Group Blog
 
All Blogs
 

วิธีป้องกันไมเกรนกำเริบหน้าร้อน

ไมเกรน เป็นอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง มักปวดบริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง

คนที่เป็นไมเกรนมักมีอาการ เตือนล่วงหน้า เช่น เหนื่อย อ่อนเพลีย หาวบ่อย ตาพร่ามัว แสบตา เห็นภาพซ้อนหรือเห็นแสงจ้าเป็นจุด หรือเส้นซิกแซกในตา ซึ่งกระบวนการทั้งหมดอาจเป็นอยู่ประมาณ 10-30 นาที ก่อนจะปวดศีรษะหรือมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้และอาเจียนตามมา ไมเกรนมักเป็นๆ หายๆ ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า สาเหตุของการเกิดมายเกรนยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่สังเกตได้ว่าสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ และเกิดจากระบบการทำงานของหลอดเลือดในสมองผิดปกติ

ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นอาการไมเกรนให้ กำเริบหรือเป็นถี่ขึ้นคือ ความเครียด สภาวะฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง

เช่น ช่วงมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด การรับประทานอาหาร เช่น ช็อกโกแลต ซึ่งมีสารประกอบทางไนโตรเจน ที่มีผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด ทำให้อาการปวดหัวทวีความรุนแรง หรือแม้แต่อาหารที่มีผงชูรส ไส้กรอก ของดองและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น สถานที่ที่เสียงดัง มีแสงสะท้อนจ้า และสุดท้ายการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและสภาพอากาศ อย่างเช่นหน้าร้อนเดือนเมษายนบ้านเรา ซึ่งมีแนวโน้มว่าปีนี้จะร้อนมาก ผู้ที่เป็นไมเกรนเป็นประจำอาจหลีกเลี่ยงสภาวะกระตุ้นการกำเริบของโรค หรือป้องกันตนเองจากไมเกรนด้วยวิธีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงสถานที่ที่ร้อนและแออัด โดยเฉพาะงานนิทรรศการต่างๆ ที่ผู้คนหนาแน่น อากาศหายใจไม่เพียงพอ ทำให้วิงเวียนศีรษะได้ง่าย หรือหลังจากการเผชิญกับอากาศร้อนภายนอก และเดินเข้าภายในอาคารที่อากาศเย็นทันที อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวแปลบขึ้นมา ในกรณีที่ต้องขับรถในช่วงแดดส่องจัด ควรสวมแว่นตากันแดด ป้องกันแสงสะท้อนเข้าตา และหากรู้สึกว่าไมเกรนกำลังคุกคาม รีบหาที่นั่งพักหลับตาสักครู่ ใช้ผ้าเย็นประคบหน้าผากหรือต้นคอ จะบรรเทาอาการได้

  • รับประทานอาหารครบทุกมื้อ โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้าซึ่งร่างกายต้องการมากที่สุด หลังจากท้องว่างเป็นระยะเวลากว่า 7-8 ชั่วโมง หากปล่อยให้ท้องว่าง น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำลง อาจทำให้อาการไมเกรนกำเริบได้

  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เวลาหยุดสุดสัปดาห์ในการพักผ่อนอย่างเต็มที่ หรือประยุกต์ท่าโยคะที่เรียกว่า ท่าศพ เพื่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ เริ่มจากการปิดไฟในห้องให้มืดและเงียบสนิท นอนหงายบนฟูกหรือพื้นราบ หงายมือวางข้างลำตัว หายใจเข้าและออกลึกๆ อย่างสม่ำเสมอ หากทำได้ 10 นาที ร่างกายจะรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น

  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเป็นประจำ ช่วยให้อาการปวดไมเกรนดีขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ช่วยบรรเทาความเครียดและปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ทั้งนี้หากมีอาการไมเกรนอยู่ก่อนก็ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น


  • ที่มา : นิตยสาร Health Today




     

    Create Date : 20 เมษายน 2553    
    Last Update : 20 เมษายน 2553 13:46:45 น.
    Counter : 312 Pageviews.  

    ท่าบริหารป้องกัน "ปวด" จากการใช้คอมพิวเตอร์

    ช่วงปิดเทอมนี้การจะห้ามไม่ให้เด็กเล่นเกม ใช้คอมพิวเตอร์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ตคงเป็นเรื่องยาก ถือเป็นช่วงวันหยุดยาวที่พวกเขาจะได้พักผ่อน หลังจากการเรียนและสอบที่เคร่งเครียด เด็กหาวิธีผ่อนคลายในยุคดิจิตอลด้วยการเล่นเกม แต่เด็ก ๆ หารู้ไม่ว่าการนั่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้มีอาการปวดนิ้ว นิ้วแข็ง มือเกร็ง และอาจมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ ปวดแขน ตามมาได้

    ดร.เจย์ สัน ลี ไคโรแพรคเตอร์ ชาวเกาหลี ประจำคลีนิคกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก บอกว่า การห้ามเด็ก ๆ ไม่ให้เล่นเกมหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ในยุคดิจิตอลนี้คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่เกม และอะไร ๆ เดี๋ยวนี้ก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทั้งนั้น เพราะเหตุนี้จึงทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยมีปัญหาและอาการปวดนิ้ว นิ้วแข็ง มือเกร็ง ทำให้เขียนหนังสือไม่ได้ หรือเมื่อพอเริ่มเขียนได้สักพักก็รู้สึกเครียด อารมณ์เสีย มีอาการโมโห หรือหงุดหงิด นอกจากเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการเล่นเกมและใช้คอมพิวเตอร์แล้ว ผู้ใหญ่จำนวนมากก็ต้องประสบกับอาการปวดและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ อันเนื่องมาจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานด้านบัญชี คีย์ข้อมูล หรือต้องพิมพ์รายงานต่าง ๆ เป็นต้น

    ดร.เจย์ สัน ลี กล่าวต่อว่า การนั่ง อยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ส่วนมากจะนั่งผิดลักษณะท่าทาง ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ นอกจากนั้นยังมีการใช้เก้าอี้ไม่ตรงกับสรีระ จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา ควรจะมี การพักสายตา ยืดกล้ามเนื้อ หรือบริหารร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ไคโรแพรคเตอร์ จึงแนะนำท่าบริหารร่างกาย เพื่อป้องกันอาการปวด จากผลกระทบของการเล่นเกมและใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ 4 ท่า ดังนี้

    1. ท่าบริหารและผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง ท่านี้ควรให้เด็ก ๆ ยืนหรือนั่งให้หลังตรง แล้วเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านบน ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วหงายมือออก

    2. ท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ให้เหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าโดยให้มือประสานกัน

    3. ท่าบริหารกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณนิ้วมือ โดยยืดแขนออกไปข้างหน้า โดยให้มือชี้ลง พร้อมทั้งดัดนิ้วมือไปทางด้านหลัง โดยให้ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา อย่างน้อย 20 วินาที

    4. ท่าบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ โดยการยืนตัวตรง เอามือซ้ายจับบนศีรษะด้านขวา พร้อมโน้มคอไปทางด้านเดียวกับที่มือจับศีรษะอยู่ ทำสลับไปมา ซ้ายขวา




     

    Create Date : 19 เมษายน 2553    
    Last Update : 19 เมษายน 2553 19:55:04 น.
    Counter : 388 Pageviews.  

    รู้ทันโรคตาแดง

    โรคตาแดง เป็นการอักเสบของเยื่อบุตาขาวที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อ adenovirus แล้วเกิดการติดเชื้อที่เยื่อตาขาวเรียกว่า Epidemic keratoconjunctivitis (EKC) เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย รวดเร็ว และทำให้เกิดอาการขึ้นอย่างเฉียบพลัน

    การติดต่อของโรค พบว่ามีการระบาดเป็นช่วงๆ ส่วนมากจะพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน การติดต่อโดยตรงจากการสัมผัส การใช้ของร่วมกัน การไอหรือการหายใจรดกัน และมักเกิดการติดต่อกันในสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมชนต่างๆ เช่น สถานศึกษา ที่ทำงาน สระว่ายน้ำ รวมทั้งห้างสรรพสินค้า ที่มีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน

    อาการของโรค หลังจากได้รับเชื้อไวรัสนี้แล้ว จะเกิดอาการภายใน 1-2 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตา เจ็บตา น้ำตาไหล ไม่มีขี้ตา นอกจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมาจึงจะมีขี้ตา บางรายมีต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตและเจ็บ ผู้ที่เป็นมักเป็นกับตาข้างหนึ่งก่อน ต่อมาอีก 2-3 วัน ก็จะลุกลามไปกับตาข้างหนึ่ง

    ระยะเวลาของโรคนี้จะเป็นนานประมาณ 10-14 วัน และเมื่อป่วยด้วยโรคตาแดงแล้ว ผู้ป่วยมีโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นนานถึง 2 สัปดาห์ ในบางรายเมื่อตาแดงดีขึ้น อาจเกิดโรคแทรกซ้อน คือ ตาดำอักเสบ สังเกตได้จากอาการตามัวลงทั้งๆ ที่อาการตาแดงดีขึ้นมากแล้ว มักเกิดขึ้นในวันที่ 7-10 หลังเริ่มเป็นตาแดง

    ตาดำอักเสบนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเป็นอยู่นานหลายๆ เดือนกว่าจะหาย

    ดังนั้น หากผู้ป่วยมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ ได้แก่ ตามัวลง ปวดตามากขึ้น กรอกตาแล้วปวด มีไข้ ให้ยาไปแล้ว 48 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น น้ำตายังไหลอยู่แม้ว่าจะได้ยาครบแล้ว แพ้แสงอย่างมาก

    การรักษา เนื่องจากโรคตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัส จึงยังไม่มีวิธีการรักษาโดยเฉพาะ อีกทั้งยาต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ที่มีขณะนี้ ใช้ไม่ได้ผลกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตาแดง ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตา และป้ายตา เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งมักจะเกิดตามมา

    ในผู้ที่เป็นตาแดงในตาข้างหนึ่ง ส่วนอีกตาข้างหนึ่งไม่มีอาการ ให้หยอดตาเฉพาะตาข้างหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหยอดตาข้างปกติด้วย เพราะจะเป็นการนำเชื้อจากตาข้างที่เป็นไปยังตาข้างปกติ ถ้ามีอาการเจ็บตาให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล

    ถ้ามีอาการเคืองตา แพทย์จะแนะนำให้ใส่แว่นกันแดด ไม่ควรปิดตา และไม่จำเป็นต้องล้างตา นอกจากนี้ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และพักการใช้สายตา ระยะเวลาการรักษานานประมาณ 2 สัปดาห์

    ลักษณะของโรคตาแดงที่แพทย์ต้องดูแลเป็นพิเศษมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก ถ้าเยื่อตาขาวอักเสบมากเสียจนผิวของเยื่อตาขาวลอกออก บางครั้งเยื่อตาขาวของเปลือกตากับเยื่อตาขาวของลูกตาอาจจะกลาย เป็นแผลเป็นติดกันได้ ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกวิธี

    เพราะเนื้อมาประกบกันโดยที่ไม่มีหนังอยู่ตรงกลางจึงอาจจะติดกันจนแยกไม่ ออกทำให้มีการระคายเคืองเรื้อรังได้

    ลักษณะที่สอง ในส่วนของกระจกตาดำ เพราะเชื้อไวรัสบางตัวเมื่อแพร่เชื้อเข้าสู่กระจกตาดำ จะทำให้คนไข้มองอะไรไม่ค่อยชัด สู้แสงไม่ได้ ทำงานลำบาก

    ลักษณะสุดท้าย คือ เรื่องของเปลือกตาที่บวมมาก มีน้ำตาไหลออกมาตลอดจนคนไข้กังวลมาก จึงต้องมีการดูอาการเป็นพิเศษ เพื่อรอให้หายไปเอง ด้วยการพูดคุยกับคนไข้ อธิบายให้เข้าใจ เพื่อให้เกิดสบายใจจากนั้นจะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านเมื่ออาการทุเลาลง

    วิธีการป้องกันการติดต่อของโรค เนื่องจากโรคตาแดงยังไม่มีวิธีการรักษาโดยตรง วิธีการการป้องกันไม่ให้ติดโรคนี้ ทำได้โดยไม่ใช้สิ่งของปะปนกับผู้อื่น ไม่ใช้มือป้ายตาและขยี้ตาเพราะเชื้อโรคจะติดไปยังสิ่งของที่ผู้ป่วยหยิบจับ ล้างมือบ่อยๆ ให้สะอาด ห้ามใช้ยาหยอดตาร่วมกัน

    ส่วนผู้ที่กำลังเป็นโรคตาแดง ควรทำการป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายจากตนเองไปสู่ผู้อื่น โดยผู้ที่มีอาการควรหยุดพักเรียนหรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ไม่ควรอยู่ในที่ชุมชน รวมทั้งใส่แว่นตากันแดด เป็นการป้องกันฝุ่นละอองที่จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง สำหรับการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยนั้น

    อย่ากลัวหรือกังวลในการติดโรคมากจนเกินไป เพราะเชื้อมีระยะเวลาในการแพร่ เพียงแต่ระมัดระวังไม่จับ สัมผัส หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย ก็เพียงพอแล้ว

    โรคตาแดง นอกจากจะเกิดจากเชื้อไวรัส อย่างที่กล่าวไปในต้นตอนแล้ว โรคตาแดงยังอาจพบได้ในโรคตาอื่นๆ อีกหลายโรค และบางโรคเป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง คือทำให้มีการสูญเสียสายตาได้ เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ ตาดำอักเสบ ดังนั้นเมื่อเกิดมีอาการตาแดงขึ้น ควรได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์ ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง

    แต่ทางที่ดีอย่าได้นิ่งนอนใจ ถึงแม้โรคตาแดงจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้เราสูญเสียเวลาที่ต้องหยุดพักรักษาอาการ ทางที่ดีป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ หรือเมื่อเป็นแล้วก็ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

    หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคตาแดง สามารถขอรับคำปรึกษาและขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แผนกจักษุ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท โทร. 0 -2711-8998 -9 และ ที่ แผนกจักษุ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โทร. 0-2378-9220-1

    ที่มา กรุงเทพธุรกิจ




     

    Create Date : 19 เมษายน 2553    
    Last Update : 19 เมษายน 2553 19:08:58 น.
    Counter : 272 Pageviews.  

    ผักพื้นบ้านแต่สรรพคุณไม่พื้นๆ

    ผักพื้นบ้าน นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ...

    คุณค่าของผักพื้นบ้าน

    ผักพื้นบ้าน คือ พรรณพืชพื้นบ้านในท้องถิ่น ชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค หรือนำมาทำเป็นของใช้สอยในครัวเรือน ผักพื้นบ้านนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรสยาที่หลากหลายอยู่ในผักพื้นบ้าน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ให้ความสำคัญกับรสอาหาร พื้นบ้าน ดังนี้

    รสฝาด มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุในร่างกาย เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดจิก ยอดกระโดน ฯลฯ

    รสหวาน มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น เห็ด ผักหวานป่า ผักขี้หูด บวบ น้ำเต้า ฯลฯ

    รสเผ็ด ร้อน มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ เช่น ดอกกระทือ กระเทียม ตอกกระเจียวแดง ดีปลี พริกไทย ใบชะพลู ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย ฯลฯ

    รสเปรี้ยว มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว ยอดชะมวง มะดัน ยอดมะกอก ยอดผักติ้ว

    รสหอมเย็น มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย เช่น เตยหอม โสน ดอกขจร บัว ผักบุ้งไทย เป็นต้น

    รสมัน มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เนียง ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง กระถิน ชะอม

    รสขม มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย เช่น มะระขี้นก ยอกหวาย ดอดขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา เพกา ผักโขม

    นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย สารสำคัญในผักพื้นบ้าน ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบในผักใบเขียวจัดๆ เช่น ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ใบตำลึง ใบบัวบก ใบแมงลัก ผักชีลาว ผักแว่น ใบขี้เหล็ก ใบกระเพรา นอกจากนี้ผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก ฟักทอง มะปราง

    นอกจากสารเบต้าแคโรทีนดังกล่าวแล้ว ในผักสด ยังพบว่ามีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างภูมิต้านมะเร็ง คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มประสิทธิภาพ ของการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้

    วัฒนธรรมพื้นบ้านของคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มักจะเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้ว จากป่า ไร่นา หรือสวน เป็นผักสดๆ มาประกอบเป็นอาหาร ผักสดยิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งมีวิตามินซีสูงเท่านั้น ดังนั้นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย ผักบางชนิดที่นำมารับประทานสด กับน้ำพริก คนไทยก็มักจะนำมารับประทานเลย ซึ่งได้วิตามินซี และเกลือแร่อื่นๆ สูง ในบางชนิดอาจจะเป็นอันตราย ถ้านำมารับประทานเลย ก็จะนำมาลวก ต้ม ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม

    การดูแลสุขภาพของตนเองด้วยวิธีธรรมชาติ การรับประทานผักพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษ หรือปลูกผักไว้รับประทานกันเองในครัวเรือน นอกจากจะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แล้วยังช่วยประหยัด และช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน ดังนั้นเราควรจะส่งเสริม ให้มีการปลูกผักริมรั้ว เพื่อนำมาประกอบเป็นอาหาร แทนการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีบริเวณที่จะปลูกต้นไม้ หรือผักไว้กินได้มากนัก

    เนื่องจากการถูกจำกัดเรื่องสถานที่ แต่เราสามารถปลูกผักสวนครัวไว้กิน โดยการปลูกไว้ในกระถาง เช่น พริก โหระพา กระเพรา แมงลัก ชะพลู ผักชี ผักแพว เป็นต้น ซึ่งปลูกง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังปลอดภัยจากสารพิษ สำหรับผู้ที่มีที่ดินพอปลูกผักริมรั้ว ที่เป็นไม้ยืนต้นที่เก็บไว้กินได้หลายๆ ปี เช่น แค กระถิน ชะอม สะเดา การนำพืชเหล่านั้นมาปลูกในที่ไม่ต้องการการดูแลมากนัก นอกจากจะเก็บมาเป็นอาหาร ที่มีคุณค่าแล้ว ยังช่วยเป็นรั้วบ้าน และให้ร่มเงาทำให้สดชื่น ถ้าเหลือกินในครอบครัวก็สามารถแบ่งให้เพื่อนบ้าน หรือเก็บไปขายได้

    จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทย ในสมัยโบราณที่อยู่แบบอบอุ่นพึ่งตนเองได้ ปัจจุบันคนไทยกำลังหวนคืนสู่บรรยากาศนั้น เพื่อความเป็นอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย การช่วยเหลือจุนเจือกัน การช่วยเหลือตัวเองในระดับครอบครัว ชุมชน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่คนไทยควรจะเห็นความสำคัญ เพื่อความอยู่รอดของเราคนไทย และเพื่อชาติไทย




     

    Create Date : 19 เมษายน 2553    
    Last Update : 19 เมษายน 2553 19:02:57 น.
    Counter : 251 Pageviews.  

    1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

    DeWalt
    Location :


    [Profile ทั้งหมด]

    ฝากข้อความหลังไมค์
    Rss Feed
    Smember
    ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




    Friends' blogs
    [Add DeWalt's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.