Group Blog
 
All Blogs
 

10 เหตุผล ที่ลดหน้าท้องยังไงก็ไม่ยุบ


สาระน่ารู้ปัญหาน้ำหนักตัวยังไม่ทำให้หนักใจเท่าปัญหาหน้าท้องที่ล้ำหน้าออกมาเกินขีดจำกัดเลยว่าไหมคะ เพราะต่อให้มีรูปร่างสมส่วนแต่มีหน้าท้องป่อง ๆ แถมมาด้วยก็ใส่เสื้อผ้าไม่สวยแน่ ๆ ที่สำคัญใครกำลังพยายามลดหน้าท้องมานานแล้วแต่ผลลัพธ์กลับไม่คืบหน้า ข้อมูลทางการแพทย์จากเว็บไซต์ไทม์ ก็เผยว่า อาจเป็นเพราะ 10 เหตุผลตัวร้ายเหล่านี้คอยขัดขวางให้คุณลดหน้าท้องไม่สำเร็จสักทีก็เป็นได้

อีกทั้งการมีหน้าท้องนูน ๆ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งได้ด้วยนะ ถ้าอย่างนั้นรีบมาลดหน้าท้องกันด่วนเลย

1. อายุมากขึ้น

อายุยิ่งมากก็ยิ่งลดหน้าท้องยากมากขึ้น นั่นเป็นเพราะกลไกธรรมชาติของร่างกายทำงานได้ช้าลง ด้อยประสิทธิภาพตามอายุการใช้งาน โดยเฉพาะคุณสาว ๆ ที่ก้าวเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเทอโรนจะถูกผลิตน้อยลง ส่งผลให้ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนมีอัตราสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ซึ่งความแปรปรวนของฮอร์โมน ณ จุดนี้ก็อาจเหนี่ยวรั้งให้ผู้หญิงควบคุมน้ำหนักตัวได้ยาก รวมทั้งหน้าท้องก็จะขึ้นง่ายแต่ทำกลับให้แบนราบเหมือนเดิมลำบาก ทว่าแม้เราจะไม่สามารถต้านทานธรรมชาติได้ แต่ถ้าดูแลตัวเองได้ดี กินอาหารที่มีประโยชน์ ลดไขมัน ลดแป้ง และออกกำลังกายสม่ำเสมอ หน้าท้องแบนราบในช่วงเลยวัยรุ่นมาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความตั้งใจหรอกนะคะ

2. ออกกำลังกายผิดวิธี

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างการว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการเคลื่อนไหวร่างกายเรียกเหงื่อทั่วไปอาจดีกับหัวใจเป็นอย่างมาก แต่นั่นไม่เพียงพอให้คุณลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนได้มากอย่างที่คิดไว้ เพราะการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยเบิร์นได้แค่ไขมันบางส่วนเท่านั้น ซึ่งหากจะให้ดีควรต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอควบคู่ไปกับการเล่นเวท เนื่องจากการเล่นเวทจะช่วยเบิร์นไขมันและสร้างกล้ามเนื้อไปในตัว ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ครอบคลุมมากกว่า แถมยังช่วยให้คุณฟิตเฟิร์มส่วนเกินให้กลับมาเชฟบ๊ะได้ง่ายกว่า

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายก็แนะนำให้ออกกำลังกายระดับปานกลาง (Moderate-Intensity Exercise) หรือการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนาน 30-60 นาที/ครั้ง ให้ได้ประมาณ 250 นาที/สัปดาห์ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็พยายามออกกำลังกายแบบเข้มข้นสูง (High-Intensity Exercise) ซึ่งจะเป็นการออกกำลังกายแบบเร็วและออกแรงสุดและค่อย ๆ ผ่อนให้ช้าสลับกันไปเป็นช่วง ๆ อย่างนี้ให้ได้สัปดาห์ละ 125 นาที

3. กินอาหารสำเร็จรูปมากเกินไป

เหตุผลง่าย ๆ ที่เชื่อว่าเราทุกคนรู้กันดีอยู่กับใจ แต่ห้ามความอยากของปากไม่ได้สักที ดังนั้นก็คงไม่ต้องแปลกใจหากหน้าท้องของคุณจะมาเต็มขนาดนี้ ยิ่งกับคนที่ชอบดื่มน้ำหวาน อาหารฟาสต์ฟู้ด และอาหารประเภทแป้งขัดสีเป็นประจำ สารปนเปื้อนที่มาพร้อมกับกระบวนการแปรรูปอาหารเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงไปยังร่างกายของเรา สร้างข้อบกพร่องและอาการอักเสบจนเป็นเหตุให้หน้าท้องยื่นออกมา คราวนี้จะกลับไปลดหน้าท้องให้แบนราบก็คงยาก ถ้ายังไม่ปรับพฤติกรรมรับประทานอาหารของตัวเองสักที

4. รับประทานไขมันชนิดไม่ดีเป็นส่วนใหญ่

ไขมันไม่ใช่อาหารต้องห้ามของร่างกาย แค่ต้องรับประทานให้เป็น ซึ่งนอกจากจะต้องจำกัดปริมาณไขมันให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ก็ควรต้องเลือกกินไขมันให้ถูกชนิดด้วย โดยไขมันชนิดดีที่ควรรับประทานก็ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats) ประเภทไขมันจากอะโวคาโด น้ำมันมะกอก เป็นต้น และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fats) ประเภทไขมันจากเมล็ดดอกทานตะวัน ไขมันจากปลา ไขมันจากถั่วชนิดต่าง ๆ ซึ่งมักจะมีโอเมก้า 3 ปะปนอยู่มาก และหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันอิ่มตัวอย่างไขมันจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน และไขมันจากผลิตภัณฑ์นม เนื่องจากไขมันอิ่มตัวประเภทนี้จะเข้าไปสะสมอยู่ในช่องท้อง กลายเป็นไขมันที่เกาะอยู่ภายในอวัยวะ (Visceral Fat) เป็นที่มาของรอบเอวหนา ๆ และเซลลูไลท์นั่นเองจ้า

5. ไม่จริงจังกับการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเอาชนะไขมันและความอ้วนได้จริง เพียงแต่เราต้องใส่ความมุ่งมั่นตั้งใจกับการออกกำลังกายให้มาก ไม่ใช่ว่าเหนื่อยก็พัก หนักก็พอ แต่ต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และหากอยากเห็นผลลัพธ์เป็นหน้าท้องแบนราบเร็ว ๆ ผลวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Medicine and Science in Sports and Exercise ก็เผยว่า การออกกำลังกายแบบความเข้มข้นสูง (High-Intensity Workout) ช่วยลดหน้าท้องได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบอื่น ๆ แถมยังใช้เวลาเบิร์นไขมันส่วนเกินน้อยกว่าอีกต่างหาก ที่สำคัญพอลดหน้าท้องได้สำเร็จแล้วก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ หยุดออกกำลังกายไปซะดื้อ ๆ นะคะ เพราะไม่เช่นนั้นหน้าท้องก็มีโอกาสกลับมาหาคุณอีกไม่ยาก

6. เครียดพาอ้วน

ความเครียดไม่เคยดีต่อสุขภาพเลยสักนิดเดียว เพราะนอกจากจะโน้มน้าวให้ร่างกายอ่อนแรง เศร้าซึม จนอยากกินของหวานเพื่อปลุกความสดชื่นให้ร่างกายแล้ว เมื่อเครียดร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาเกินปกติ ทำให้ไขมันในเลือดพุ่งกระจายไปยังเซลล์ต่าง ๆ ก่อให้เกิดภาวะไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ได้ง่ายขึ้น ทีนี้ก็ถึงตาหน้าท้องและไขมันส่วนเกินจะออกอาละวาดแล้วละ

7. พักผ่อนไม่เพียงพอ

ผลวิจัยจากสถาบันสุขภาพนานาชาติของอเมริกาเผยว่า กลุ่มคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง มีอัตราน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 30% หรือมากกว่านั้น ในขณะที่อาสาสมัครกลุ่มที่นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ มีแนวโน้มน้ำหนักตัวลดลง ซึ่งก็สรุปได้ว่า คนที่นอนน้อยร่างกายจะเกิดการแปรปรวน กระบวนการเผาผลาญต่าง ๆ ก็ด้อยประสิทธิภาพลงจนเป็นเหตุให้มีโอกาสตุ้ยนุ้ยกว่าคนที่นอนหลับเต็มอิ่ม ดังนั้นต่อไปก็รีบเข้านอนเร็ว ๆ กันเถอะ

8. คุณมีรูปร่างเป็นทรงแอปเปิล

หากคุณเป็นคนที่ช่วงเอวหนากว่าส่วนสะโพกและบั้นท้าย รูปร่างลักษณะนี้เรียกว่าทรงแอปเปิล ซึ่งธรรมชาติของยีนลักษณะนี้จะบังคับให้คุณเป็นคนที่มีหน้าท้องโดยอัตโนมัติ แถมยังลดหน้าท้องได้ยากกว่าลักษณะอื่น ๆ อีกด้วย

9. ภาวะของโรคบางอย่าง

ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบหรือ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนออกมามากกว่าปกติ เป็นผลให้น้ำหนักขึ้นง่าย และมีภาวะผิดปกติในหลาย ๆ จุด โดยส่วนมากจะเกิดกับหญิงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งอาจทำให้คุณมีปัญหากับประจำเดือน ขนดก มีบุตรยาก ผิวหน้ามัน และเป็นสิวมากร่วมด้วย

10. เพิกเฉยต่อไขมันหน้าท้อง

หลายคนคิดว่าไขมันหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เลยไม่ได้ใส่ใจจะควบคุมอาหารหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งบางรายยังห่างไกลการออกกำลังมาก ๆ ด้วย ซึ่งจุดนี้อาจทำให้คุณลืมระมัดระวังตัวจากโรคร้ายกลุ่ม NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ซึ่งมาพร้อม ๆ กับโรคอ้วนลงพุง และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายเริ่มแย่ไปแล้ว ฉะนั้นพยายามดูแลสุขภาพของตัวเองไว้ก่อนดีกว่านะคะ เหล่าอาหารไขมันสูง แป้งเน้น ๆ น้ำตาลแน่น ๆ หลีกเลี่ยงให้ไกลด่วนเลย แล้วอย่าลืมออกกำลังกายสลายพุงกันเป็นประจำด้วยล่ะ

ข้อมูลจาก thaihealth.or.th




 

Create Date : 05 มีนาคม 2558    
Last Update : 5 มีนาคม 2558 17:39:27 น.
Counter : 1003 Pageviews.  

ฮอร์โมนทดแทน ใช้อย่างไรในสตรีวัยทอง


วันนี้มาพูดถึงฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นวัยที่รังไข่ จะผลิตฮอร์โมนเพศน้อยลงจนกระทั่งหยุดการผลิต ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ร้อนวูบวาบ ผมร่วง ช่องคลอดแห้ง นำไปสู่ความเครียดจนเป็นผลเสียที่กระทบกับจิตใจ

ยามที่ฮอร์โมนเพศ 2 ตัวสำคัญอย่าง "เอสโตรเจน" เสริมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ หัวใจ กระดูกแข็งแกร่ง บำรุงผิว ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว และ "โป รเจสเตอโรน" ที่ทำให้ผู้หญิงสามารถตั้งครรภ์และมีประจำเดือนนั้นกำลัง จากลาคุณผู้หญิงไป ทางการแพทย์สามารถให้ฮอร์โมนทดแทนเพื่อลดอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ การกินเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด แต่อาจสร้างความสับสนให้กับผู้หญิงขี้ลืม เนื่องจากแผงของฮอร์โมนทดแทนมักมีวันเป็นตัวกำหนด โดยมีการแบ่งรูปแบบการให้ฮอร์โมนทดแทนเป็น 2 ลักษณะแตกต่างกัน คือ

ในผู้หญิงที่ผ่านการตัดมดลูก และรังไข่ทั้งสองข้างออกไปแล้วนั้นไม่ค่อยยุ่งยาก เพราะไม่จำเป็นจะต้องได้รับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จึงให้รับประทานแต่เพียงฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยให้รับประทานทุกวัน ส่วนเวลาที่เหมาะสมนั้นควรเป็นหลังอาหารมื้อเย็น หรือก่อนเข้านอน ในกรณที่ลืม ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แบบไม่ต้องข้ามเม็ดหรือรับประทานควบทั้งเม็ดที่ลืมกับเม็ดปัจจุบัน

ส่วนผู้หญิงที่ยังมีมดลูกอยู่นั้น ยังมีการรับประทานฮอร์โมนที่ต่างกันแยกย่อยเป็น 3 รูปแบบ ตามที่แพทย์แนะนำ เริ่มจากการรับประทานรอบละ 21 วัน หยุด 7 วัน โดยมีเลือดประจำเดือนออกเป็นรอบ หมายถึง การรับฮอร์โมนเอสโตรเจน 21 วันต่อเดือน และรับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในช่วง 10 วันสุดท้าย แล้วจึงหยุดรับทั้งสองชนิดนาน 7 วัน ในระยะการหยุดนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีเลือดประจำเดือนออก แต่เป็นปริมาณที่น้อยจนกระทั่งหมดไป หากลืมก็ให้รับประทานเม็ดที่ลืมเมื่อนึกได้ ไม่ต้องข้ามหรือรับประทานควบ

รูปแบบต่อมา รับประทานรอบละ 28 วัน คือ การรับฮอร์โมนเอสโตรเจน 28 วันต่อเดือน ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะรับนาน 10 ไม่เกิน 14 วัน และจะมีประจำเดือนออกมาเป็นรอบ โดยเลือดประจำเดือนมักมาในช่วงที่มีการรับฮอร์โมนเอสโตรเจน ถือเป็นข้อดี เพราะไม่ทำให้เกิดการขาดฮอร์โมนระหว่างมีรอบประจำเดือน หากลืมรับประทาน เมื่อนึกขึ้นได้ให้รับประทานต่อไม่ต้องข้าม

รูปแบบสุดท้าย เป็นการรับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนพร้อม ๆ กันทุกวัน ช่วง 1-3 เดือนแรก จะมีเลือดประจำเดือนออกเล็กน้อย แบบกะปริดกะปรอย เมื่อใช้ไปในระยะยาว เลือดประจำเดือนจะหมดไป กรณีที่ลืมรับประทาน เมื่อนึกได้ให้รับประทานต่อ ไม่ต้องข้ามหรือเว้น

ทั้งนี้ การรับประทานฮอร์โมนทดแทน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการเลือดออกผิดปกติที่ช่องคลอด อย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือกำลังป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ภาวะเลือดออกในสมอง คนไข้โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเกี่ยวกับเลือด และโรคตับ ไม่ควรหาซื้อฮอร์โมนทดแทนมารับประทานด้วยตนเองเป็นอันขาด




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 5 มีนาคม 2558 19:24:47 น.
Counter : 256 Pageviews.  

วิธีจับโกหก


คนโกหกมีเยอะ ดูวิธีอ่านสีหน้าคนเพื่อตรวจจับคนโกหก

* ยิ้มปลอม.. คนโกหกมักใช้กล้ามเนื้อบริเวณรอบปากฝืนยิ้ม
* ยิ้มของจริงจะเห็นฟันนิดนึง ตาจะย่นหยีหน่อย บางคน มีตีนกาด้วย (ระวัง ตอแหลมืออาชีพฝืนทำตาหยีได้)
* ดูมือ แขน คนโกหกมักจะเกร็งๆ หลบฝ่ามือ เกาจมูก ถูหลังหู เกาหัว
* คนโกหก มักเหงื่อแตก
* ขี้โม้ชอบเล่ามากเกินไป ชอบยกรายละเอียดที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวมาเล่าให้ฟังมากๆ สร้างภาพให้เกิดความน่าเชื่อถือ
* ดูลูกตา คนโกหกไม่สบตา กระพริบตาถี่
* ถ้าเจอคำถามจี้ใจดำ คนโกหกจะอึดอัด หันตัว เบือนหน้าหนี .. คนพูดจริงจะรุกกลับอย่างดุเดือด ในขณะที่คนโกหกจะ จะปกป้องตัวเอง หรือ ตอบเลี่ยงๆ
* คนโกหก ชอบเอาคำพูดของคู่สนทนามาพูดซ้ำ
* พูดต่อกันยาวๆ เละเทะ ไม่เป็นประโยค ฟังไม่รู้เรื่อง นั่นแหละตอแหล
* เล่นมุขตลก หลอกลวงไปเรื่อย

เทคนิกจับคนโหก

1. ระหว่างคุยด้วย ลองแกล้งทำเป็นเงียบ รอดูอาการ คนโหกจะอึดอัด
2. ลองเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปจะเกิดอาการงง เหมือนเน็ตหลุด แต่จะวกกลับมาคุยเรื่องเดิม ขณะที่คนโกหก จะรู้สึกสบายใจ แล้วจะต่อเรื่องใหม่อย่างทันควัน ไม่วกกลับมาเรื่องเก่าอีก

ว่างๆ ทดลองฝึกกับนักการเมืองที่ชอบพูดออกทีวีก็ได้ ตรวจสอบง่ายด้วย คนโกหกพูดผ่านไปเป็นปีแล้วยังไม่ทำตามที่พูด ชอบหลบหน้า ไม่กล้ากลับไปเจอคนที่หลอกสัญญาเค้าไว้




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 5 มีนาคม 2558 19:27:19 น.
Counter : 213 Pageviews.  

8 วิธีเด็ดๆ ฟิตสมอง


      * เที่ยวพิพิธภัณฑ์ โดยให้ใจจดจ่ออยู่กับโบราณวัตถุหรือสิ่งที่จัดแสดงอยู่ วิธีนี้จะเป็นการฝึกทางด้านความจำของสมองในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การจดจำ และการคิด นอกจากช่วยพัฒนาสมองแล้วยังช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองด้วย

      * เล่นลูกบอล การขว้างและรับลูกบอลใบใหญ่จาก 1 ลูก เพิ่มเป็น 2 ลูก จะทำให้สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวและการรับสิ่งของได้ดีขึ้น ช่วยสมองให้พัฒนาในด้านการมองเห็น ระบบประสาท และการทำงานประสานกันระหว่างมือและสายตา

      * ลดเสียงโทรทัศน์ลง การฟังอย่างตั้งใจจะช่วยทำให้ช่วยฝึกสมองในเรื่องการจับใจความสำคัญของสิ่ง ที่ได้ยินได้ฟังได้อย่างรวดเร็ว

      * ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ ถนัด เริ่มด้วยการแปรงฟัน และเริ่มกิจกรรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การใช้ช้อนตักข้าว เป็นต้น ฝึกกิจกรรมเหล่านี้บ่อยๆ จะช่วยทำให้เซลล์ประสาทหลายล้านเซลล์ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

      * หัดเล่นเครื่องเล่นใหม่ๆ การฟัง การควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างมีสติ การแปลความโน๊ตดนตรีต่างๆ ช่วยทำให้การทำงานของสมองหลายด้านได้สัมพันธ์กัน

      * จดจำเนื้อเพลง เลือกเพลงที่ชอบและดูเนื้อเพลงไปด้วย รอบแรกฟังโดยไม่จำเนื้อเพลง รอบสองเขียนเนื้อเพลงและร้องตามไปด้วย การฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจะช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านความเข้าใจ ความคิดและความจดจำให้ดีขึ้น

      * ฝึกโฟกัสสายตา ลองนั่งจ้องตรงไปข้างหน้าโดยไม่กลอกตา มุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เราเห็น มองทุกสิ่งรอบๆอาจจดบันทึกก็ได้ว่าเห็นอะไรบ้าง วิธีนี้จะช่วยสมองในเรื่องความจำและโฟกัสของสายตาให้ดีขึ้น

      * ทำกิจกรรมเงียบๆคน เดียว หากิจกรรมที่ดีต่อสมองมานั่งทำ เช่น การเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ การถักนิตติ้ง เป็นต้น การจดจ่ออยู่กับกิจกรรมจะช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมองให้ดีขึ้น




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 5 มีนาคม 2558 19:28:47 น.
Counter : 238 Pageviews.  

SMS หลุมพรางผู้บริโภค


นี้หากไม่อยากตกยุคต้อง “ไร้สาย” ไม่รู้เพราะความเร่งรีบแห่งยุคสมัยผลักสิ่งต่าง ๆ ที่ “มีสาย” ให้ตกยุคหรือไม่...?

ดูอย่างสาวรุ่น จากนิยมใส่ “สายเดี่ยว” กลายเป็น “เกาะอก” แม้แต่อินเทอร์เน็ตก็ยังไร้สาย เช่นเดียวกับ “โทรศัพท์มือถือ” ซึ่งเขี่ยโทรศัพท์สาธารณะตกกระป๋อง!! มือถือเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนไทยตั้งแต่ “รากหญ้า” ถึง “ยอดหญ้า” ขณะที่ผู้ให้บริการต่างใช้กลยุทธ์ จูงใจผู้บริโภคกันเต็มที่ มีบริษัทมากมายเปิดตัวเพื่อให้บริการ “โหลด ลด แลก แจกกระจาย” ผ่านเอสเอ็มเอสอย่างแพร่หลาย แต่บางครั้งผู้ใช้โทรศัพท์ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริการเอสเอ็มเอสผ่าน มือถือ!!

สิ่งเหล่านี้ยังเหมือนหลุมพรางรอดักผู้บริโภค ซึ่ง ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เล่าว่า จาก การที่หน่วยงานรับเรื่องร้องทุกข์ ของผู้บริโภคที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมผ่านบริการเอสเอ็มเอสตั้งแต่สองปีที่ ผ่านมามีเพิ่มขึ้น เห็นได้จากเดือนมกราคม 2552 มีผู้โทรฯ มาแจ้งแล้ว 5 ราย อันแสดงให้เห็นถึงความเดือดร้อนของผู้บริโภคเริ่มแผ่วงกว้างมากขึ้น

จากสถิติปัญหาเอสเอ็มเอสที่ร้องเรียนมากที่สุดคือ

1. เมื่อสมัครแล้วไม่สามารถบอกเลิกการใช้บริการได้ เช่น บริการข่าวเอสเอ็มเอส เมื่อผู้บริโภคโทรฯ แจ้งเครือข่ายบอกเลิกบริการข่าวผู้รับสายจะบอกปัด ให้โทรฯไปแจ้งบริษัทที่ทำการส่งข่าว แต่พอโทรฯ ไประบบทำการโอนสายไปยังที่ต่าง ๆ ซึ่งไม่มีผู้รับสาย

2.ผู้ใช้บริการมีความรู้สึกว่า ถูกละเมิดสิทธิ เพราะ เบอร์โทรศัพท์เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ให้บริการเครือข่ายไม่ควรนำไปเผยแพร่แก่ผู้อื่น เช่น เอสเอ็มเอสขายของต่าง ๆ

3.รู้สึกถูกรบกวนจนไม่เป็นอันทำงาน เนื่องจากเอสเอ็มเอสการบริการต่าง ๆ ดังทั้งวันทำให้เกิดความรำคาญและรบกวน สมาธิ

“ทั้งสามปัญหานี้เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ซึ่ง กทช. มีหน้าที่ดูแลแค่ตัวบริการ ไม่สามารถดูลึกถึงเนื้อหาของการบริการได้ เหมือนกับมีหน้าที่แค่ดูแลการส่งจดหมายไม่สามารถเปิดซองจดหมายอ่านได้”

หากมองในแง่ความเป็นจริงผู้บริโภคสามารถบอกเลิกการบริการ จากคอลเซ็นเตอร์ของเครือข่ายได้ทันที เพราะเครือข่ายได้ทำสัญญากับบริษัทต่าง ๆ ที่บริการผ่านเอสเอ็มเอส โดยทั้งสองฝ่ายต่างได้ส่วนแบ่ง ซึ่งเครือข่ายต้องมีส่วนในการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค

ขณะนี้ผู้ให้บริการนิยมให้ทดลองใช้ฟรี ประวิทย์ มองว่า หากหมดช่วงเวลาการใช้บริการฟรี ผู้บริการควรส่งข้อความเพื่อยืนยันการรับบริการ ไม่ใช่ให้บริการต่อโดยไม่มีการยืนยันจากผู้บริโภค เช่น ทดลองรับข่าวฟรี 7 วัน พอครบกำหนดก็ไม่มีระบบยืนยันการใช้บริการแต่ทำการหักเงินจากมือถือทันที ซึ่งผู้บริโภคกำลังถูกเอาเปรียบอย่างเห็นได้ชัด

ผู้ให้บริการผ่านระบบเอสเอ็มเอสควรระบุที่มาอย่างชัดเจน และต้องมีหมายเลขที่ติดต่อได้แจ้งให้ผู้ใช้ทราบอย่างละเอียด ตลอดจนบอกวิธีการยกเลิกบริการตั้งแต่แรกเริ่มสมัครใช้ นอกจากนี้ควรกำหนดระยะเวลาการใช้บริการ เช่น ครบ 3 เดือน แล้วสมัครใหม่ เป็นต้น

ประวิทย์ แนะนำสิทธิของผู้บริโภคว่า เมื่อมีเอสเอ็มเอสส่งมาทางมือถือควรตั้งสติให้ดี อ่านข้อความให้จบเสียก่อน ซึ่งหากไม่แน่ใจให้กดปุ่มวางสายทันที ขณะเดียวกันหมายเลข โทรศัพท์เป็นข้อมูลส่วนบุคคลหากไม่ต้องการเอสเอ็มเอสรบกวนสามารถโทรฯ แจ้งเครือข่ายผู้ให้บริการบอกเลิกได้

นอกจากนี้ หากไม่สมัครบริการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้ามีผู้แอบอ้างสามารถแจ้งเครือข่ายระงับได้ทันที ส่วน กทช. กำหนดไว้ว่า ผู้ใช้บริการสามารถบอกเลิกบริการได้ตลอดเวลา

ในประเทศไทยยังเป็นช่องว่างทางกฎหมายซึ่งยังไม่ครอบคลุมสิทธิผู้บริโภค ต่างจากหลายประเทศที่มีระบบการจัดการรบกวนเพื่อให้ผู้ใช้บริการมีความเป็น ส่วนตัว เช่น ฮ่องกง ผู้ใช้บริการที่ไม่ต้องการรับเอสเอ็มเอส สามารถแจ้งความ ประสงค์กับเครือข่ายได้ทันที ซึ่งเมื่อแจ้งแล้วหากมีข้อความบริการเข้ามา ผู้บริโภคสามารถเอาผิดทางกฎหมายได้

ด้านสิทธิของผู้บริโภคที่มี กฎหมายคุ้มครองคือ ถ้าเนื้อหาเอสเอ็มเอสส่อไปในแนวทางที่ไม่ดี สามารถนำกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมแล้วมาใช้ได้ทันที เช่น ข้อความนี้เนื้อหาเชิญชวนเล่นการพนันสามารถนำพระราชบัญญัติความผิดด้านการ พนันมาลงโทษได้ เป็นต้น “ส่วนของ กทช. หากเครือข่ายไม่แสดงความรับผิดชอบสามารถยกเลิกใบอนุญาตได้ ซึ่งเป็นมาตรการสุดท้ายที่หน่วยงานรัฐไม่ต้องการทำเพราะเครือข่ายโทรศัพท์มี ผู้ใช้บริการเป็นล้าน ๆ คน หากเพิกถอนประชาชนก็จะเดือดร้อน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เครือข่ายไม่ค่อยใส่ใจเท่าที่ควร”

ตัวเนื้อหาของผู้ให้บริการเป็นอีกประเด็นช่องว่างทาง กฎหมาย เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้มือถือระบบเติมเงิน ที่ยังไม่มีการลงทะเบียนผู้ใช้เป็นระบบ ทำให้เด็กบางคนซึ่งยังไม่มีวุฒิภาวะ สามารถโหลดคลิปที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมได้

ขณะเดียวกันเด็กบางคนโหลดทุกอย่างทำให้ผู้ปกครองต้องรับภาระค่าใช้จ่ายสูงในแต่ ละเดือน ดังนั้นผู้ให้บริการควรจัดประเภทอายุของผู้ใช้เพื่อ ให้บริการที่เหมาะสมกับวัย ขณะเดียวกันการส่งเอสเอ็มเอสยังไม่มีการกำหนดอัตราค่าบริการ ทำให้ผู้บริการสามารถหักเงินจากบริการเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่ผู้ให้บริการกำหนด นอกจากนี้การส่งข้อความไปหาผู้รับในส่วนต่าง ๆ ยังมีอัตราที่ไม่เท่ากัน เช่น ส่งข้อความไปยังรายการทีวี เพื่อให้ขึ้นหน้าจอต้องเสียค่าส่ง 9 บาท ทั้งที่การส่งข้อความปกติครั้งละ 3 บาท ในความเป็นจริงต้นทุนการส่งข้อความแค่ ครั้งละ 50 สตางค์ ซึ่งมีราคาถูกลงกว่าเดิมมากเนื่องจากเทคโนโลยีมีความสะดวกรวดเร็ว ต่างจากยุคแรกที่เริ่มมีการส่ง ข้อความ ผ่านมือถือต้องเสียเงิน ครั้งละ 150 บาท

ที่อันตรายกว่านั้นคือ มีการขายประกันผ่านมือถือ โดยตัวแทนโทรฯมาหว่านล้อมเพื่อให้ผู้ซื้อยอมรับ โดยระหว่างที่พูดตัวแทนจะทำการอัดเสียงเพื่อยืนยันว่า ผู้ซื้อยอมรับ แล้วหลังจากนั้นจึงทำการหักเงินผ่านระบบบัตรเครดิตในแต่ละเดือน ซึ่งพอแจ้งไปยังเครือข่ายมือถือก็บ่ายเบี่ยง จึงอยากเตือนประชาชนให้ระวังอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่มบุคคลเหล่านี้

โลกกำลังหมุนเร็วขึ้นทุกวัน หน่วยงานผู้รับผิดชอบเองก็ต้องตามให้ทันเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค จะมัวทำงาน “เช้าชาม เย็นชาม” เหมือนก่อนคงลำบาก

ที่มา : เดลินิวส์




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2553 22:50:35 น.
Counter : 205 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

DeWalt
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add DeWalt's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.