพระหว่างบีสต์กับซีเบลลาน่ะมาถูกทางแล้ว การให้ทั้งสองชื่นชมกันและกัน มีจุดร่วมเรื่องความยินดีในการฆ่าโดยไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ ก็เป็นสเต็ปที่เวิร์คสุดๆ ฉากที่อยู่ด้วยกันก็ดึงอารมณ์ลึกซึ้งได้ "I knew that you would miss me" *วี้ด~~* แต่ในความรู้สึกเรา ทุกอย่างน่าจะเต็มกว่านี้ถ้าคนเขียนชะลอจนเกือบจบเล่มแล้วค่อยให้ซีเบลลาเข้าใจว่าเป็นความรัก ให้มันแตกหน่อตอนจบ แล้วไปงอกงามในเล่มสาม

ถึงความรักจะด้อยไปหน่อย แต่หัวใจหลักของเรื่องคือการเติบโตของซีเบลลา การที่คนคนหนึ่งซึ่งถูกทำร้ายจนหัวใจย่อยยับถึงขีดสุด (ไม่ได้โอเว่อร์ เล่มนี้โหดจริง) จะกลับมาเชื่อใจเพื่อนมนุษย์และเปิดรับความรักอีกครั้งได้ มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ในแง่นี้คนเขียนดึงองค์ประกอบศาสนาแฟนตาซีมาช่วยไว้ เราคิดว่าเหมาะสมแล้วละ เพราะไม่งั้นจะดูง่ายเกินไป

อย่างที่บอก ครึ่งแรกตื่นเต้นมาก แต่พอจบการเดินทางแล้วเรากลับว่ามันเนือยลงแม้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะ ทั้งแอ็คชั่นและดราม่า แต่...หนังสือที่ยอดเยี่ยมสำหรับเราคือการอ่านแล้วดำดิ่ง เหมือนเข้าไปอยู่ในโลกนั้น ไปยืนรับรู้อยู่ข้างตัวละคร แต่ในกรณีนี้มันเหมือนกำลังดูหนังที่สนุกอยู่กับบ้านมากกว่า คิดว่าอาจเพราะเรื่องมันดาร์คจนเราซึ่งมีชีวิตในโลกสงบสุขได้แต่เห็นใจแต่เข้าไม่ถึง ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ซาบซึ้งรสพระธรรมจนปีติไปกับพลังความรักที่กระหน่ำออกมาในช่วงท้าย

อ้อ ขอยกมือสูง เค้าภูมิใจ เค้าเดาถูกตั้งแต่บทแรกเลย คอนแวนต์มันเป็นองค์กรดำมืดชั่วร้ายจริงๆด้วย อย่างน้อยก็ยัยป้าแม่ชีนั่นคนนึง แต่พูดตรงๆนะ ป้าแม่ชีเป็นตัวละครที่เราอยากรู้อยากเห็นว่าเธอจะเป็นยังไงต่อไป ประมาณอัมบริดจ์ในแฮรี่พอตเตอร์ เป็นอารมณ์แขยงแต่กระตุ้นต่อมเผือกอะ

ตอนจบมี Author’s Note ชอบ อยากให้มีทุกเล่ม เพราะเราไม่เก่งประวัติศาสตร์ อยากรู้ว่าของจริงเป็นยังไง แต่บางทีก็ขี้เกียจค้นกูเกิ้ล

3 ดาวปลายๆ ปัดขึ้นเป็น 4

เล่มสาม Mortal Heart จะออกเดือนหน้า สงสัยจังว่าจะออกมารูปแบบไหน กำลังคิดว่าธีมของหนังสืออิงตามพระเอกรึเปล่า เล่มแรกดูวาลเป็นขุนนาง ก็เน้นการเมือง เล่มสองบีสต์เป็นทหาร เน้นการรบ เล่มสาม...ขอเป็นพ่อค้าหรือช่างฝีมือได้มั้ย ^^ (ฝันเฟื่อง!)

เครดิตภาพ :
หน้าปกสองเวอร์ชั่น
หน้าปกภาษารัสเซีย
แฟนอาร์ต https://keepsake20.deviantart.com/art/Dark-Triumph-anyone-425251907




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2557   
Last Update : 24 ธันวาคม 2562 12:05:10 น.   
Counter : 2822 Pageviews.  

[Books] Grave Mercy (His Fair Assassin Series #1) – Robin LaFevers

"When one consorts with assassins,
one must expect to dance along the edge of a knife once or twice."

- Gavriel Duval : Grave Mercy



Grave Mercy เป็นนิยายเกี่ยวกับ นางชีนินจา เอ๊ย นางชีนักฆ่า (แต่มันให้อารมณ์นินจาจริงๆนะ) อิสเม ลูกสาวชาวนา ถูกคนรอบข้างประณามว่าเป็นธิดาเทพแห่งความตาย เพราะเธอมีพลังพิเศษ เช่น ภูมิต้านทานยาพิษ จิตสัมผัสเกี่ยวกับความตาย และมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่กลางหลัง เธอหนีพ้นชะตากรรมโหดร้ายจากการถูกขายไปเป็นภรรยาคนเลี้ยงหมู ด้วยการเข้าไปอยู่ในคอนแวนต์ของเซ็นต์มอร์เทน หรือเทพแห่งความตายของชาวบริตตานี และได้รับการฝึกฝนเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจที่คอยปลิดชีวิตผู้ทรยศต่อบ้านเมือง



แคว้นบริตตานี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส) ในสมัยศตวรรษที่ 15 เป็นอาณาเขตเอกราชในแบบที่เรียกว่า Duchy บริตตานีเป็นที่หมายปองของนานาประเทศ โดยเฉพาะฝรั่งเศสซึ่งกำลังแผ่แสนยานุภาพไปทั่วยุโรปในสมัยนั้น หลังจากดยุคฟรานซิสที่สอง ผู้ปกครองของบริตตานี เสียชีวิตลง ภาระหน้าที่ผู้นำประเทศชาติตกอยู่บ่าของ แอนน์ ผู้เป็นลูกสาว เธอขึ้นเป็นดัชเชสแห่งบริตตานีในวัย 12 และต้องกระโดดเข้าสู่เกมการเมืองด้วยการเฟ้นหาสามีที่มีกำลังทัพแข็งแกร่งพอจะรักษาอธิปไตยของบริตตานีไว้ได้

ภารกิจครั้งสำคัญของอิสเมพาเธอเข้าสู่วังหลวงแห่งบริตตานีและวังวนแห่งการแก่งแย่งอำนาจ การก่อกบฏ สายลับ และการลอบสังหาร การเคี่ยวกรำฝึกฝนจากสำนักชีได้หล่อหลอมอิสเมให้เป็นนักฆ่าชั้นเลิศ แต่ไม่ได้เตรียมเธอให้พร้อมกับความจริงที่อาจสั่นคลอนศรัทธาหนักแน่น และใครคนหนึ่งที่อาจช่วงชิงสมบัติที่เธอแหนหวนเหนือสิ่งใด : หัวใจของเธอ



บทแรกๆที่อ่าน สับสนมาก เพราะแยกไม่ถูกว่ามันเป็นหนังสือแนวไหน เขาว่ามันเป็น YA (เพราะนางเอกอายุ 17) หน้าปกดูเป็นแฟนตาซี พอเริ่มอ่านก็มีเทพ มีพลังพิเศษ โน่นนี่นั่น แต่ยิ่งดำเนินเรื่องไปยิ่งเข้าไปพัวพันกับประวัติศาสตร์จริง คนที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์พาเหรดออกมาเป็นโขยง แถมเป็นตัวเด่นอีกต่างหาก

แต่ไม่นานเราก็เลิกกังวลกับการจัดประเภทหนังสือ เพราะมันสนุกเข้มข้นมากเลย! สำหรับเราแล้วไม่ว่าจะเป็นหมวดไหน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จหมด ส่วนที่อิงประวัติศาสตร์ก็ข้อมูลเข้ม องค์ประกอบพารานอร์มอลก็อยู่ในระดับพอเหมาะ และโรแมนซ์ทำให้ใจเต้น เอ่อ แต่ YA เนี่ย ไม่เห็นอะไรที่เกี่ยวกับวัยรุ่นตรงไหน (ยกเว้นอายุนางเอก) แต่เอาเป็นว่ามีฉากคลาสสิค พระเอกแอบเข้าห้องมามองนางเอกนอนหลับ =_=; (วัยรุ่นสมัยนี้เป็นอะไรคะ หรือมันเป็นความโรแมนติกแบบที่เราไม่เข้าใจ)

อ้อ แต่ต้องบอกว่าถึงหนังสือเล่มนี้จะถูกใจเรา เพราะเราชอบหนังสือทุกประเภทที่ว่ามาข้างต้น แต่มันอาจจะแป้กสำหรับนักอ่านคอประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกโฉลกกับแฟนตาซี/ความรัก หรือชอบแฟนตาซีแอ็คชั่นแต่เบื่อการเมืองเชื่องช้า ส่วนของโรแมนซ์ ถ้าอยากให้ปูพื้นความรักเยอะๆ ก็คงผิดหวัง
แต่สำหรับเรามันกลมกล่อมดี

การที่นางเอกเป็นนักฆ่าทำให้มีมุกฮาๆ (ที่เราอาจจะฮาคนเดียว) อยู่หลายตอน คือรู้สึกว่าบางทีอิสเมก็กระหายเลือดชะมัด

อย่างเช่นตอนที่อิสเมหยิบกริชปลายเข็มออกมา ดูวาล (พระเอก) แซวว่า "You can leave that pretty little prince sticker of yours where it is."

อิสเมโต้กลับอัตโนมัติ "You don’t stick with it. You shove and twist."

หรือตอนที่อิสเมคิดว่า
"I comfort myself with the knowledge that if Duval ever feels smothered by me, it will be because I am holding a pillow over his face."

ซาดิสม์ดีนะนังหนู ^^

โดยรวมเราชอบอิสเมนะ เธอเป็นนางเอกที่ลงตัวดี เข้มแข็งแต่ไม่ถึงกับกระด้าง ฉลาดแต่ไม่ทะนงจนมองอะไรไม่เห็น ส่วนดูวาลมีความเก่งความแกร่งอยู่ ถึงจะต้องม่อยกระรอกให้อิสเมแสดงความห้าวบ้าง ก็ยังอยู่ในข่ายยอมรับได้ ไม่ได้ง่อยเห่ยไร้น้ำยาเป็นไม้ประดับอย่างพระเอกบางเรื่อง สองฝ่ายไม่เหลื่อมล้ำกันเกินไป เราแฮปปี้ ฉากกุ๊กกิ๊กของพระนางในเรื่องก็น่ารักกกกกก ขนาดตอนแรกแทบไม่มีอะไรเลย แค่จับมือกันเราก็กรี๊ดแล้ว บางประโยคก็ทำเอาข้าพเจ้าลงไปละลายหลอมเหลวอยู่กับพื้น โดยเฉพาะประโยคที่ดูวาลพูดตอนจบ ฟินค่ะ~

ในเรื่องดูวาลมีเพื่อนสนิทอีกสองคน ไม่รู้ทำไม บางทีอ่านๆไป อิมเมจของสามหนุ่มในหัวเราดันเป็นหมาสามพันธุ์



Duval - เยอรมันเชพเพิร์ด ซื่อสัตย์ เคร่งขรึม มีวินัย

Beast - พิทบุล หน้าโหด แต่ใจดี

De Lornay – คาวาเลียร์ คิงชาร์ลส์ สแปเนียล เจ้าเสน่ห์ สวยสง่า น่ารัก



ในเรื่องเราสงสารแอนน์มากๆ เด็กอายุแค่สิบสองต้องมารับผิดชอบชะตากรรมของทั้งประเทศ และวิธีที่จะช่วยประเทศได้ก็คือต้องเอาตัวเข้าแลกอีกต่างหาก พอไปค้นประวัติจริงยิ่งสงสารเข้าไปใหญ่ ชีวิตแบบว่า เฮ้อ ผู้หญิงสมัยก่อนช่างลำบากจริงๆ …ว่าแต่ดันอ่านประวัติศาสตร์จริงไปแล้ว มันจะจะสปอยเนื้อเรื่องอีกสองเล่มรึเปล่านะ o_o;;

มาถึงส่วนติบ้าง ถึงคนเขียนจะภาษาดี เขียนเก่งชวนติดตาม แต่หลายอย่างเดาง่ายไปหน่อย (แต่ก็หนึบอยู่ดี) และสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นความจริงไม่เปลี่ยนก็คือ ตัวละครคนไหนอ้วน หรือกลิ่นตัวเหม็น ฟันธงได้ มันเลว คือแบบบรรยายประโยคเดียวเราไม่ต้องลุ้นเลย เซ็ง บางทีก็อยากเห็นตัวละครที่อ้วน หรือหัวล้านมันแผล็บ หรือมีกลิ่นตัวกลิ่นปาก อยู่ฝ่ายดีบ้างเหมือนกันนะ

อีกเรื่องที่ทำให้เราผงะ และตัดทิ้งเลยครึ่งดาวคือ วิธีแก้พิษของอิสเม คือว่า... คนเขียนเค้าดูหนังจีนมาปะ ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ *ถอนใจยาวๆหนึ่งที* แล้วก็ช่วงหลังเรารู้สึกว่าคนเขียนพยายาม “มาก” ที่จะหาเหตุให้พระนางมีฉากหวานๆกัน ซึ่งก็ดีนะ แต่บางทีมันไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่

มองไปข้างหน้าในซีรี่ส์ ตอนท้ายที่ de Lornay ตาย รู้สึกทึ่งเล็กน้อย เดิมคิดว่าตามสูตร YA สองหนุ่มที่เหลือจะคู่กับสาวนักฆ่าอีกสองคนซะอีก ปรากฏว่าไม่ใช่ แอบดีใจ! (ขอโทษนะคาวาเลียร์) เพราะรู้สึกว่าจับสามคู่ชู้ชื่นมันตลกเกิน แค่เล่มสอง Sybella คู่ Beast ก็พอแล้ว ตอนนี้กำลังเสี้ยนเล่ม 2 สุดๆ เพราะในบรรดาสามหนุ่มเราชอบ Beast เป็นพิเศษ

ขอบคุณ Teena ที่แนะนำหนังสือหนุกๆ และขอบคุณสำนักพิมพ์ที่ลดราคา (เราช่างใจง่ายกับโปรโมชั่น)

4 ดาว

ปิดท้ายด้วยรูปป้อมและคฤหาสน์ที่ Nantes สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในท้องเรื่อง



เครดิตภาพ
Wikipedia
https://www.conceptart.org/forums/showthread.php/236243-The-Destroyers-UPDATED-2-22-13-%28Grave-Mercy-cover%29




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2557   
Last Update : 24 ธันวาคม 2562 12:04:16 น.   
Counter : 2969 Pageviews.  

[Books] Taken with You (Kowalski Family #8) - Shannon Stacey

"Get that Property Of Whitford Public Library stamp
and stamp it right on his forehead. Then cross out the library's name and write yours"

― Tori to Hailey : Taken with You



เล่มที่ 8 ในชุดครอบครัวโควาลสกี้ แต่ตัวเอกไม่ใช่คนในตระกูลนี้แล้ว

เรื่องขึ้นต้นได้ตลกมาก

เฮลีย์ บรรณารักษ์สาวนั่งมองเพื่อนๆในกลุ่มแต่งงานกันไปทีละคนสองคน เจ้าหล่อนอนาถสภาพความโสดตัวเอง เลยซื้อทัวร์ไปเดินป่าที่อุทยานแห่งชาติใกล้ๆเพื่อแสวงหาการผจญภัยและฉลองความโสดอันแสนเริ่ดของตัวเอง

...จากนั้นเธอก็หลงทาง ^^;

แมท ซึ่งมาหมกตัวแค้มปิ้ง และสภาพกำลังเน่าได้ที่ เจอสาวสวยแต่งเปรี้ยว ใส่บู๊ทใหม่สุดชิค เมคอัพจัดเต็ม กำลังหลงป่า จึงช่วยพาไปส่งที่รถ แต่ถึงจะรู้สึกติดใจในตัวเฮลีย์แค่ไหน มองแวบเดียวแมทก็รู้ว่าเฮลีย์ไม่เหมาะกับเขาแน่นอน

อาทิตย์ต่อมา มีการอบรมเรื่องการขับรถ atv ท่องป่าให้เด็กๆฟังที่ห้องสมุด เฮลีย์เห็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่มาบรรยายหน้าตาเกลี้ยงเกลา หุ่นเท่ มาดบาดใจ ก็เหล่มองเป็นการใหญ่ เพียงเพื่อจะรู้ภายหลังว่า หมอนี่แหละคือผู้ชายมอซอซกมก เคราครึ้มเยี่ยงมหาโจร ที่เธอเจอในวันนั้น

แมทจำเฮลีย์ได้ตั้งแต่แรกเห็น จากนั้นก็เริ่มการบรรยายด้วยการถามเด็กๆว่า ทุกคนคิดว่าการใส่บู๊ทคู่ใหม่ไปเดินป่า ไม่ทายากันแมลง แล้วยังไม่ติดแผนที่หรือเข็มทิศไปด้วย เป็นเรื่องมีหัวคิดมั้ย แน่นอนว่าเด็กๆตอบว่าไม่ จากนั้นแมทก็ถามว่า เอ้า ทุกคนอายุเท่าไหร่ เด็กๆตอบว่าสิบขวบ

คงไม่ต้องบอกนะว่าเฮลีย์ตาเขียวปัดๆขนาดไหน ^^ ซ้ำร้าย ปรากฏว่าแมทย้ายเข้ามาอยู่บ้านข้างๆเฮลีย์ซะอีก โคตรบังเอิญ >_>;;

แน่นอนว่าทั้งสองคนเป็นผู้ใหญ่พอจึงไม่ดราม่าเยิ่นเย้อ อุปสรรคก็คือ แมทกับเฮลีย์มองหาคู่ชีวิตที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง แมทชอบกีฬา ออกป่าสมบุกสมบัน ทำอาชีพที่ถูกเรียกตัวได้ตลอดเวลา แต่เฮลีย์ไม่ชอบออกกลางแจ้ง เธอชอบดนตรีคลาสสิค อาหารชั้นเลิศ แต่งตัวสวยๆ อยากได้ครอบครัวที่มั่นคง สามีกลับบ้านตรงเวลา

เรื่องจะคลี่คลายยังไง ต้องไปอ่านกันเอง

ช่วงแรกตลกมาก แต่หลังจากนั้นค่อนข้างราบเรียบ ซึ่งก็ถือว่าอ่านสนุกนะ แต่ปัญหาคือ ทั้งๆที่เรารู้จักเฮลีย์มาหลายเล่มแล้ว เรากลับรู้สึกว่าแบ็คกราวด์ของเฮลีย์ไม่เพียงพอ เราเข้าใจแมทซึ่งเพิ่งออกมาเล่มนี้ได้ดีกว่า รสนิยมของเฮลีย์เป็น telling not showing ไม่มีที่มาที่ไป ดูไม่ค่อยเข้ากับนิสัยจริงของเธอเท่าไหร่ ถ้าประเด็นหลักของนิยายเรื่องนี้คือการปรับตัวเข้าหากัน เฮลีย์ก็ปรับตัวน้อยมาก

ตอนจบเพอร์เฟคเว่อร์ไปหน่อย หวานจนมดขึ้นเลยทีเดียว

ปัดขึ้นเป็น 4 ดาว

--
เล่ม 1-3
เล่ม 4




 

Create Date : 22 กันยายน 2557   
Last Update : 25 ธันวาคม 2562 10:40:31 น.   
Counter : 2306 Pageviews.  

[Books] Ready Player One – Ernest Cline

"I’m not crazy about reality, but it’s still the only place to get a decent meal. "
– Groucho Marx (An American comedian)




(เรื่องย่อ : แปลตัดตอนจากใน Goodreads)

ปี 2044 โลกแห่งความจริงกลายเป็นสิ่งโหดร้าย

เวด วัตส์ เด็กหนุ่มวัย 18 ไม่ต่างจากทุกคนที่หลีกหนีความหดหู่รอบตัวด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับ โอเอซิส ระบบโลกเสมือนจริงอันกว้างใหญ่และเพียบพร้อมดุจสังคมในอุดมคติ ที่ที่เราเป็นทุกอย่างได้ดังใจปรารถนา ที่ที่เราสามารถใช้ชีวิต เล่นสนุก และมีความรัก ในดินแดนใดก็ได้บนดาวเคราะห์นับหมื่นดวง

และเช่นเดียวกับมนุษยชาติส่วนใหญ่ ความฝันของเวดคือการค้นพบตั๋วนำโชคที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกเสมือนจริงแห่งนี้ เพราะในสวนสนุกแห่งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ เจมส์ ฮัลลิเดย์ ผู้สร้างโอเอซิส ได้ซ่อนปริศนาล้ำลึกชุดหนึ่งไว้ ปริศนาที่จะนำมาซึ่งสมบัติมหาศาล และอำนาจอันยิ่งใหญ่ ให้แก่ใครก็ตามที่ไขปริศนาสำเร็จ

เป็นเวลาหลายปีที่ผู้คนหลายล้านดิ้นรนล่าปริศนาแต่ไร้ผล ทุกคนทราบเพียงว่าเงื่อนงำนั้นอยู่ในสิ่งที่ฮัลลิเดย์รัก นั่นคือ วัฒนธรรมความนิยมต่างๆในช่วงท้ายศตวรรษที่ยี่สิบ

แล้ววันหนึ่ง เวดก็ค้นพบปริศนาแรก

ทันใดนั้น เวดก็พบว่าตนเองตกเป็นเป้าสังหาร การแข่งขันเริ่มต้นแล้ว และถ้าเวดอยากมีชีวิตรอด เขาจะต้องชนะ และต่อสู้กับโลกแห่งความเป็นจริงที่เขาพยายามหนีให้พ้น

Are You Ready, Player One?



เราติดหนึบตั้งแต่อ่านจบบทแรก สารภาพว่าก่อนอ่านคิดว่ามันเป็นนิยายเกมออนไลน์ธรรมดา ปรากฏว่าล้ำลึกกว่านั้น เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในอนาคตยุคน้ำมันหมดโลก คนส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน ชีวิตขึ้นอยู่กับคูปองอาหารจากรัฐ สาระและความบันเทิง (รวมทั้งโรงเรียน) อยู่ใน Oasis (ระบบโลกเสมือนจริงทางอินเตอร์เน็ต เป็น MMORPG แบบ Open-source virtual reality) อัจฉริยะผู้สร้าง Oasis ก่อนตายซ่อนกุญแจ 3 ดอกไว้ในโลกเสมือนจริงนี้ คนไหนเคลียร์ปริศนาทั้งสามด่านครบจะได้รับมรดกหลายแสนล้านและได้ครอบครองโอเอซิส ทั่วโลกเลยล่าเควสท์กันใหญ่ แต่เมื่อผ่านไปห้าปีและไม่เจออะไรเลย ก็เหลือแต่พวกเกมเมอร์ฮาร์ดคอร์ที่ยังจริงจังอยู่ ที่มันตลกก็คือ อีตาคนสร้างแกบ้ายุค 80 พวกเด็กๆซึ่งอยู่ในทศวรรษ 2040 ก็ต้องมานั่งเรียนรู้วัฒนธรรมและเกร็ดของยุค 80 ไปด้วย และเราคิดว่าป๊อบคัลเจอร์ในยุค 80 เนี่ยมันเป็นเอกลักษณ์อย่างแรงจนขำ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงของเก่าๆที่เรารู้จักเต็มไปหมด ทั้งนิยาย เกม หนัง เพลง สิ่งของ ฯลฯ พอเอ่ยถึงฟลอปปี้ดิสก์ 5.25 นิ้ว เราหัวเราะก๊ากเลย แหม คิดถึงจัง แปะสติกเกอร์ทำ write protect

ว่าถึงตัวละครบ้าง เจ้าเด็กตัวเอกทั้งอ้วน สิวเขรอะ จนกรอบ อาภัพ และเป็นฮิกกี้ 5555 แต่ความเป็นโอตาขุยุค 80 นั้นไม่เป็นที่สองรองใคร ช่วงแรก พาร์ซิวาล (อวาตาร์ของเจ้าเวด) ถังแตกจนอนาถ เก็บประสบการณ์ได้แค่เลเวล 3 เพราะไม่มีตังเทเลพอร์ตไปตีมอนสเตอร์เจ๋งๆที่โลกอื่น อ่านไปก็เอาใจช่วยมันไป

เราคิดว่านี่เป็นนิยายผจญภัยที่สนุกที่สุดเท่าที่ได้อ่านในปีนี้ อ่านไปลุ้นไป ใจเต้นอย่างกับทำเควสท์อยู่ด้วยกันกับเจ้าเวด/พาร์ซิวาล ตอนไขปริศนาก็โคตรลุ้น ช่วงแรกสปีดการอ่านติดจรวดเลยเพราะใจร้อน อยากรู้ตอนต่อไปไวๆ จนบางทีต้องเบรกตัวเองไว้บ้าง คนเขียนสร้างโอเอซิสได้เจ๋ง และปริศนาก็น่าสนใจ อย่างตอนผ่านเข้าประตูแรกและรู้ว่าต้องทำอะไร เราร้อง ว้าว ออกมาเลย



สำหรับเราแล้ว มุกตลกหลายส่วนในเล่มอยู่ที่การเข้าใจป๊อบคัลเจอร์จากยุค 70-90 มีคนบอกว่า Ready Player One เป็น nostalgia porn โคตรเห็นด้วยเลย เวลาเอ่ยถึงของเก่าๆที่เรารู้จักและคนเขียนเอามาใช้ได้อย่างถูกจังหวะนี่มันจี๊ดมาก ยิ่งช่วงท้ายซูเปอร์โรบอทโผล่มาเป็นแก๊งค์ ทั้งกันดั้ม, เอวานเกเลี่ยน, ไรดีน ฯลฯ ยานอวกาศเลียนแบบคาวบอยบีบ็อบอีกต่างหาก และ ทานโทษนะคะ มีก็อดซิลล่าสู้กับอุลตร้าแมนด้วย XDDD พวกหนังเก่าๆในเรื่องก็ชวนระลึกความหลังโพดๆ อย่างตอนที่เอชแกล้งแซวว่า LadyHawke is a bona fide USDA-choice p*ssy เรายังเคืองไปกะพาร์ซิลวาลเลย แล้ว Legend เราก็มีวิดิโอนะ (เขินอาย) เอชนั่นแหละ รสนิยมห่วย เชอะ

คิดว่าเซียนยุค 80 และเซียนเกมต้องปลื้มมากแน่ๆ ขนาดเราซึ่งไม่เล่นเกมออนไลน์ และรู้จักสิ่งที่เอ่ยถึงในเรื่องแค่ 30% ก็รู้สึกบันเทิงมากแล้ว ปัญหาก็คือไม่แน่ใจว่าคนที่ไม่เล่นเกม ไม่สนใจคอมพิวเตอร์ และไม่รู้จักยุค 80 เลยจะอ่านสนุกพอจะเห็นความดีของหนังสือไหม ตัวเรื่องมันเจ๋งอยู่ แต่คนอ่านเด็กๆจะงงเพราะนึกภาพตามไม่ออกหรือเปล่า (อย่างเช่น การกรอเทป, ตอนจบสตาร์วอร์ IV, แฟชั่นยุค 80 ฯลฯ) ถึงหนังสือจะถูกจัดประเภทเป็น YA แต่เราคิดว่าเด็กๆแห่งศตวรรษที่ 21 คงไม่เห็นมันสนุกเท่ากับผู้ใหญ่หัวใจเด็กหรอก

ข้อเสียของเรื่องคือ พระเอกมันเทพเกิน ความบังเอิญเยอะเกิน และช่วงหลังองค์ประกอบของเรื่องเดินตามสูตรไปหน่อย แม้กระทั่งบุคลิกหน้าตาตัวละคร (แก๊งค์พระเอกต้องมีเฟมินิสต์ มีขาซี้ผิวดำ มีคนเอเชียเป็นตัวประกอบ และต้องมีเกย์หนึ่งคน เป็นสเป็คอย่างกะขบวนการเซ็นไต) ตัวร้ายแบนราบไร้มิติ เนื้อเรื่องเป็น telling not showing ซะเยอะ เรื่องชีวิตโลกจริงและโลกออนไลน์น่าจะเล่นได้ลึกกว่านี้

วิกิบอกว่าต้นฉบับหนังสือเล่มนี้ทำให้เกิดสงครามประมูลระหว่างสำนักพิมพ์ และพอประมูลได้ปุ๊บ ก็ขายลิขสิทธิ์สร้างหนังให้วอร์เนอร์บราเธอรส์ทันทีในวันรุ่งขึ้น นี่กำลังอยู่ในขั้นตอนเขียนบท (แท็คทีมระหว่างผู้เขียนหนังสือ กับ Zak Penn แห่ง The Avengers/X-men) ยังไม่มีกำหนดฉาย คาดว่าคงอีกนาน แค่เจรจาลิขสิทธิ์ขออ้างถึงเกม หนัง เพลงประดามีทั้งหลายที่เอ่ยถึงในเรื่อง ก็คงมึนตึ้บไปแล้วมั้ง

4 ดาว

ป.ล. ในเรื่องเอ่ยถึงเกมเยอะแยะ หลายเกมเราคุ้นหูแต่ไม่รู้จัก แต่ทานโทษ เกมที่เราได้เล่นอย่างมาริโอทำไมไม่มีเอ่ยถึงในเรื่องล่ะๆๆๆๆๆ อิชั้นเคือง




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2557   
Last Update : 25 ธันวาคม 2562 10:19:34 น.   
Counter : 8965 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  

Froggie
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]




[Add Froggie's blog to your web]