สวัสดีคะ ยินดีต้อนรับเพื่อนๆทุกท่านคะ
ขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมบล็อก ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินในบล็อกนี้และหวังว่าคุณจะมีรอยยิ้มหลังออกจากบล็อกนี้นะคะ

ช่วยหนูพัฒนาทักษะสังคม

ใครๆ ก็อยากให้ลูกของเราเป็นที่รักของคนอื่นใช่ไหมคะ แล้วจะต้องทำอะไร บ้างล่ะ
คำตอบอยู่ที่คนเป็นพ่อแม่นี่เองค่ะ เพราะเป็นทั้งเพื่อนเล่นคนแรกของเจ้าตัวน้อย เป็นคนที่ลูกเรียกหามากที่สุด และตั้งใจฟังเสียงมากที่สุด สายตาคู่น้อยจะจับจ้องแต่ที่ใบหน้า
ของเรา รับสัมฝัสจากมือของเรา แล้วก็เรานี่ละ ที่จะช่วยทำให้หนูน้อยมีความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ จนสามารถเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ได้
แล้วก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่นะคะว่า ลูกวัยขวบแรกจะยังสนใจแต่ตัวเอง หรือสิ่งที่อยู่รอบๆ ใกล้ชิดกับตัวเอง ยังไม่ค่อยสนใจโลกภายนอกสักเท่าไหร่นัก การพัฒนาทักษะทาง
สังคมให้กับหนูน้อยขวบแรกเราก็เลยต้องเริ่มจากสังคมใกล้ๆ ตัวหนูน้อยอย่างพ่อแม่ ครอบครัว คนใกล้ตัวเขานี่แหละค่ะ เพื่อให้ลูกของเราได้รู้จักและเรียนรู้ และหากว่าเราทำ
สังคมนี้ให้มีความสุขได้ เจ้าตัวเล็กของเราก็พร้อมที่จะเข้าสู่สังคมใหญ่ต่อไปค่ะ
ช่วยหนูเรียนรู้เข้าสังคม
การมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างพ่อ-แม่-ลูก การที่พ่อแม่มีปฏิกิริยาตอบรับลูก จะช่วยสร้างความไว้วางใจต่อโลกภายนอก ทำให้ลูกกล้าที่จะสำรวจโลกภายนอก เช่น สบตากัน
กับลูก พูดคุยกัน สัมผัสกัน กอดกัน เวลาลูกร้องหาก็ขานรับ เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค่ะ
โดยเฉพาะการเล่นกับลูกเป็นวิธีอย่างหนึ่งที่ช่วยฝึก ช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมให้กับลูกได้อย่างดี เพราะการที่ได้เล่นกันจะช่วยให้มีปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัว ให้ได้สัมผัส
ได้คุยกัน เติมความมั่นคงในจิตใจ เสริมพัฒนาการด้านร่างกายให้ลูกพร้อมที่จะก้าวไปสู่สังคมใหญ่ต่อไป
เพื่อเป็นการช่วยเจ้าตัวน้อยของเราให้เตรียมพร้อมเข้าสังคม คราวนี้ด้วยสองมือพ่อแม่ก็เลยมีเกมที่เราจะใช้เล่นกับลูกมาเสนอค่ะ และหากว่าคุณพ่อคุณแม่มีเกมอื่นที่จะ
เล่นกันกับลูก หรือมีเพลงอื่นที่เป็นเพลงโปรดเฉพาะตัวของลูก จะใช้เพลงนั้นๆ เล่นกับลูกแทนก็ได้นะคะ ไม่ว่ากัน เพราะวันนี้แค่มีไอเดียมาขายค่ะ ว่าแต่ว่าจะรับซื้อหรือเปล่าเอ่ย...
โยกเยกเอย
"โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ หมาหางงอ กอดคอโยกเยก"
เพลงนี้เอาไว้เล่นกับลูกเล็กๆ เวลาเล่นกันอาจจะอุ้มเจ้าตัวน้อยหรือจับนั่งตัก แล้วร้องเพลงโยกเยก พร้อมกับโยกตัวไปมา สบตากันไปด้วย หรืออาจจะให้ลูกขี่หลังคุณพ่อ
คุณแม่ช่วยจับไว้ไม่ให้ล้ม ร้องเพลงโยกเยกแล้วก็โยกเยกตัวไปมา
จ้ำจี้มะเขือเปาะ
"จ้ำจี้มะเขือเปาะ กระเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่น กระแท่นต้นกุ่ม สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง เยี่ยมๆ มองๆ
นกขุนทองร้อง ฮู้"
เมื่อลูกอายุสัก 5-6 เดือนนั่งได้โดยไม่ล้ม ก็เล่นจ้ำจี้กับลูกได้แล้วค่ะ เวลาลูกนั่งเล่นอยู่กับเราแล้วเขาเอามือเท้าพื้น เราก็เล่นจ้ำจี้กับเขาได้ค่ะ เวลาที่เล่นกันก็สบตา
กันไปด้วย เวลาจิ้มที่นิ้ว ลูกก็จะรู้สึกถึงสัมผัสที่เราสัมผัสกัน เพลงจ้ำจี้มะเขือเปาะที่ร้องไปด้วยก็เป็นการเรียนรู้ภาษาไปในตัว เราอาจมีเทคนิคเรียกรอยยิ้มของลูกสักเล็กน้อยก็ตรง
ท่อนเพลงที่ร้อง "ฮู้" ก็อาจยื่นหน้าไปหอมแก้มลูก เอาจมูกไชแก้มลูกให้แกหัวเราะคิกคักๆ ได้ค่ะ
แมงมุมลาย
"แมงมุมลายตัวนั้นฉันเห็นมันซมซานเหลือทน วันหนึ่งมันเปียกฝน ไหลหล่นจากบนหลังคา พระอาทิตย์ส่องแสง น้ำแห้งเหือดไปลับตา มันรีบไต่ขึ้นฟ้า หันหลังมาทำตาลุกวาว"
พอช่วงนี้ลูกเริ่มใช้มือได้ เราก็มาเล่นแมงมุมลายกันค่ะ ร้องเพลงไปด้วย แล้วก็ทำมือไต่ขึ้นฟ้าไปพร้อมกับลูก หรือจะเปลี่ยนเป็นไต่ตัวเจ้าตัวเล็กของเราแทนก็ได้นะคะ
ตั้งไข่ล้ม
"ตั้งไข่ล้ม ต้มไข่กิน ไข่ตกดิน อดกินไข่ต้ม"
พอ 8-9 เดือน เจ้าตัวน้อยของเราก็เริ่มตั้งไข่ เราก็เล่นกับลูกโดยเวลาลูกตั้งไข่ เราอาจจะร้องเพลงแล้วปรบมือตามจังหวะให้กำลังใจ พร้อมทั้งสบตาพยักเพยิดช่วย
ให้ลูกตั้งไข่ได้ด้วยก็ดีค่ะ
เป็ดน้อย
"ก้าบ ก้าบ ก้าบ เป็ดอาบน้ำในคลอง ตาก็จ้องแลมอง เพราะในคลองมีหอยปูปลา"
พอหนูน้อยเริ่มอยู่ในช่วงวัยกำลังหัดเดิน ทีนี้เราก็มาช่วยให้ลูกเดินได้อย่างมีกำลังใจโดย ร้องเพลง "ก้าบ ก้าบ ก้าบ ..." แล้วจับมือลูกค่อยๆ จูงพาลูกให้ก้าวเดิน
ไปพร้อมๆ กัน
เพียงเท่านี้ แต่ถ้าทำบ่อยๆ เป็นประจำ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราจะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมให้ลูกน้อยขวบแรกของเราได้แล้วล่ะค่ะ

ข้อมูลจาก : นิตยสาร รักลูก ฉบับที่ 229 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2545




 

Create Date : 18 มกราคม 2552    
Last Update : 18 มกราคม 2552 23:45:10 น.
Counter : 288 Pageviews.  

รักแล้วต้องเข้าใจหนูด้วย !

เจ้าตัวเล็กวัยนี้มักทำให้อาการปวดเศียรเวียนเกล้าเกิดขึ้นกับพ่อแม่บ่อยๆ ด้วยพฤติกรรมของหนูที่แสนจะวุ่นวาย พ่อแม่หลายคนถึงกับอ่อนอกอ่อนใจ พาลอารมณ์บูดไม่เข้าใจว่าทำม้ายย ทำไม..ลูกที่แสนจะน่ารักเมื่อตอนแบเบาะ ถึงได้กลายเป็นเจ้าตัวแสบได้ขนาดนี้...
แต่ถ้าความรักในหัวใจพ่อแม่ มีความเข้าใจลูกอยู่ด้วย เรื่องวุ่นๆ ก็จะกลับกลายเป็นเรื่องดีๆ ที่มีผลต่อพัฒนาการที่ดีของลูกวัยนี้ได้เชียวล่ะ
โทมัส ซี แมคจินนิส และ จอห์น อายเรส เขียนไว้ในหนังสือ "ชีวิตและครอบครัว : การอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขว่า ความรักคืออาหารทางอารมณ์ของเด็กทุกคน และเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับพัฒนาการด้านร่างกายและจิตใจของเด็ก"
ความรักนั้นพ่อแม่ทุกคนมีให้กับลูกอยู่แล้ว แต่ด้วยวัยและช่วงอายุของลูกก็สามารถทำให้พ่อแม่งงงวยกับพฤติกรรมของหนูๆได้ง่ายๆ ถึงตอนนี้รักอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องเพิ่ม "ความเข้าใจ" เข้าไปด้วยครับ
ซนเป็นลิงเป็นค่าง
* เมื่อน้องต้นน้ำ จอมป่วนวัย 1 ขวบ 8 เดือน เผลอไปหยิบตุ๊กตาดินเผาตัวโปรดของแม่มาเล่น แล้วทำหล่นลงพื้นแตกกระจายๆ บางครั้งก็กระโดดลงจากโต๊ะ พาใจแม่คว่ำหายไม่เป็นท่า ก็เลยส่งเสียงดุด้วยความตกใจและเป็นห่วง แต่น้องต้นน้ำนี่สิกลับร้องไห้แงเพราะตกใจกับเสียงดุของแม่ไปแล้ว
เด็กๆ วัย 1-2 ปี ไม่ใช่วัยแบเบาะทำอะไรไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะกำลังแขนขาของลูกตอนนี้แข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อลูกรู้ว่าแขนขาของตัวเองแข็งแรงดีแล้วก็เลยอยากทดลองออกไปสู่โลกกว้าง ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของเขาเองครับ
ช่วงนี้หนูก็เลยชอบเหวี่ยงโน่นเหวี่ยงนี่ลงพื้น เท่านั้นไม่พอยังหันมายิ้มเผล่ให้ เหมือนจะยั่วอารมณ์ หากคุณแม่เผลอไผลตะคอกใส่ ไม่ดีแน่ครับ นอกจากจะทำให้หนูตกใจกลัวและเกิดความไม่ไว้วางใจแล้ว ยังไปปลูกฝังความรุนแรงให้ลูกโดยไม่รู้ตัวอีก พ่อแม่จึงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ให้ดี แม้จะรักหวงของยังไงก็ตาม ทางที่ดีควรจัดบ้านให้เป็นที่เป็นทาง หาของเล่นที่เอื้อต่อพัฒนาการหนู เช่น ลูกบอลยางที่เขวี้ยงยังไงก็ไม่แตก หรือปล่อยให้หนูได้กระโดดโลดเต้นบ้าง แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย เช่นยอมให้กระโดดจากเก้าอี้เตี้ยๆไงครับ
ไม่ๆๆๆ ยังไงก็ไม่
* น้องต้นน้ำเคยชอบกินโจ๊กเละๆ ฝีมือคุณแม่เหลือเกิน แต่ไหงพอโตขึ้นมา ไอ้โน่นก็ไม่เอาไอ้นี่ก็ไม่เอา ช่างเลือกกินนักเชียวพูดอย่างเดียวว่าไม่ ไม่ๆๆๆๆ และ ไม่ ทำเอาแม่อ่อนอกอ่อนใจจนเผลอดุว่า "เออ ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินเดี๋ยวปล่อยให้ผอมตายไปเลย" หรือบางทีรั้นจะติดกระดุมเสื้อหรือรูดซิบเอง ทั้งๆ ที่ยังทำไม่เป็น จะเข้าไปช่วยก็ไม่ให้ช่วย แถมโวยวายงอแง เพราะอะไรน้าาา ทำไมหนูเป็นแบบนี้ล่ะ ?
ก็ลูกวัยนี้ยังยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่มาก อยากเป็นอิสระต้องการแสดงออกถึงพลังอำนาจของตนเอง ถึงเอาแต่ปฏิเสธยังไงล่ะครับ และนอกจากนั้นยังเป็นวัยที่อยากจะทำอะไรด้วยตัวเองอีกด้วย แต่ถึงจะดื้อยังไงหนูๆ ก็มีหัวใจนะครับ ไม่ชอบถูกดุถูกว่าหรอก แต่ชอบคำชม ฉะนั้นวิธีที่ดีคือพ่อแม่ควรค่อยๆ บอกลูก ค่อยๆ ชมค่อยๆ ชักชวนโดยใช้คำพูดที่อ่อนโยน เช่น "ลองกินดูนะลูกนะ กินแล้วเราจะได้ไปวิ่งเล่นกัน อ้ำ ลูกแม่เก่งจังเลยค่ะ " ไพเราะกว่าประโยชน์ข้างบนตั้งเยอะแถมหนูยังยอมกินข้าวอีกนะ
กรี๊ดๆๆๆๆๆ ทำไมล่ะลูก
* ต้นน้ำ เล่นแต่งตัวพี่หุ่นยนต์ พยายามเหลือเกินที่จะใส่รองเท้าให้หุ่นยนต์ตัวโปรด แต่ยังไงๆ ก็ใส่ไม่ได้ หันรีหันขวางมองไม่เห็นใคร หุ่นยนต์ตัวโปรดก็ถูกเหวี่ยงติดผนังบ้านพลั่กใหญ่ ตามมาด้วยเสียงกรี๊ด ด้วยความขุ่นเคืองของต้นน้ำ ยังความสงสัยและเหนื่อยใจแก่คุณแม่อย่างหนัก จนถึงขั้นลลงมือเผลียะทำเอาหนูร้องไห้ไม่หยุด
คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า จริงอยู่ที่วัยนี้ต้องการทำอะไรด้วยตัวเอง แต่ยังไงหนูๆ ก็มีความรู้สึกก้ำกึ่งอยู่ระหว่างพึ่งตนเองกับพึ่งคนอื่น ดังนั้นถ้าหนูพึ่งตนเองไม่ได้ก็จะต้องพึ่งพ่อแม่ล่ะ แต่พอหันมาไม่เห็นแม่ก็เลยร้องแงๆ ตีอกชกหัว พี่หุ่นยนต์เลยรับเคราะห์ไป พ่อแม่จึงต้องเข้าไปช่วยครับ เช่น ช่วยสอนลูกให้ใส่รองเท้าให้กับหุ่นยนต์ แต่ห้ามใส่รองเท้าหุ่นยนต์ให้ลูกเลยนะครับ เพราะเท่ากับเป็นการไปตัดโอกาสการเรียนรู้ของลูกครับ
เอาแต่ใจเหลือเกินนะลูกนะ
* น้องต้นน้ำเห็นตุ๊กตาหุ่นยนต์คาเมนไรเดอร์ของน้องเหมี่ยวเลยอยากได้ อาละวาดจะเอาๆ แค่ร้องยังไม่พอ ลงไปกลิ้งเกลือกนอนกับพื้นดิ้นพราดๆ ต่อหน้าธารกำนัล แม้แม่พร่ำบอกว่าจะซื้อให้วันหลังก็ไม่ยอม ทำเอาพ่อแม่อายสุดๆ ที่สุดก็เลยถูกตีแถมดุด้วยว่า "เงียบสิ ไม่เงียบแม่ไม่รักนะ"
พ่อแม่ต้องใจเย็นไว้ครับสำหรับการรับมือกับเด็กวัยนี้ ก็หนูๆ ยังไม่รู้จักควบคุมตัวเองดีพอ เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวัยทารกกับวัยเด็ก หนูยังต้องเรียนรู้ที่จะรอ เพราะตอนแบเบาะพอหิวก็ร้องแล้วก็ได้กินนมเกือบจะทันที โตขึ้นมาหน่อยอยากได้อะไรก็เลยร้องจะเอาให้ได้ ไม่รู้จักการรอ ครับ
เมื่อลูกอาละวาดไม่ควรดุด่าว่ากล่าว หรือเอาคำรักมาขู่เพื่อให้ลูกหยุดพฤติกรรมนั้น แต่ควรเข้าไปปลอบประโลม กอดจนลูกสงบลง การปลอบโยนไม่ใช่การยอมนะครับ แต่เป็นการทำให้ลูกสงบและรับฟังเหตุผล หรือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจลูกไปเรื่องอื่นแทน ที่สำคัญไม่ควรยอมให้ของรางวัลเพื่อหวังให้ลูกเงียบ เพราะจะเท่ากับคุณยอมแพ้อาการงอแงขอความเห็นใจแบบนี้ของลูก ซึ่งจะทำให้ลูกรู้ว่าวิธีนี้ได้ผลแฮะ ขืนเป็นอย่างนี้บ่อยเข้าโตขึ้นหนูจะกลายเป็นคนเอาแต่ใจได้ครับ
เชื่อครับว่าพ่อแม่ทุกคนรักและห่วงใยลูก แต่รักและห่วงใยยังไม่พอครับ ต้อง"เข้าใจ"พัฒนาการทุกย่างก้าวของลูกด้วย เพื่อจะได้ส่งเสริมลูกได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับวัยทั้งทางอารมณ์และจิตใจครับ

ข้อมูลจาก : นิตยสาร Modern Mom ฉบับที่ 90 เดือนมกราคม พ.ศ.2546




 

Create Date : 18 มกราคม 2552    
Last Update : 18 มกราคม 2552 23:43:30 น.
Counter : 376 Pageviews.  

สอนลูกอย่างไรดี คำตอบอยู่ที่เซลล์กระจกเงา



เมื่อมีลูก พ่อแม่ทุกคนฝาก 'ความหวัง' ไว้ที่ลูกเสมอ
หวังอยากให้ลูกได้ดี
หวังอยากให้ลูกเป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่และวงศ์ตระกูล
หวังว่าจะได้ฝากผีฝากไข้ ยามที่พ่อแม่แก่เฒ่า
นี่คือความหวัง แต่ความสมหวังคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากพ่อแม่ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย ตรงกันข้าม ยิ่งหวังมาก ยิ่งต้องออกแรงมาก ที่น่าเป็นห่วงคือ พ่อแม่หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดว่า การลงทุนของพ่อแม่คือการใช้เงิน การจ้าง หรือไหว้วานคนอื่นให้มาทำหน้าที่แทน ให้คนอื่นหรือสิ่งอื่นมาทำในสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ สุดท้ายพ่อแม่อาจจะไม่ได้สมหวังตามที่ตั้งความหวังเอาไว้
พ่อแม่ย่อมต้องมีหน้าที่อบรมเลี้ยงดูลูก ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรก็ตาม นี่คือกฎเกณฑ์หรืออาจเรียกว่า กฎของธรรมชาติที่ทุกชาติทุกภาษาต่างยึดถือ พ่อแม่มีหน้าที่ต้อง ‘เลี้ยงลูก’ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ คอยปกป้องคุ้มครองให้ลูกปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง และยังต้อง ‘อบรมบ่มนิสัย’ ให้ลูกเป็นพลเมืองที่ดี ผู้ใหญ่ที่ดี และลูกที่ดี ภายใต้กรอบและกฎเกณฑ์ของสังคมนั้นๆ
ในเมื่อมันเป็นหน้าที่เราก็ต้องยอมรับ จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และความสำคัญของหน้าที่อันนี้ไม่ได้ยิ่งหย่อนน้อยไปกว่าการทำมาหากินของพ่อแม่ ข้ออ้างที่ว่า ต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูลูก ผมว่าเราต้องเลิกอ้างกันได้แล้ว หากเรายังหวังว่าเมื่อถึงเวลา ‘ลูก’ จะคือผู้ที่ทำให้ ‘ความหวัง’ ของเราเป็นจริง
คนโบราณสอนเอาไว้ว่า ' ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น 'ความหมายก็คือ พ่อแม่เป็นแบบไหนลูกก็เป็นแบบนั้น นิสัยใจคอของลูกล้วนเกิดจากการซึมซับและเลียนแบบมาจากต้นแบบ ซึ่งก็คือพ่อแม่นั่นเอง คำสอนนี้ได้รับการพิสูจน์ภายใต้บริบทของสังคมไทยของเรามาโดยตลอดว่าเป็นจริง แต่จะเป็นเพราะการขาดความเชื่อมั่นศรัทธาในคำสอนนี้หรือ เพราะความเข้าใจผิดก็ไม่ทราบได้ทำให้พ่อแม่หลายต่อหลายคนมองข้ามคำสอนนี้ไป
เราพบอยู่เสมอว่าเมื่อเวลาเด็กมีปัญหา พ่อแม่จะกล่าวโทษครูที่โรงเรียนว่าไม่ช่วยสอนเรื่องนั้น เรื่องนี้ พอโรงเรียนบอกว่าพ่อแม่ต้องช่วยโรงเรียนด้วย พ่อแม่จะบอกว่าไม่มีเวลา ต้องทำมาหากิน สุดท้ายจึงเรียกร้องให้มีหลักสูตรคุณธรรมขึ้นในโรงเรียน โรงเรียนก็จัดให้ตามคำขอ คุณธรรมจริยธรรมกลายเป็นวิชาขึ้นมา ต้องเรียน ต้องสอบเก็บคะแนน ใครได้คะแนนมากแปลว่ามีคุณธรรมมาก ทั้งๆ ที่คุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของคน การปลูกฝังควรจะอยู่ในบริบทของวิถีชีวิตประจำวัน และควรเป็นบทบาทของพ่อแม่
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า พ่อแม่ส่วนหนึ่งกำลังลืมบทบาทของตัวเอง และมองข้ามความสำคัญของการเป็น ‘แม่ไม้’ เพื่อให้ ‘ลูกไม้’ ได้ร่วงหล่นอยู่ภายใต้ร่มเงาอันร่มเย็น
เซลล์กระจกเงาคืออะไร มีความสำคัญอะไรต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ‘แม่ไม้’ และ ‘ลูกไม้’
คุณอาจเคยเจอเหตุการณ์ที่เห็นคนอื่นหาวแล้วคุณหาวตามโดยอัตโนมัติ คุณอาจเคยฟังเพื่อนสนิทเล่าเรื่องราวความไม่ดีของสามีของเขาให้ฟังด้วยความโกรธแค้น และน้อยใจ แล้วคุณก็รู้สึกโกรธเกลียดสามีของเพื่อนตามไปด้วย ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองใจเลย
คุณอาจเคยไปดูเขาสาธิตการทำอาหาร พอกลับถึงบ้านคุณสามารถปรุงอาหารจานนั้นให้สามีและลูกรับประทานได้อย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่ต้องกางตำราเลย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ ‘เซลล์กระจกเงา’ ครับ
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในสมองของคนเรามีเซลล์อยู่ชนิดหนึ่ง หน้าที่ของมันคือการทำเลียนแบบท่าทางผู้อื่นที่พบเห็นทั้งโดยตั้งใจ หรือโดยอัตโนมัติ มันทำหน้าที่ ‘อ่าน’ ท่าทีหรือท่าทางของคนอื่นเพื่อให้เราได้ ‘เข้าใจ’ ถึงความรู้สึกและเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีและท่าทางนั้นๆ แถมยังบังคับ ควบคุมให้เราปรับท่าทีหรือท่าทางให้สอดคล้องกับ ‘ความเข้าใจ’ ของเราที่มีต่อความในใจ หรือเจตนาของคนผู้นั้นด้วย ด้วยเหตุนี้แหละครับคุณถึงได้หาวตามผู้อื่น โกรธเคืองสามีคนอื่น ทำอาหารได้เพียงแค่ไปดูเขาสาธิตวิธีทำ นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อเซลล์ชนิดนี้ว่า

'เซลล์กระจกเงา : Mirror Neuron'
คุณเคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมเด็กเล็กๆ ที่พูดยังไม่ได้หรือพูดยังไม่ค่อยชัด แต่ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือสอนได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาพ่อแม่พูดพร้อมกับแสดงท่าทางให้เห็นด้วย จากเสียงที่เปล่งออกมาประกอบกับท่าทางที่พ่อแม่แสดงออกจะกระตุ้นให้เซลล์กระจกเงาของเด็กสามารถอ่าน และเข้าใจความหมายหรือเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้น้ำเสียง และท่าทางนั้นได้ นี่คือวิธีการเรียนรู้ที่เด็กเล็กๆ ใช้เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดที่ธรรมชาติได้มอบให้ นั่นก็คือ การเรียนรู้ด้วยการเอาอย่าง (Imitative Learning) ซึ่งเป็นการทำงานของเซลล์กระจกเงานั่นเอง การเรียนรู้แบบนี้แหละครับที่ทำให้เกิดภาษาและความเข้าใจในภาษาของเด็ก และการเรียนรู้ทั้งสองแบบคือการเรียนรู้ด้วยการเอาอย่าง และการเรียนผ่านทางการสื่อสารด้วยภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ของมนุษย์ไปจนตลอดชีวิต
ในเมื่อเด็กยังเล็กอยู่ การเรียนรู้โดยการสื่อสารด้วยภาษายังไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะความสามารถในการรับ หรือส่งภาษายังไม่มากพอ ดังนั้น การเรียนรู้โดยผ่านทางภาษาจึงยังไม่บังเกิดผลอย่างเต็มที่ เซลล์กระจกเงาจึงเป็นคำตอบที่สำคัญของคำถามที่ว่าจะสอนลูกอย่างไรดี โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ
มาดูกันครับว่าเราจะใช้ทฤษฎีเซลล์กระจกเงาสอนลูกได้อย่างไรบ้าง เพื่อจะให้ลูกสามารถทำให้ ‘ความหวัง’ ที่เราฝากไว้ให้เป็นจริงในอนาคต

หวังอยากให้ลูกเป็นคนดี สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
- ทำดีให้ลูกเห็นเป็นแบบอย่าง พาลูกไปกราบคุณตาคุณยาย พาลูกไปทำบุญ
- อย่าทำสิ่งไม่ดีแม้ลูกจะไม่อยู่ เพราะอาจเผลอทำเวลาที่ลูกอยู่ด้วย
- กันลูกออกจากแบบอย่างที่ไม่ดี เพราะเราไม่อยากให้เซลล์กระจกเงาของเขาไปสัมผัสกับแบบอย่างที่ไม่ดี
- ชมเมื่อลูกทำดี

หวังอยากให้ลูกรัก (การอ่าน) หนังสือ สิ่งที่เราต้องทำคือ
- อ่านหนังสือให้ลูกเห็นทุกวัน
- เล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน
- มีหนังสือ (ล่อใจ) ให้ลูกอ่าน (เล่น) ที่บ้าน
- มีกระดาษ ดินสอ สี เอาไว้ขีดเขียน
- พาลูกไปห้องสมุด และร้านหนังสือสัปดาห์ละครั้ง
- ชมเมื่อเห็นลูกอ่าน (เล่น) หนังสือ

หวังอยากให้ลูกเก่งและมีความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่ต้องทำคือ
- พ่อแม่ทำตัวเป็นคนอย่างรู้ให้ลูกเห็น หากลูกตั้งคำถามพาลูกค้นหาคำตอบ
- พ่อแม่พาลูกทำกิจกรรมอ่าน ฟัง ดูให้มาก
- แสดงให้ลูกเห็นว่า ชอบวิธีคิดของลูกมากกว่าคำตอบของลูก
- ชมเมื่อลูกมีวิธีคิดที่แตกต่าง หรือมีวิธีคิดใหม่ๆ
นี่เป็นตัวอย่างเพียงบางเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปใช้เพื่อสอนลูกได้ หรือหากอยากรู้เรื่องมากกว่านี้ก็ต้องขอเชิญที่งาน ' รักลูกเฟสติวัล 2008 ' ในวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ 2551 ที่อาคาร 1-2 อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อพบกับ 'มหัศจรรย์แห่งเซลล์กระจกเงา และทักษะพ่อแม่ '


ข้อมูลจากนิตยสาร : ฉบับที่ 301 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2551
โดย นพ.อุดม เพชรสังหาร




 

Create Date : 18 มกราคม 2552    
Last Update : 18 มกราคม 2552 23:40:47 น.
Counter : 446 Pageviews.  

ทำอย่างไรให้ลูกรักเป็นเด็กดี

การเรียนเก่งมิใช่หนทางของการเป็นเด็กดีนะจะบอกให้


ขอให้คุณแม่ทั้งหลายยอมรับความเป็นจริงขั้นพื้นฐาน ไว้ประการหนึ่งว่า เด็กไม่สามารถเรียนดีทุกวิชาได้ทุกคนไป หรือเด็กบางคนอาจเรียนวิชาหลักไม่ได้เลยสักวิชา แต่เขามีความสามารถพิเศษ (talent) ทางดนตรี หรือศิลปะอย่างอื่น
ฉะนั้น ถ้าลูกรักของท่านสอบตก ก็อย่าเพิ่งด่วนโกรธ ดุว่าหรือสิ้นหวัง จงพยายามเข้าใจเขาหยั่งความสามารถ และหาสาเหตุด้วยอารมณ์หนักแน่นและมีเหตุผล
ผู้เขียนเห็นว่าปัญหาที่สำคัญกว่าและเป็นหน้าที่สำคัญสุด ของผู้เป็นแม่คือ จะเลี้ยงลูกอย่างไรเพื่อให้เขามีความสุขเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่บุคลิกภาพสมบูรณ์เพื่ออยู่ในสังคมอย่างที่ใครๆ ชื่นชอบและต้อนรับ ท่านอาจเคยเห็นหรือเคยทราบว่า นักเรียนเหรียญทอง หรือบัณฑิตเกียรตินิยมบางคน เข้ากับใครไม่ได้ เพราะมนุษยสัมพันธ์ และบุคลิกภาพที่บกพร่อง เข้าทำนอง "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" แต่ท่านก็คงเคยพบนักเรียนหลายคนที่ไม่เคยมีชื่อเสียงในการเรียนเลย ที่ออกไปทำประโยชน์ให้สังคมแบะประเทศชาติจนมีชื่อเสียงเช่นกัน
ท่านอยากให้ลูกเป็นบุคคลประเภทไหน ?
ถ้าอยากได้อย่างแรก ก็จงเร่งรัด ผลักดัน และเคี่ยวเข็ญเข้าไปเถิด ถ้าอยากได้ลูกประเภทหลังก็อย่าทำเช่นนั้นเลย แต่จงหยั่งสติปัญญา ความสามารถของเขาโดยปรึกษาครูประจำชั้นเพื่อทราบว่า ลูกรักของท่านสนใจและมีความสามารถในวิชาใด แล้วสนับสนุนวิชานั้นๆ เป็นพิเศษ
อย่าใช้ความทะเยอทะยานของท่านฝ่ายเดียว บีบบังคับหรือ "ปั้น" ลูกเลย เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เกิดผล สมความมุ่งหวังแล้ว ยังอาจทำลายอนาคตของลูกด้วย เด็กทุกคนไม่ได้เกิดมาฉลาดเท่ากัน อย่าเอาลูกของท่านไปเปรียบกับลูกของคนอื่น
ไม่มีวิธีใดทำให้เด็กทุกคนฉลาดได้หมด แต่มีวิธีหนึ่งที่ทำให้เด็กทุกคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข มีบุคลิกภาพสมบูรณ์ และเป็นที่ยอมรับของสังคม (Socially Accepted) วิธีนั้นคือ การเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพจิตดี ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของพ่อแม่ทุกคน
ในวิชาจิตเวชศาสตร์เด็ก (Child Psychistry) จึงถือว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตร (Parent Child Relationship) เป็นหัวใจของการป้องกันและรักษาความผิดปกติทางจิตเวช (Psychiatric Disorders)
การเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพบริบูรณ์ (well-integrated personality) ต้องการสิ่งต่อไปนี้อย่างเพียงพอ คือ
1. ความรักความอบอุ่น (affection)
2. ความเข้าใจ (understanding)
3. ความมั่นคงทางใจ (security)
4. ระเบียบวินัย (discipline)
5. ความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับของสังคม (achievenment and social acceptance)
และผู้ที่จะให้เขาเป็นคนแรกก็คือ แม่นั่นเอง ท่านได้ให้เขาเพียงพอแล้วหรือยัง
ขอย้อนกลับไปกล่าวถึงเรื่องที่คุณแม่ทั้งหลายสนใจ คือ เรื่องการเรียนของลูกดังได้ชี้แจ้งแล้วว่า เด็กไม่อาจเรียนดีได้ทุกคน แต่ถ้าลูกของท่านเรียนไม่ดี ควรพิจารณาอุปสรรคต่อการเรียนของเด็ก ซึ่งมีมากมาย แต่พอสรุปรวมได้เป็น 3 สาเหตุใหญ่ดังนี้

1. สุขภาพทางกายไม่ดี
เด็กบางคนเป็นไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบบ่อยๆ โลหิตจาง สายตาผิดปกติ หรืออาจมีโรคทางกายเรื้อรังอย่างอื่นแอบแฝงอยู่ ทำให้ขาดเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน หรือทำให้สมาธิในการเรียนต่ำลง จึงควรให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติทางกายเหล่านี้เพื่อรีบรักษาเสีย

2. ระดับเชาวน์ปัญญาต่ำกว่าปกติ
ส่วนมากเด็กที่ระดับเชาวน์ปัญญา (I.Q.) ต่ำมักเจริญเติบโตช้า เช่น พูดช้า เดินช้า และเรียนรู้ช้า เรียนได้เฉพาะชั้นต้นๆ ถ้าประมาณอย่างหยาบๆ เด้กที่เชาวน์ปัญญาระดับ Moron จะเรียนได้ไม่เกินชั้นประถมปีที่ 7 แต่อย่างลืมว่า เด็กที่ระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็อาจด้อยความสามารถเฉพาะทาง เช่น ด้อยทางภาษา หรือด้อยทางคำนวณ ไม่ควรลืมว่ากรรมพันธุ์มีอิทธิพล ต่อระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กด้วย ถ้าคุณแม่เองเคยสอบได้ที่โหล่ ก็ไม่น่าหวังให้ลูกสอบได้ที่หนึ่ง แต่ก็มิได้หมายความว่า ลูกซึ่งมีแม่ที่เคยสอบได้ที่โหล่จะต้องสอบได้ที่โหล่เสมอไป
ในแง่สิ่งแวดล้อม ได้มีการศึกษาในต่างประเทศปรากฏว่า เด็กที่พ่อแม่มีการศึกษาสูง และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ช่วยเสริมประสบการณ์ จะฉลาดกว่าเด็กพวกตรงกันข้ามไม่มากก็น้อย จึงควรสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาของลูกโดยวิธีต่อไปนี้คือ
2.1 จัดหาอุปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกในการศึกษา ตามควรแก่ฐานะของพ่อแม่ เช่น จัดหาโต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ตู้ หรือชั้นสำหรับเก็บหนังสือ เครื่องเล่นเพื่อการศึกษา (educationaltoys) ฯลฯ จัดหาหนังสือที่ให้ความรู้และความเพลิดเพลิน นอกจากตำราเรียนให้เพื่อช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และการใฝ่หาความรู้ Q
2.2 พาไปทัศนาจรสถานที่ต่างๆ และร่วมงานสังคมตามโอกาส และวัยอันสมควรสำหรับเด็ก เพื่อเพิ่มพูนความรู้รอบตัว ประสบการณ์ และเพื่อฝึกการปรับตัวให้เข้ากับสังคม เมื่อพาไปสวนสัตว์ก็มิใช่สักแต่ว่าเดินดูทั่วแล้วกก็กลับ ควรถือโอกาสสอดแทรกความรู้เรื่องสัตว์ต่างๆ และปลูกฝังความรัก และเมตตาสัตว์ไปในตัวเมื่อพาไปทะเลก็อาจแทรกความรู้ ทางวิทยาศาสตร์และความรักธรรมชาติ โดยไม่ทำให้เด็กเบื่อหน่าย เหมือนเรียนวิทยาศาสตร์หรือภูมิศาสตร์อย่างจริงจังในชั้นเรียนเลย เช่น คุณพ่ออาจให้ลูกลองชิมน้ำทะเลว่ามีรสอย่างไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ของที่ลอยในน้ำจืดไม่ได้อาจลอยในน้ำทะเลได้เพราะอะไร หรืออาจจะสอนเรื่องลมบกลมทะเล ชี้ชมและแทรกความรู้เรื่องสัตว์ทะเล พืชทะเล ฯลฯ
2.3 แสดงความสนใจ แต่ไม่แสดงความกังวลในการเรียนของลูก ให้กำลังใจและเป็นที่พึ่งอย่างอบอุ่นเมื่อเขาต้องการ แต่มิใช่ช่วยทำการบ้านแทนลูก เมื่อเขาเรียนดีก็ยกย่องชมเชย หรือให้รางวัลตามสมควร แต่เมื่อเขาพลาด ก็ควรปรึกษากันหาสาเหตุและหาช่องทางแก้ไข

3. มีปัญหาทางอารมณ์และจิตใจ
เด็กบางคนจิตใจได้รับความกระทบกระเทือน จากเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมในครอบครัว หรือที่โรงเรียน เช่น พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยๆ แสดงความไม่ลงรอยต่อหน้าลูก พ่อแม่เคี่ยวเข็ญเรื่องการเรียนมากไป เมื่อเรียนไม่ได้ดี เท่าที่พ่อแม่ตั้งความหวังไว้ก็ถูกพ่อแม่ดุ เกรี้ยวกราด หรือตำหนิอย่างออกนอกหน้าหรือบางรายถูกพ่อแม่ผลักดัน เพื่อให้เก่งหลายๆ ด้าน เช่น ต้องเรียนดนตรีเป็นพิเศษอย่างจริงจัง ทำให้กิจกรรมของเด็กเพิ่มมากขึ้นจนเด็กท้อถอย เด็กอาจไม่ชอบครูบางคน หรือถูกเพื่อนบางคนข่มขู่ รังแกหรือหากเป็นระยะที่เพิ่งย้ายโรงเรียนอาจกำลังอยู่ในภาวะว้าวุ่น เพราะยังปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ไม่ได้ดีพอ
ถ้าเด็กมีอาการหงุดหงิด เหม่อลอย ตกใจง่าย ปวดศีรษะบ่อยๆ เหนื่อยง่าย หมกมุ่น ไม่ร่าเริง ควรปรึกษาจิตแพทย์เด็ก (child psychiatrist) เพื่อหาสาเหตุและความผิดปรกติทางอารมณ์และจิตใจเสียแต่เนิ่นๆ
มีเด็กจำนวนมากที่ระดับเชาวน์ปัญญาปกติ แต่เรียนไม่ดีเพราะมีปัญหาทางอารมณ์และจิตใจ ฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนตำหนิหรือซ้ำเติมลูกของท่าน จงพยายามหาสาเหตุทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนเสียก่อน โดยครูกับผู้ปกครองร่วมมือกัน

พญ.สุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา




 

Create Date : 18 มกราคม 2552    
Last Update : 18 มกราคม 2552 23:38:44 น.
Counter : 396 Pageviews.  

ดนตรี ความงาม ความดี และเซลล์กระจกเงา

ดนตรีที่ดีสามารถนำพาเด็กเข้าไปสู่สิ่งที่เรียกว่าสุนทรียภาพ ความงาม และในที่สุดก็จะเชื่อมเข้าไปสู่ความดีได้ และการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมโดยอาศัยหลักของเหตุและผลก็จะสามารถบังเกิดผลได้
"ชนใดไม่มีดนตรีกาล
ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ
เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์
หรืออุบายมุ่งร้ายฉมังนัก
มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี
และดวงใจย่อมดำสกปรก
ราวนรกชนเช่นกล่าวมานี่"
(พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จากเรื่องเวนิส วานิช)
บทพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปราชญ์ในสมัยก่อนมองว่า ดนตรีคือเครื่องมือหล่อหลอมจิตใจมนุษย์ให้งดงาม ดนตรีคือวิชาที่คนชั้นสูงและปราชญ์จะต้องเรียนรู้เพื่อ เพาะบ่ม ตนเองให้เป็นคนที่สมบูรณ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดนตรีกลับด้อยค่าลง ถูกใช้เป็นเพียงแค่เครื่องบำเรออารมณ์ของมนุษย์ เป็นอาชีพของคนเต้นกินรำกิน ไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในสังคม
ในอีกทางหนึ่งดนตรีก็กลายเป็นเครื่องมือทางธุรกิจที่ใช้เพื่อมอมเมาประชาชน ไม่ว่าจะใช้ในการโฆษณาสินค้าหรือเป็นสินค้าในธุรกิจบันเทิงที่มุ่งเพียงการขายความสนุกสนาน โดยไม่คำนึงถึงความงอกงามในจิตใจหรือจิตวิญญาณของมนุษย์เลย
อย่างไรก็ตาม หากจะมองอย่างพิจารณาในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็แสดงว่า แท้จริงดนตรียังมีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์อยู่ เพราะยังทำให้คนซื้อสินค้า ทำให้ธุรกิจบันเทิงเติบโตอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพียงแค่ว่าบทบาทของมันในแง่ของการหล่อหลอมชีวิตและจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ได้ถูกมองข้ามไปแค่นั้นเอง

เพราะอะไรจึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น???
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่ง เพราะเมื่อวิทยาศาสตร์มีอิทธิพลมากขึ้น คนก็เริ่มมีกระบวนทัศน์ในการคิดแบบวิทยาศาสตร์มากขึ้น อะไรก็ตามที่ไม่สามารถตอบได้แบบวิทยาศาสตร์ก็จะถูกมองข้ามไป และบังเอิญในอดีตที่ผ่านมา ดนตรีไม่เคยได้ถูกพิสูจน์ตามแบบวิทยาศาสตร์เลย ดังนั้นความเชื่อถือในดนตรีจึงลดน้อยถอยลงโดยเฉพาะในแง่ของการพิจารณาคุณค่าความเป็นมนุษย์
อีกประการหนึ่ง น่าจะเป็นจากค่านิยมหรือขนบประเพณีของสังคมไทยเราเอง สังคมไทยไม่เคยมองดนตรีว่าเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในชีวิต ดนตรีเป็นเพียงตัวประกอบที่ช่วยทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นเท่านั้น ชีวิตไม่จำเป็นต้องมีดนตรีก็ได้หรือจะมีก็ได้ จะเห็นได้จากวิถีชีวิตของคนไทย การละเล่นดนตรีจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาว่างงานหรือเวลาเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง และเป็นไปเพื่อความครึกครื้นหรือผ่อนคลายเท่านั้น คนเล่นดนตรีก็ไม่ได้ยึดเป็นเรื่องจริงจังหรือเป็นงานหลัก การเล่นดนตรีเป็นเพียงงานเสริมจากอาชีพหลักเท่านั้น ดนตรีไม่เคยถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือในการยกระดับจิตใจอย่างชัดเจน การสอนดนตรีก็มักจะเน้นไปที่การฝึกฝนเพื่อให้เป็นนักดนตรีมากกว่าการสอนให้รู้จักใช้ดนตรีเพื่อการพัฒนาตนเอง
จากเหตุผลทั้งสองนี้ จึงทำให้ดนตรีไม่สามารถโผล่ขึ้นมาเป็นองค์ประกอบสำคัญและมีคุณค่าพอในชีวิตคนไทย ทั้งๆ ที่ปราชญ์ตั้งแต่โบราณของเราคนแล้วคนเล่าที่พูดถึงคุณค่าของดนตรี และดนตรีก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่เราสัมผัสอยู่ในชีวิตของเราทุกวัน

อ่านต่อได้ในนิตยสารรักลูกฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549

ข้อมูลจาก : นิตยสาร ฉบับที่ 286 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2549




 

Create Date : 18 มกราคม 2552    
Last Update : 18 มกราคม 2552 23:36:15 น.
Counter : 351 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

zakana7884
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เพื่อนสำคัญเสมอ ฉันจะรักษามิตรภาพระหว่าง
เพื่อนให้ดีที่สุด และคุณคือเพื่อนของฉันในตอนนี้

เกี่ยวกับฉัน..ฉันชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยว
ท่องโลกอินเตอร์เน็ต แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เพื่อเปิดโลกทรรศในมุมมอง 360 องศา
เมื่อใดที่ฉันว่างเว้นสิ่งอื่นใด ก็จะเข้าสู่สภากาแฟฯ
แห่งนี้ บ้างอ่าน บ้างแสดงความคิดเห็น แล้วแต่
โอกาสจะอำนวยคะ

ขอบคุณโลกออนไลน์ที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกันได้

lozocat
free counters
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add zakana7884's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.