สมุดบันทึกผู้หญิงชอบเที่ยว "ภัทรานิตย์" -- www.atourthai.com --

"เที่ยวเมืองไทยด้วยหัวใจ แล้วคุณจะรักเมืองไทยอย่างยั่งยืน"


<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
21 เมษายน 2552
 

BKK - NONTHABURI :: เที่ยวเกาะเกร็ดแวะสองฝั่งคลองต่อด้วยตลาดคนเดินรัชดา

เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมาบ้านเราถือโอกาสเข้ากรุงเทพฯ เร็วหน่อย จะได้ไม่ต้องเจอรถติดมากนัก มีเวลาเหลือหลายวันก็เลยพาครอบครัวไปเที่ยวเกาะเกร็ดกัน เห็นคุณนายทองสุขแกบ่นอยากไปเที่ยวหลายครั้งแล้ว พาวัยรุ่นไปซะหน่อย

ก่อนอื่นเรามารู้จักเกาะเกร็ดกันก่อน โดยส่วนตัวไปมาหลายครั้งแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเดินหรือล่องเรือ เกาะเกร็ดเป็นเกาะขนาดใหญ่กลางลำน้ำเจ้าพระยา แบ่งการปกครองเป็น 7 หมู่บ้าน เกาะเกร็ดเกิดจากการขุดคลองลัดลำน้ำเจ้าพระยาตรงที่มีแหลมยื่นไปตามความโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ แห่งกรุงศรีอยุธยา ปี พ.ศ. 2265 เรียกคลองนี้ว่า "คลองลัดเกร็ดน้อย" ขนาดความกว้าง 6 วา ยาว 39 เส้นเศษ ลึก 6 ศอก ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางทำให้คลองขยายกว้างขึ้น เพราะถูกความแรงของกระแสน้ำเซาะตลิ่งพังจึงกลายเป็นแม่น้ำลัดเกร็ด และกัดเซาะจนมีสภาพเป็นเกาะเช่นทุกวันนี้

และเมื่อลำคลองกว้างขึ้น สภาพความเป็นเกาะก็ชัดเจนขึ้น ซึ่งชื่อที่เรียกกันก่อนหน้านี้เรียกว่า "เกาะศาลากุน" ปรากฏอยู่ในโฉนดที่ดินที่ออกในสมัยรัชกาลที่ 5 เกาะศาลากุนนี้เรียตามชื่อวัดศาลากุน เป็นชื่อที่ได้จากผู้สร้างถวายชื่อ เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน) ที่สมุหนายกรับราชการตั้งแต่สมัยเจ้าพระยาตามสินมหาราชจนถึงสมัยรัชกาลที่ 2 ต่อมาเมื่อตั้งอำเภอปากเกร็ดขึ้นแล้ว เกาะศาลากุนจึงได้มีฐานะเป็นตำบลเรียกว่าตำบลเกาะเกร็ด เกาะนี้จึงชื่อว่าเกาะเกร็ดจนถึงปัจจุบัน .. ข้อมูลจากการท่องเที่ยวเกาะเกร็ด

ทริปนี้ของพวกเราไปถึงเกาะเกร็ดก็เกือบบ่ายสองแล้วล่ะ จากห้าแยกปากเกร็ดก็ตรงมาเรื่อยๆ จนเห็นโลตัสเอ็กซ์เพรสก็เลี้ยวรถเข้าซอยนั้นเลย จากนั้นก็ให้หาวัดสนามเหนือเพื่อจอดรถ แล้วข้ามเรือเพื่อไปเกาะเกร็ด ยังไม่ทันจะข้ามเรือกันเลย เจ้าน้องชายเหลือบไปเห็นป้ายโกฮับซะก่อนก็แวะชิมกันก่อนเลยอยู่ตรงท่าเรือข้ามฟากนั่นแหละ




อร่อยใช้ได้เลยนะ สังเกตุจากพ่อลูกเค้าสิตั้งหน้าตั้งตากินกันเป็นล่ำเป็นสันกันเลยทีเดียว พอทานกันเสร็จก็นั่งเรือข้ามฟากเสียคนละ 2 บาทล่ะ




เรือข้ามฟากใช้เวลาไม่นานนักก็ไปถึงอีกฝั่งล่ะ ลืมบอกไปว่ามาเกาะเกร็ดอย่าลืมเตรียมหมวกและพัดกันมาด้วยนะ เพราะร้อนชะมัดเลยล่ะ ไม่งั้นก็ต้องไปเสียเงินค่าหมวกแบบบ้านเรา (ไม่ไหวเจอร้อนๆ แบบนี้หน้าบานๆ ของชั้นก็พังกันพอดีอ่ะ)

สำหรับการมาเที่ยวเกาะเกร็ดเพื่อนๆ สามารถเดินเที่ยวเองรอบเกาะ หรือเช่าจักรยานถีบรอบเกาะก็ได้ราคาประมาณ 40 บาท หรืออยากนั่งเรือชมเกาะที่นี่เค้าก็มีบริการคนละ 60 บาทโดยเส้นทางจะเริ่มจากวัดปรมัยยิกาวาส เป็นวัดโบราณสถานที่สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีเจดีย์เอียงเป็นเอกลักษณ์ของวัดนี้ จากนั้นไปชมศูนย์เครื่องปั้นดินเผากวานอาม่าน แล้วก็ไปท้ายเกาะวัดใหญ่แหล่งอนุลักษณ์พันธุ์สัตว์น้ำ จากนั้นก็เลี้ยวเข้าคลองบางบัวทอง หรือคลองขนมหวานไปดูหมู่บ้านขนมหวาน จากนั้นก็ย้อนกลับมาปากคลองที่มีเตาอิฐที่ผลิตอิฐ บ.บ.ท. อิฐทนไฟแห่งแรกของเมืองไทย จากนั้นก็ไปชมสาธิตการแกะสลักเครื่องปั้นดินเผาที่้านจ๋อมแจ๋ม ก็กลับมาที่เดิม แต่สำหรับทริปนี้ของเราเลือกเป็นเดินชมรอบเกาะ เพราะแม่เค้าจะมาเดินดูของล่ะ




เวลามาเที่ยวเกาะเกร็ดสิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดก็เห็นจะเป็นดอกไม้นานาชนิดนำมาทอดเป็นอาหารแนะนำ ชนิดที่ว่าใครมาเกาะเกร็ดก็ต้องลองชิมกันทั้งนั้น แล้วก็อีกอย่างคือทอดมันหน่อกะลา เราว่าอันหลังดูเข้าท่ากว่านะ เพราะเราชอบทอดมัน หุหุ



วันนี้ถือเป็นช่วงเทศกาลพอดิบพอดีที่วัดปรมัยหรือชื่อเต็มว่า "วัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร" เป็นอารามหลวงชั้นโท วัดนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแต่ก็ถูกทิ้งให้ร้างหลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 จน พ.ศ. 2317 พระเจ้าตากสินได้ให้ชาวมอญมาตั้งบ้านเรือนที่เกาะเกร็ดจึงมีการสร้างเจดีย์ทรงรามัญและพระพุทธไสยาสน์ล่ะ วันนี้เค้ามีสรงน้ำแบบอาบน้ำเจดีย์ด้วยล่ะ เคยมาเมื่อสองปีก่อนล่ะเค้าให้เอาน้ำใส่ขันแล้วชักลอกขึ้นไปรดน้ำเจดีย์ด้านบนล่ะ แปลกดีเหมือนกัน นอกจากนี้สิ่งที่แปลกตาสำหรับวัดนี้ก็คงจะเป็นเจดีย์เอียงๆ นี่ล่ะ ชื่อเป็นทางการเค้าเรียกว่า "พระเจดีย์มุเตา" เป็นเจดีย์ทรงรามัญ อยู่ด้านเหนือติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ว่ากันว่าสร้างโดยชาวมอญที่อพยพเข้ามารุ่นแรกในสมัยธนบุรี เป็นเจดีย์เก่าแก่มีลักษณะเอียงจนแทบจะตกลงแม่น้ำเจ้าพระยาและถัดจากวัดปรมัยก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ ก็จะพบกับหมู่บ้านโอท็อปที่เป็นแหล่งรวมงานฝีมือ ศิลปะมากมายของชุมชนชาวเกาะเกร็ดเค้าล่ะ








โดยระหว่างทางที่เดินไปนั้นก็จะพบกับวัไผ่ล้อม (เภี่ยโต้) สร้างในสมัยธนบุรีประมาณปี 2313 ต่อมาปี 2318 พระยาต้นตระกูลคชเสนีย์ได้สร้างพระอุโบสถเดิมจนเสร็จสมบูรณ์ ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชพระยาเจ่ง เป็นผู้รับครอบครัวมอญที่ถูกกวาดต้อนไปครั้งกรุงแตกให้กลับมาตั้งถิ่นฐานที่ปากเกร็ดไปจนถึงอำเภอสามโคกจังหวัดปทุมธานี



Wat Phai Lom (Phia To)  โดยภายในวัดจะประกอบด้วย พระอุโบสถ หน้าบันจำหลักลวดลายดอกไม้ มีคันทวยและหัวเสาที่งดงาม เสาหงส์ 3 ต้นที่ด้านซ้ายเป็นศิลปะแบบมอญ และด้านขวาเป็นศิลปะแบบไทย เจดีย์ฐานย่อมุมเป็นเจดีย์มอญองค์ระฆังทรงโอคว่ำ ยอดกลมประดับลายปูนปั้น และกุฏิเรือนไทยโบราน



จากวัดพวกเราเดินต่อกันมาเรื่อยๆ ก็มาเจอป้ายด้านบนนี่ล่ะ แหม ที่นี่มีกระทั่งหมอดูด้วยล่ะ เขียนป้ายซะได้ใจจริงๆ เลย เจ้าน้องชายเราเห็นป้ายรีบเดินผ่านอย่างเร็วเลยล่ะ เดินมาตามทางเรื่อยๆ เราก็ไปสะดุดตาป้ายที่บอกว่า ต้นยางสองต้นไม่หล่นดังจับวาง อะไรสักอย่างนี่แหละ ก็ด้วยความสงสัยเลยเดินไปถามคนแถวนั้น เค้าบอกให้เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ



สิ่งที่สังเกตุได้ชัดจะเห็นป้ายต้นยางใหญ่ ก็เดินทางลูกศรมาเลยจะพบกับ กลุ่มเจดีย์วัดเสาธงทอง (The Pagoda Cluster in Wat Sao Thong Thong) เป็นกลุ่มเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะเกร็ด ว่ากันว่าอายุราวๆ 100 ปีเลยล่ะ ด้านในประกอบด้วย พระธุตังคเจดีย์ เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองศิลปะสมัยอยุธยา ใหญ่ที่สุดในอำเภอปากเกร็ด ล้อมรอบด้วยเจดีย์บริวาน 12 องค์ มีเจดีย์อีกสององค์อยู่ด้านข้างพระอุโบสถ องค์หนึ่งเป็นเจดีทรงระฆัง องค์หนึ่งเป็นเจดียทรงมะเฟือง




แล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับป้ายที่นำเรามาล่ะ ถามลุงที่อยู่แถวนั้นแกเล่าว่า เรื่องก็คือต้นยางใหญ่สองต้นที่อยู่ข้างเจดีย์ กิ่งเกิดหักลงมาหล่นอยู่ข้างเจดีย์ เหมือนจับวางลงมาซึ่งไม่ทำความเสียหายใดๆ กับตัวเจดีย์เลย ว่ากันว่าเป็นเพราะสองกุมารช่วยไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่จึงมีศาสสำหรับกุมารล่ะ ใครไปมาก็มากราบไหว้ล่ะ แน่นอนเรื่องแบบนี้คุณนายทองสุขก็เช่นกัน ไม่พลาดอยู่แล้ว เข้าไปกราบก่อนใครเพื่อนเลย อิอิ แต่จะวางไปก็แปลกดีนะที่ไม้ท่อนเบ้อเริ้มหล่นลงมา กับไม่โดนอะไรเลยทั้งๆ ที่พื้นที่มีจำกัดมากๆ เอาเป็นว่าหากผ่านมาก็ลองมาแวะดูความมหัศจรรย์นี้กันเองนะ

ตอนนี้ก็ปาเข้าไปจะห้าโมงเย็นแล้วล่ะมั้ง วัยรุ่นสองคนเริ่มบ่นล่ะ (เตี่ยกับแม่) นี่จะต้องเดินอีกไกลไหมเนี่ย เริ่มสังขารไม่เอื้ออำนวย เราก็ไปดูป้ายกัน



จากป้ายจะเห็นว่าเราเดินยังไม่ไกลเท่าไหร่กันเลย แต่ครั้นจะย้อนเดินกลับมาแล้วเดินต่อไปดูโรงปั้นมีหวังคุณนายทองสุขแกบ่นอุบแน่ๆ เจ้าน้องชายก็เลยนำเสนอว่า นั่งมอเตอร์ไซค์ไปลงท่าเรือป่าฝ้ายกันไหม แม่จะได้ไม่เหนื่อย เพราะถ้าเดินย้อนกลับไปไม่ไหวแน่ๆ ก็ตามนั้นเพราะดูสองวัยรุ่น (ใหญ่) แล้วท่าจะเหนื่อยแล้วล่ะ ก็เลยนั่งมอเตอร์ไซค์วนไปทางขวา คนละ 30 บาท ซึ่งก็จะผ่าน แปลงสาธิตผ้าพื้นบ้าน วัดศาลากุล สถานีอนามัย ที่ทำการอบต. และสวนเกร็ดพุทธ พี่วินเค้าบอกว่าไปดูดอกไม้ที่สวนซิ อ่ะเอาซะหน่อย เจ้าของพื้นที่แนะนำมา พลาดได้ไงล่ะ






ซึ่งระหว่างทางที่ไปนั้นก็จะได้พบเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนบนเกาะเกร็ดแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกบ้านในแบบเดิมๆ ที่มีประตูกั้นทางเข้าด้วย ไม่ได้เห็นนานแล้วล่ะ วิถีชีวิตที่ไม่ไกลจากเมืองกรุงมากนัก ยังคงความเป็นชุมชนที่สมบูรณ์ น้ำยังใส ฟ้าสวย ปลูกพืชผัก ดำรงชีวิตกันแบบพอเพียงในชุมชนเล็ก ดูแล้วเป็นธรรมชาติดีนะ บางทีคนเราอยู่กับความศิวิไลมากไป ก็ออกไปอยู่ชีวิตพอเพียงดูบ้าง ก็ได้อะไรดีๆ กลับบ้านเหมือนกันนะ

พอนั่งรถมอเตอร์ไซค์มาถึงท่าเรือป่าฝ้าย เดินย้อนกลับมาก็สักประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้ก็จะพบกับสวนเกร็ดพุทธ ที่พี่วินแกบอกมาว่าให้มาดูดอกไม้ที่นี่








พอมาถึงจะเดินตรงเข้าไปตามทางเรื่อยๆ ซึ่งด้านในมีลักษณะเหมือนโซนจัดแสดงชีวิตพื้นบ้านเสียมากกว่า มีพวกเกวียน อุปกรณ์ตำข้าว การทำเข่งปลาทู อะไรเป็นต้น ซึ่งจัดแสดงอยู่ในสวนมีทางเดินยกสูงให้เดินเข้าไปชมแต่ละซุ้มที่จัดแสดง





ส่วนดอกไม้ก็มีบ้างไม่มากนัก ดอกที่ดูจะแปลกตาก็คงเป็นบัวสวรรค์นี่แหละ ไม่ค่อยเห็นทั่วไปมากนัก ซึ่งระหว่างที่เดินน้องเด็กๆ คนหนึ่งเป็นไกด์พาพวกเราเดินเที่ยว น้องเค้าก็น่ารักดีนะ ทำให้การเดินดูสวนเกร็ดพุทธของเรามีสีสันขึ้นเยอะเลยล่ะ พวกเราเดินกันได้สักพักก็เดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือป่าฝ้ายใหม่ เพื่อเดินต่อไปยังวัดฉิมพลีล่ะ




วัดฉิมพลีเป็นวัดที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง แต่เดิมเรียกวัดแห่งนี้ว่า "วัดป่าฝ้าย" ซึ่งสันนิษฐานว่าแต่เดิมน่าจะมีการปลูกฝ้ายกันมากในบริเวณใกล้วัดแห่งนี้ วัดป่าฝ้ายสร้างเมือพม่ามายึดเมืองนนทบุรีและด่านปากเกร็ด เมื่อ พ.ศ. 2308 จนมาถึงพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310 ต่อมาในปี 2317 พระเจ้าตากสินได้กรุณาโปรดเกล้าให้คนมอญที่อพยพหนีพม่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่เกาะเกร็ด จึงได้มีการบูรณะวัดป่าฝ้ายขึ้นมาอีกครั้ง เรียกเป็นภาษามอญว่า "เภียะฝ้าย"

ต่อมาในปี 2358 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระยาวิเชียรวารี เป็นแม่กองบูรณะวัดป่าฝ้าย และพระราชทานนามว่า "วัดฉิมพลีสุทธาวาส" (พระนามเดิมของพระองค์คือ ฉิม)




และเรือพร้อมพระเจดีย์ 3 องค์ เป็นสิ่งก่อสร้างตามคติความเชื่อของคนมอญ นิยมสร้างเรือพร้อมเจดีย์ ซึ่งมีการสร้างไว้หลายวัดแต่เสียหายหมดคงเหลือแต่วัดฉิมพลีแห่งนี้ ซึ่งคนมอญสร้างเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระโสณะและพระอุตระนำพระพุทธศาสนามาประดิษฐานที่ราชอาณาจักรมอญที่เมืองสะเทิม ปี พ.ศ. 2465 โดยมาทางเรือพระพุทธศาสนาซึ่งมีพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ได้ประดิษฐานมั่นคงอยู่ในเมืองมอญ และเผยแพร่สู่ประเทศไทย พม่า ลาวและเขมร บนเรือที่มีพระเจดีย์ 3 องค์ก็หมายถึง พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์นั่นเอง



จากวัดฉิมพลีเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับทางเข้าศูนย์เครื่องปั้นดินเผาลาย "พระพุทธเจ้าชนะมาร "1 ล้านไม่ขาย 1 เดียวถวายองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยศิลปินนายทนงชัย มากไอ ชมนิทรรศการเครื่องปั้นดินเผาที่ได้รับรางวัลระดับชาติที่ศิลปากร



ตอนนี้ก็ใกล้หกโมงเย็นแล้วล่ะ แม่กับเตี่ยก็ดูเริ่มล้าแล้วล่ะ พวกเราก็เดินไปเรื่อยๆ ก็จะไปเจอกับจุดที่ลงเรือมาเกาะเกร็ดครั้งแรกล่ะ แต่ระหว่างทางก็แวะซื้อนั่นซื้อนี้กันไปเรื่อยๆ ล่ะ



งานนี้เลยได้ของกลับบ้านกันไปเต็มมือ แต่ของที่เกาะเกร็ดเราว่าราคาไม่แพงนะ เอาเป็นว่าชอบแนวงานฝีมือก็แนะนำให้ลองมาเดินเล่นเกาะเกร็ดกันดูนะคะ จากน้ันพวกเราก็ข้ามเรือกลับล่ะ วันนี้เดินกันเหนื่อยเลยล่ะ ชักเริ่มหิวแล้วล่ะ แถวนี้ก็มีร้านอาหารที่ใกล้ที่สุด ก็น่าจะเป็น "สองฝั่งคลอง" เราเคยมานานแล้วล่ะ ชอบในบรรยากาศและรสชาติอาหาร ราคาก็ไม่แพงมากนัก



จากหน้าโลตัสเอ็กซ์เพรสก็กลับรถ จะเห็นป้ายทางเข้าสองฝั่งคลอง ก็ขับรถตรงไปเรื่อยๆ เข้ามาลึกพอสมควรตรงมาอย่างเดียวเลย พอเห็นป้ายก็เลี้ยวรถเข้าไปได้เลยจากนั้นก็เลี้ยวขวาอีกทีก็จะถึงร้านสองฝั่งคลองล่ะ มาถึงเราก็ลงมือสั่งกันเลย





เริ่มจากปลานึ่งซี้อิ้ว ยำสามแซบ ปลาท่องโก๋ยัดใส้ น้ำพริกปูไข่ ตุ๋นเอ็นเนื้อ และแป๊ะซะปลาซ่อน สั่งกันกระจายเลย



แรกๆ ก็ทานกันอร่อยดีล่ะ แต่พอเวลาผ่านไปชักเริ่มช้าลง จนแม่บอกว่าไม่ไหวล่ะ ขอพักก่อนกันเลยทีเดียว อ่ะนะเห็นเตี่ยกับแม่ทานได้ลูกๆ ก็ดีใจล่ะ เตี่ยกับแม่เค้าชอบมาเที่ยวกับลูกๆ เวลามากรุงเทพฯ ที่ไรก็พาไปนั่นพาไปนี่ ดูเค้าสนุกมีความสุขกันดีล่ะ หลังจากทานข้าวกันอิ่มแล้วก็พาวัยรุ่น (ใหญ่) ไปเดินเที่ยวตลาดรัชดากันต่อ จริงๆ แล้วตอนแรกจะพาไปจตุจักรแต่ดันจำเวลาตลาดกลางคืนผิด พอมาถึงก็ปิดไฟกันมืดเลยล่ะ เลยต้องย้ายไปเดินเที่ยวตลาดรัชดาแทน





ที่นี่มีของขายเพียบเลยล่ะ โดยเฉพาะพวกอะไหล่รถ และรถเก่าหลากหลายรุ่น เหมือนเป็นที่รวมตลาดรถเลยล่ะ งานนี้ดูเหมือนจะถูกใจเตี่ยกว่าแม่ล่ะ เดินกันสักพักวัยรุ่นก็บอกว่ากลับบ้านดีกว่า เมื่อยล่ะ ก็เลยกลับเป็นอันว่าวันนี้เดินกันเกือบค่อนวันเลยล่ะ ..


Create Date : 21 เมษายน 2552
Last Update : 17 สิงหาคม 2556 23:43:15 น. 4 comments
Counter : 3024 Pageviews.  
 
 
 
 
ตลาดรัชดา อยู่ตรงไหนอะ หุหุ
ดีจังจากปากเกร็ดไปโผล่ตลาดรัชดา อิอิ ได้เที่ยงสองเด้งเลย
 
 

โดย: wayoflife วันที่: 21 เมษายน 2552 เวลา:0:46:00 น.  

 
 
 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

ภาพแหล่มเลยเน๊าะ
แล้วก็หลับฝันดีจ้ะ
 
 

โดย: อุ้มสี วันที่: 21 เมษายน 2552 เวลา:1:38:46 น.  

 
 
 
^_^ เพิ่งไปมาไม่นาน
แต่ไปตอนกลางวันค่ะ ร้อนนนนนมากกกกก
เลยเดินไม่ทั่ว เสียดายจัง
แล้วข้างทางก็กำลังซ่อมแซม ไม่ค่อยงามเหมือนของเดิมจากที่เห็นเลยค่ะ
 
 

โดย: Nate (NateUnbreakable ) วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:12:27:47 น.  

 
 
 
อยู่ปากเกร็ด แต่ไม่เคยได้ไปเที่ยววัดต่างๆ อย่างนี้เลย..ได้เที่ยวและได้ความรู้ดีๆ อย่างนี้ มีให้ชมอีกนะคะ ^_^
 
 

โดย: Sri Zasa IP: 110.170.32.133 วันที่: 17 เมษายน 2556 เวลา:14:04:41 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

patthanid
 
Location :
ราชบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




: การท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ
: คืออีกก้าวของประสบการณ์
: ทุกๆ ก้าวที่ก้าวเดิน
: มีจุดหมายที่อยากสัมผัส
: โลกใบกลมๆ ใบนี้

ติดต่อผู้เขียน
Email :: patthanids@hotmail.com
Line :: @atourthai
Facebook :: Patthanid Cheang
Fanpage :: โสดเที่ยวสนุก

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิดโดยนำภาพถ่าย
รูปภาพ, บทความ งานเขียนต่างๆ รวมถึง
ข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมดของข้อความใน Blog แห่งนี้
ไปใช้ทั้งโดยเผยแพร่ไม่ว่าเป็นการส่วนตัว
หรือเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็น
ลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
New Comments
[Add patthanid's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com