สอนลูกอย่างไรดี คำตอบอยู่ที่เซลล์กระจกเงา
เมื่อมีลูก พ่อแม่ทุกคนฝาก 'ความหวัง' ไว้ที่ลูกเสมอ หวังอยากให้ลูกได้ดี หวังอยากให้ลูกเป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่และวงศ์ตระกูล หวังว่าจะได้ฝากผีฝากไข้ ยามที่พ่อแม่แก่เฒ่า นี่คือความหวัง แต่ความสมหวังคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากพ่อแม่ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย ตรงกันข้าม ยิ่งหวังมาก ยิ่งต้องออกแรงมาก ที่น่าเป็นห่วงคือ พ่อแม่หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดว่า การลงทุนของพ่อแม่คือการใช้เงิน การจ้าง หรือไหว้วานคนอื่นให้มาทำหน้าที่แทน ให้คนอื่นหรือสิ่งอื่นมาทำในสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ สุดท้ายพ่อแม่อาจจะไม่ได้สมหวังตามที่ตั้งความหวังเอาไว้ พ่อแม่ย่อมต้องมีหน้าที่อบรมเลี้ยงดูลูก ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรก็ตาม นี่คือกฎเกณฑ์หรืออาจเรียกว่า กฎของธรรมชาติที่ทุกชาติทุกภาษาต่างยึดถือ พ่อแม่มีหน้าที่ต้อง เลี้ยงลูก ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ คอยปกป้องคุ้มครองให้ลูกปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง และยังต้อง อบรมบ่มนิสัย ให้ลูกเป็นพลเมืองที่ดี ผู้ใหญ่ที่ดี และลูกที่ดี ภายใต้กรอบและกฎเกณฑ์ของสังคมนั้นๆ ในเมื่อมันเป็นหน้าที่เราก็ต้องยอมรับ จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และความสำคัญของหน้าที่อันนี้ไม่ได้ยิ่งหย่อนน้อยไปกว่าการทำมาหากินของพ่อแม่ ข้ออ้างที่ว่า ต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูลูก ผมว่าเราต้องเลิกอ้างกันได้แล้ว หากเรายังหวังว่าเมื่อถึงเวลา ลูก จะคือผู้ที่ทำให้ ความหวัง ของเราเป็นจริง คนโบราณสอนเอาไว้ว่า ' ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น 'ความหมายก็คือ พ่อแม่เป็นแบบไหนลูกก็เป็นแบบนั้น นิสัยใจคอของลูกล้วนเกิดจากการซึมซับและเลียนแบบมาจากต้นแบบ ซึ่งก็คือพ่อแม่นั่นเอง คำสอนนี้ได้รับการพิสูจน์ภายใต้บริบทของสังคมไทยของเรามาโดยตลอดว่าเป็นจริง แต่จะเป็นเพราะการขาดความเชื่อมั่นศรัทธาในคำสอนนี้หรือ เพราะความเข้าใจผิดก็ไม่ทราบได้ทำให้พ่อแม่หลายต่อหลายคนมองข้ามคำสอนนี้ไป เราพบอยู่เสมอว่าเมื่อเวลาเด็กมีปัญหา พ่อแม่จะกล่าวโทษครูที่โรงเรียนว่าไม่ช่วยสอนเรื่องนั้น เรื่องนี้ พอโรงเรียนบอกว่าพ่อแม่ต้องช่วยโรงเรียนด้วย พ่อแม่จะบอกว่าไม่มีเวลา ต้องทำมาหากิน สุดท้ายจึงเรียกร้องให้มีหลักสูตรคุณธรรมขึ้นในโรงเรียน โรงเรียนก็จัดให้ตามคำขอ คุณธรรมจริยธรรมกลายเป็นวิชาขึ้นมา ต้องเรียน ต้องสอบเก็บคะแนน ใครได้คะแนนมากแปลว่ามีคุณธรรมมาก ทั้งๆ ที่คุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของคน การปลูกฝังควรจะอยู่ในบริบทของวิถีชีวิตประจำวัน และควรเป็นบทบาทของพ่อแม่ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า พ่อแม่ส่วนหนึ่งกำลังลืมบทบาทของตัวเอง และมองข้ามความสำคัญของการเป็น แม่ไม้ เพื่อให้ ลูกไม้ ได้ร่วงหล่นอยู่ภายใต้ร่มเงาอันร่มเย็น เซลล์กระจกเงาคืออะไร มีความสำคัญอะไรต่อความสัมพันธ์ระหว่าง แม่ไม้ และ ลูกไม้ คุณอาจเคยเจอเหตุการณ์ที่เห็นคนอื่นหาวแล้วคุณหาวตามโดยอัตโนมัติ คุณอาจเคยฟังเพื่อนสนิทเล่าเรื่องราวความไม่ดีของสามีของเขาให้ฟังด้วยความโกรธแค้น และน้อยใจ แล้วคุณก็รู้สึกโกรธเกลียดสามีของเพื่อนตามไปด้วย ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองใจเลย คุณอาจเคยไปดูเขาสาธิตการทำอาหาร พอกลับถึงบ้านคุณสามารถปรุงอาหารจานนั้นให้สามีและลูกรับประทานได้อย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่ต้องกางตำราเลย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ เซลล์กระจกเงา ครับ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในสมองของคนเรามีเซลล์อยู่ชนิดหนึ่ง หน้าที่ของมันคือการทำเลียนแบบท่าทางผู้อื่นที่พบเห็นทั้งโดยตั้งใจ หรือโดยอัตโนมัติ มันทำหน้าที่ อ่าน ท่าทีหรือท่าทางของคนอื่นเพื่อให้เราได้ เข้าใจ ถึงความรู้สึกและเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีและท่าทางนั้นๆ แถมยังบังคับ ควบคุมให้เราปรับท่าทีหรือท่าทางให้สอดคล้องกับ ความเข้าใจ ของเราที่มีต่อความในใจ หรือเจตนาของคนผู้นั้นด้วย ด้วยเหตุนี้แหละครับคุณถึงได้หาวตามผู้อื่น โกรธเคืองสามีคนอื่น ทำอาหารได้เพียงแค่ไปดูเขาสาธิตวิธีทำ นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อเซลล์ชนิดนี้ว่า
'เซลล์กระจกเงา : Mirror Neuron' คุณเคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมเด็กเล็กๆ ที่พูดยังไม่ได้หรือพูดยังไม่ค่อยชัด แต่ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือสอนได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาพ่อแม่พูดพร้อมกับแสดงท่าทางให้เห็นด้วย จากเสียงที่เปล่งออกมาประกอบกับท่าทางที่พ่อแม่แสดงออกจะกระตุ้นให้เซลล์กระจกเงาของเด็กสามารถอ่าน และเข้าใจความหมายหรือเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้น้ำเสียง และท่าทางนั้นได้ นี่คือวิธีการเรียนรู้ที่เด็กเล็กๆ ใช้เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดที่ธรรมชาติได้มอบให้ นั่นก็คือ การเรียนรู้ด้วยการเอาอย่าง (Imitative Learning) ซึ่งเป็นการทำงานของเซลล์กระจกเงานั่นเอง การเรียนรู้แบบนี้แหละครับที่ทำให้เกิดภาษาและความเข้าใจในภาษาของเด็ก และการเรียนรู้ทั้งสองแบบคือการเรียนรู้ด้วยการเอาอย่าง และการเรียนผ่านทางการสื่อสารด้วยภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ของมนุษย์ไปจนตลอดชีวิต ในเมื่อเด็กยังเล็กอยู่ การเรียนรู้โดยการสื่อสารด้วยภาษายังไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะความสามารถในการรับ หรือส่งภาษายังไม่มากพอ ดังนั้น การเรียนรู้โดยผ่านทางภาษาจึงยังไม่บังเกิดผลอย่างเต็มที่ เซลล์กระจกเงาจึงเป็นคำตอบที่สำคัญของคำถามที่ว่าจะสอนลูกอย่างไรดี โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ มาดูกันครับว่าเราจะใช้ทฤษฎีเซลล์กระจกเงาสอนลูกได้อย่างไรบ้าง เพื่อจะให้ลูกสามารถทำให้ ความหวัง ที่เราฝากไว้ให้เป็นจริงในอนาคต
หวังอยากให้ลูกเป็นคนดี สิ่งที่เราต้องทำก็คือ - ทำดีให้ลูกเห็นเป็นแบบอย่าง พาลูกไปกราบคุณตาคุณยาย พาลูกไปทำบุญ - อย่าทำสิ่งไม่ดีแม้ลูกจะไม่อยู่ เพราะอาจเผลอทำเวลาที่ลูกอยู่ด้วย - กันลูกออกจากแบบอย่างที่ไม่ดี เพราะเราไม่อยากให้เซลล์กระจกเงาของเขาไปสัมผัสกับแบบอย่างที่ไม่ดี - ชมเมื่อลูกทำดี
หวังอยากให้ลูกรัก (การอ่าน) หนังสือ สิ่งที่เราต้องทำคือ - อ่านหนังสือให้ลูกเห็นทุกวัน - เล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน - มีหนังสือ (ล่อใจ) ให้ลูกอ่าน (เล่น) ที่บ้าน - มีกระดาษ ดินสอ สี เอาไว้ขีดเขียน - พาลูกไปห้องสมุด และร้านหนังสือสัปดาห์ละครั้ง - ชมเมื่อเห็นลูกอ่าน (เล่น) หนังสือ
หวังอยากให้ลูกเก่งและมีความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่ต้องทำคือ - พ่อแม่ทำตัวเป็นคนอย่างรู้ให้ลูกเห็น หากลูกตั้งคำถามพาลูกค้นหาคำตอบ - พ่อแม่พาลูกทำกิจกรรมอ่าน ฟัง ดูให้มาก - แสดงให้ลูกเห็นว่า ชอบวิธีคิดของลูกมากกว่าคำตอบของลูก - ชมเมื่อลูกมีวิธีคิดที่แตกต่าง หรือมีวิธีคิดใหม่ๆ นี่เป็นตัวอย่างเพียงบางเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปใช้เพื่อสอนลูกได้ หรือหากอยากรู้เรื่องมากกว่านี้ก็ต้องขอเชิญที่งาน ' รักลูกเฟสติวัล 2008 ' ในวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ 2551 ที่อาคาร 1-2 อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อพบกับ 'มหัศจรรย์แห่งเซลล์กระจกเงา และทักษะพ่อแม่ '
ข้อมูลจากนิตยสาร : ฉบับที่ 301 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 โดย นพ.อุดม เพชรสังหาร
Create Date : 18 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 18 มกราคม 2552 23:40:47 น. |
Counter : 446 Pageviews. |
| |
|
|
|