Welcome to my blog
1 วัน จีหลง+นิวไทเป สีสันชายฝั่งภาคเหนือของเกาะไต้หวัน


สถานที่ท่องเที่ยว : เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street), เขตนิวไทเป, Taiwan
พิกัด GPS : 25° 9' 56.70" N 121° 34' 31.31" E


หลังจากที่สองวันแรกของทริป เราได้เที่ยวในกรุงไทเปไปพอสมควรแล้ว ในวันนี้เราจะออกนอกเมืองกันบ้างครับ โดยในวันนี้เราจะนั่งรถเพื่อขึ้นไปยังชายฝั่งทางตอนเหนือสุดของเกาะไต้หวัน ซึ่งที่นั่นจะประกอบไปด้วยเมืองใหญ่ 2 เมือง ได้แก่ จีหลง (Keelung) และ นิวไทเป (New Taipei) ทั้งสองเมืองนี้ ถ้าเทียบกับประเทศไทย ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจังหวัดปริมณฑลที่ล้อมรอบเมืองหลวงอยู่ คล้ายๆกับจังหวัดนนทบุรี หรือสมุทรปราการของบ้านเรานั่นเอง


รู้จักกับเมืองจีหลง (Keelung)

เป็นเมืองชายทะเลที่ตั้งอยู่ปลายสุดทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน เดิมทีเมืองนี้ในอดีตเป็นที่อยู่ของ ชนเผ่าเคอทาเก๋อหลัน (Ketagalan People) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมือง (ในรูปด้านล่าง) แต่ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17 ก็ได้มีคณะสำรวจชาวสเปนเดินทางมาที่บริเวณแถบนี้ และได้สร้างเป็นเมืองขึ้นชื่อว่า ซานซัลวาดอร์ (San Salvador) แต่ต่อมาเมืองนี้ก็ได้ถูกยึดครองโดยชาวฮอลันดา และได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น นูร์ท ฮอลแลนด์ (Noort Hoollant) จนเมื่อชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ ได้เข้ามาขับไล่ชาวฮอลันดาออกไปได้สำเร็จในสมัยราชวงศ์ชิง
 
 
จีหลงเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในช่วงนั้นได้เริ่มมีการสร้างท่าเรือแบบสมัยใหม่ขึ้นที่นี่ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเมืองนี้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศ เป็นรองแค่เมืองเกาสง (Kaoshuing) ทางภาคใต้ นอกจากนี้ เมืองจีหลงยังเป็นเมืองที่มีฝนตกมากที่สุดของไต้หวันด้วยด้วย ทำให้ที่นี่ได้สมญานามว่าเป็น ท่าเรือแห่งสายฝน (The Rainy Port)

รู้จักกับเมืองนิวไทเป (New Taipei City)

ภาษาจีนจะเรียกที่นี่ว่า ซินเป่ย์ (Xinbei) เขตนี้จะล้อมรอบกรุงไทเป และเมืองจีหลง ซึ่งแต่เดิมพื้นที่ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกรุงไทเปที่พิ่งแยกออกมาเมื่อปี 2010 นี่เอง ซึ่งสาเหตุที่แยกออกมา เนื่องจากจำนวนประชากรของเขตนี้มีจำนวนเยอะขึ้น จนแซงหน้ากรุงไทเปไปแล้ว ทำให้ที่นี่ถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นอีกหนึ่ง  เทศมณฑล เพื่อให้มีฐานะเทียบเท่ากับเทศมณฑลไทเป

สิ่งที่น่าสนใจของเขตนี้คือ ในช่วงที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ได้มีการค้นพบว่า ที่นี่มีสายแร่ทองคำ จึงมีการทำเหมืองขึ้น ปัจจุบันยังมีร่องรอยของประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ ได้แก่ เมืองจิ่วเฟิ่น (Jiufen) อันโด่งดังนั่นเองครับ

 
การเดินทางไปยังจีหลงและนิวไทเป

ทริปในวันนี้ เรานั่งรถเมล์เที่ยวล้วนๆเลยครับ โดยเราเริ่มต้นจาก Taipei Main Station (Kuokuang Bus Station) เพื่อเดินทางไปยัง อุทยานธรณีเย่หลิว (Yehliu Geeopark) แล้วนั่งรถเมล์ต่อไปยัง เมืองจีหลง (Keelung) ทานข้าวเที่ยงที่ ร้าน A6263 แล้วไปชมบ้านหลากสีที่ ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing harbor) จากนั้นก็เดินทางไปยัง เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street) โดยระหว่างทางจะแวะเที่ยว ทะเลหยินหยาง (Yin Yang Sea) และน้ำตกทองคำ (Golden waterfall) ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางทั้งหมดนี้ ผมขอสรุปตามแผนผังข้างล่างนี้นะครับ

 
อุทยานธรณีเย่หลิว (Yehliu Geopark)

จาก Taipei Main Station เรานั่งรถเมล์ลัดเลาะชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะไต้หวันมาถึงที่นี่ก่อนเลยครับ

 

 
สำหรับอุทยานธรณีเย่หลิว ตั้งอยู่ในเขตนิวไทเป ซึ่งถ้าดูแผนที่ อุทยานนี้จะเป็นแหลมยื่นออกไปสู่ ทะเลจีนตะวันออก (East China Sea) โดยแหลมนี้มีความยาวประมาณ 1,700 เมตร


 
สิ่งที่โดดเด่นของอุทยานธรณีเย่หลิวก็คือ ลักษณะของหินต่างๆที่มีรูปทรงที่ดูแปลกตา ให้เราจินตนาการเป็นรูปร่างต่างๆ ตัวอย่างเช่น เห็ด ปลาวาฬ  ไอศกรีม เต้าหู้ สิงโต ซึ่งหินต่างๆเหล่านิ้เกิดจากการกัดกร่อนของคลื่นลม และน้ำทะเล
 










 
ไฮไลท์สำคัญของที่นี่ก็คือ หินเศียรราชินี (Queen’s Head Rock) ซึ่งว่ากันว่าคล้ายกับส่วนหัวของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งของอังกฤษ



 
บริเวณอุทยานธรณีเย่หลิวจะมี อนุสาวรีย์ของหลินเทียนเจิ้น (The Statue of Lin Tienzhen) ซึ่งเป็นชาวประมงท้องถิ่นที่พยายามจะช่วยนักเรียนคนหนึ่งที่ตกลงไปในน้ำขณะเดินทางมาทัศนศึกษาที่นี่ แต่เป็นที่น่าเศร้าตรงที่ทั้งคู่สูญหายไปในทะเล พอเรื่องทราบถึงประธานาธิบดีเจียงไคเช็ก จึงมีการสั่งการให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นที่นี่ และได้นำเรื่องราวความกล้าหาญของชาวประมงคนนี้ใส่ลงไปในตำราเรียนของไต้หวัน เพื่อยกย่องความกล้าหาญ และความเสียสละของเขา
 

 
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 120 ดอลลาร์ไต้หวัน, เด็ก 60 ดอลลาร์ไต้หวัน
 
 
ร้าน A6263

ร้านนี้อยู่ในเมืองจีหลง (Keelung) เลยครับ แต่จะหายากหน่อย เพราะเป็นร้านค่อนข้างลับเหมือนกัน (แต่ตอนนี้ไม่ค่อยลับล่ะ เพราะมีคนไทยหลายคนไปรีวิว) 

วิธีเดินทาง ให้นั่งรถเมล์มาลงในเมืองจีหลงจากนั้นให้เดินมาที่ ตลาดเหรินอ้าย (Ren Ai Market) แล้วเดินขึ้นมาชั้นสอง จะเจอกับป้ายอันนี้

 
 
เวลาจะสั่งอาหารที่นี่ ทางร้านจะให้ใบสำหรับเขียนสั่งอาหารมา แต่ปัญหาคือ มันมีแต่ภาษาจีนครับ  ดังนั้นใครที่อ่านจีนไม่ออก พูดจีนไม่ได้ แต่อยากมากิน แนะนำให้ใช้ google translate แปลเอานะครับ มันจะแปลออกมางงๆหน่อย แต่ก็พอเข้าใจอยู่

อาหารสั่งมา 4 อย่างคือ ข้าวหน้ากุ้ง, ข้าวหน้าเซ็ทซาซิมิรวม (รวมซุปมิโซะ), ซุปรวมมิตรทะเล, ปลาหมึกนึ่ง โดยส่วนตัวชอบข้าวหน้ากุ้งมากที่สุด รสชาติแปลกดี แต่อร่อย นอกนั้นก็อร่อยดี วัตถุดิบสดมาก คนไทยน่าจะชอบ เพราะรสชาติที่คนไทยคุ้นเคย ทั้งหมดนี้ หมดไปประมาณ 6 ร้อยกว่าบาท โดยรวมก็ถือว่าโอเค พอใจกับรสชาติและคุณภาพอาหารครับ
 

 
ถ้าใครจะมาทานที่ร้านนี้ ให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆเลยครับ คิวยาวมาก โดยเฉพาะตอนเที่ยงๆ

ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing harbor)

ท่าเรือนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในปี 1934 ครับ และถือเป็นท่าเรือประมงทื่ใหญ่ที่สุดของเกาะไต้หวันในยุคนั้น แต่ต่อมาเมื่อไต้หวันอยู่ภายใต้การปกครองของจอมพลเจียงไคเช็ก ที่นี่ก็ค่อยๆถูกลดบทบาทลงไป จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทางรัฐบาลท้องถิ่นของเมืองจีหลง ได้ทำการปรับปรุง ทาสีบ้านเรือน ทำให้ที่นี่กลายมาเป็นแลนด์มาร์ค และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้ไปเลย

 

Tip: หลายรีวิวแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ช่วงเช้านะครับ เพราะถ่ายรูปออกมาจะไม่ย้อนแสง
 
ทะเลหยินหยาง (Yin Yang Sea)

จริงๆ ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในแผนตอนแรกครับ แต่เนื่องจากเราต้องการนั่งรถเมล์จากเมืองจีหลงไปยังเมืองโบราณจิ่วเฟิ่น แล้วต้องมาเปลี่ยนสายรถเมล์ตรงนี้พอดี ก็เลยตัดสินใจขอแวะเที่ยวหน่อยล่ะกัน

บริเวณนี้จะเป็นจุดชมวิวทะเลสองสี นั่นก็คือ สีเหลืองกับสีฟ้าครับ ทำให้คนไต้หวันเรียกทะเลตรงนี้ว่า ทะเลหยินหยาง (Yin Yang Sea)  ซึ่งสีเหลืองของน้ำทะเลตรงนี้ เกิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำในอดีต ทำให้สารเคมีจากการทำเหมืองแร่ไหลลงไปในทะเล ซึ่งจริงๆแล้วอันตรายครับ แต่ก็กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทัวร์มาลงเต็มไปหมด

 

 
สิ่งที่น่าสนใจกว่าทะเลคือ ตึกบนภูเขาที่อยู่ด้านหลังป้ายรถเมลทะเลหยินหยาง ตึกนี้มีชื่อว่า 13 Floor ruin หรือเรียกในภาษาจีนว่า ซุ่ยหนานตง ซึ่งเคยถูกใช้เป็นโรงถลุงแร่ทองมาก่อน โดยถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1933 ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น จนเมื่อถึงปี 1971 เมื่อทองคำบนภูเขานี้ค่อยๆลดลง ตึกนี้ก็ได้ถูกปิดตัวลง และถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ที่นี่ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวคู่กับทะเลหยินหยางครับ
 

 
น้ำตกสีทอง (Golden waterfall)

เดินขึ้นเขาจากจุดชมวิวจทะเลหยินหยาง จะเจอกับน้ำตกสีทองนี้ครับ
 
 
ความแปลกของน้ำตกนี้ก็คือสีของเนินเขาของน้ำตกจะเป็นสีทอง ซึ่งเกิดจากตอนช่วงที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำ ได้มีแร่ธาตุปนเปื้อนอยู่ในน้ำ และแร่ธาตุเหล่านี้ก็ได้ทำปฏิกิริยากับเนินเขา จนกลายเป็นสีทองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
 

 
เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street)

จิ่วเฟิ่น (Jiufen) เป็นหมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ในหุบเขาของ เขตลุ่ยฟาง (Ruifang) ของเขตเทศมณฑลนิวไทเปทางตอนเหนือสุดของเกาะไต้หวัน

ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปตั้งแต่ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยในช่วงนั้นได้มีการทำเหมืองทำคำขึ้นใกล้ๆตรงนี้ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้เป็นจำนวนมาก จึงมีการสร้างบ้านเรือนขึ้นจนกลายเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ซึ่งบ้านเรือนเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากชาวญี่ปุ่นด้วย ทำให้เมื่อเราเดินเข้าไปในหมู่บ้าน จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ผสมผสานระหว่างจีนกับญี่ปุ่นอย่างลงตัว



 
จุดที่เป็นไฮไลท์สำคัญของเมืองโบราณจิ่วเฟิ่นก็คือ มุมมหาชนตรงข้ามกับโรงน้ำชา Amei Tea House ตอนผมไปมีแต่คนไทยไปยืนรอถ่ายกันเต็มไปหมด เพราะช่วงที่ไปเป็นวันหยุดตอนเทศกาลสงกรานต์พอดี

 

แผนตอนแรกสุดคือ เราจะมาหาน้ำชาทานที่ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้าม Amei Tea house พร้อมกับชมวิวเพลินๆ แต่พอมาถึงก็เพิ่งรู้ว่า มันต้องจองมาก่อน ผ่านทาง klook หรือ kkday ครับ เลยอดเลย

แต่ถึงพลาดก็ไม่เป็นไร เพราะที่จิ่วเฟิ่น  ยังมีร้านอาหารสตรีทฟู้ดร้านอื่นๆขายเรียงรายเต็มไปหมด แต่ร้านที่ไม่ควรพลาดเลย ก็คือ ร้าน A-Jou Peanut Ice Cream Roll ซึ่งเค้าจะขายเป็นไอศกรีมรสหวานผสมถั่วตัดห่อด้วยแผ่นแป้งแบบนี้ (สามารถเลือกได้ว่าผักชีไหม แต่สำหรับคนไทย ไม่ใส่จะถูกปากมากกว่าครับ)
 
 
เนื่องจากคนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก เจ้าของร้านอาหาร และพนักงานที่นี่หลายคนที่เมืองนี้ก็เลยพูดภาษาไทยได้ด้วย และบางร้านยังมีป้ายภาษาไทยด้วยนะ อย่างร้านขายไส้กรอกไต้หวันร้านนี้ ก็มีป้ายภาษาไทย แต่พอแปลออกมา ผมว่ามันดูแปลกๆนะ
 
 
ที่จิ่วเฟิ่นจะมีการแขวนโคมไฟสีแดงตกแต่งรอบๆ จึงมีคนนำไปร่ำลือกันว่า จิ่วเฟิ่นคือเมืองต้นแบบของฉากในหนังอนิเมะเรื่อง Spirit Away ของค่ายสตูดิโอจิบลิ แต่ผู้สร้างและค่าย ก็ออกมาปฏิเสธหลายรอบแล้วนะครับว่า ไม่ใช่ ฉากในหนังมาจากหลายสถานที่ ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นที่ใดที่หนึ่ง แต่นักท่องเที่ยวหลายคนก็เชื่อไปแล้วแหละ ทำให้ที่เมืองนี้มีการขายของที่ระลึกต่างๆจากหนังเต็มไปหมด

 


จิ่วเฟิ่นเป็นที่สุดท้ายของทริปในวันนี้ครับ พอเริ่มค่ำเราก็นั่งรถกลับเข้าตัวเมืองไทเป ทริปที่จีหลงและนิวไทเปแบบเต็มวันก็จบเพียงเท่านี้ครับ

สำหรับทริปในวันนี้ ถือเป็นวันที่เราได้เที่ยวได้หลายที่มาก และทุกที่ถือเป็นไฮไลท์ของไต้หวันเลย ไม่ว่าจะเป็นอุทยานธรณีเย่หลิว เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น หรือที่เที่ยวใหม่ที่เพิ่งได้รับการโปรโมทอย่างบ้านหลากสี ที่ท่าเรือเจิ้งปิน ถ้าใครจะมาตามรอยก็สามารถลอกแผนของผมได้เลยครับ 

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง



Create Date : 01 ตุลาคม 2566
Last Update : 24 ธันวาคม 2566 21:41:12 น. 0 comments
Counter : 826 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณnewyorknurse


ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.