20 เมย.เตือนให้รำลึกถึงท่านอ.หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช
20 เมย.เตือนให้รำลึกถึงท่านอ.หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช เตือนใจ เจริญพงษ์ 20 เมษายน เวียนมาอีกครั้ง หวนระลึกถึงท่านอาจารย์หม่อมคึกฤทธ์ ปราโมช ปราชญ์ผู้ทรงอัจฉริยะหาใครเทียบ อีกทั้งเป็นปูชนียบุคคลของไทยและของโลกที่ทรงคุณค่ายิ่ง ........................................................................................................ วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน และทุกปีในอดีต ถนนทุกสายจะมุ่งตรงไปยังบ้านสวนพลู เหตุเพราะท่านเป็น
นักปราชญ์
..นักเขียน
นักการเมือง
ศิลปินแห่งชาติ จะมีนักการเมืองสักกี่คน ที่ได้รับยกย่อง ว่าเป็น เสาหลักประชาธิปไตย สไตล์การทำงานและผลงานของราชนิกูลท่านนี้ มักเป็นปฏิปักษ์ต่อการเผด็จการทุกรูปแบบ คำพูดประโยคหนึ่งที่ประกาศก้องท่ามกลางบรรยากาศ เผด็จการเหล่านั้น
..ก็คือ "กูไม่กลัวมึง" นั่นเอง ....................................................................................................... ท่านเป็นน้องชายแท้ ๆของ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี 4 สมัย สื่อมวลชนจึงนิยมเรียกทั้งคู่ว่า"หม่อมพี่ หม่อมน้อง" ท่านเป็นผู้ก่อตั้งพรรคก้าวหน้า ต่อมาได้ยุบรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ในปีถัดมา ต่อมาก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และก่อตั้งพรรคกิจสังคม เมื่อ พ.ศ. 2517 ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2518 โดยสามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลทั้งที่มีจำนวน ส.ส.ในมือเพียง 18 คน รัฐบาลคึกฤทธิ์ในครั้งนั้นมี นายบุญชู โรจนเสถียร ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกิจสังคมเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบาย "เงินผัน" เป็นที่รู้จักเลื่องลือทั่วไปในสมัยนั้น ................................................................................................................................. ก่อนดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยรับบทเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง ชื่อว่าประเทศ สารขัณฑ์ ในภาพยนตร์เรื่อง TheUgly American (1963) คู่กับมาร์ลอน แบรนโด เมื่อ ปี พ.ศ. 2506 ................................................................................................................................. ระหว่างการเล่นการเมือง หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ มีบุคลิกที่โดดเด่นเป็นตัวของตัวเองที่ทุกคนรู้จักดี คือ..... วาทะศิลป์ ......และบทบาทเป็นที่ชวนให้จดจำ เช่น การผวนพูดเล่นชื่อของตัวเองเมื่อมีผู้ถามว่าหมายถึงอะไร โดยตอบว่า "คึกฤทธิ์ ก็คือ คิดลึก" เป็นต้น .............................................................................................................................. หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ได้รับฉายาจากนักการเมือง และสื่อมวลชนมากมาย เช่น ......... "เฒ่าสารพัดพิษ" ..........."ซือแป๋ซอยสวนพลู" ................................................................................................................................ ภายหลังเมื่อมีอาวุโสสูงวัยจนสามารถแสดงความเห็นทางการเมือง ได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ จึงได้รับฉายาว่า "เสาหลักประชาธิปไตย" ................................................................................................................................ คิดว่าหลายท่านยังจดจำการเปรียบเปรย นโยบายเงินผัน อันโด่งดังของท่าน ที่ว่า
เปรียบไปก็เหมือนกับที่รัฐบาล พยายามเอาน้ำใส่ถังมาตั้งให้ราษฎรที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อให้ราษฎรมาหามมาหิ้วเข้าไปยังหมู่บ้านของตนเอง เป็นเรื่องไม่แปลกที่น้ำจะหกตามรายทางกว่าถึงหมู่บ้านบ้าง แต่ว่าน้ำที่หกนั้นราดรดลงบนผืนแผ่นดินของประเทศนี้ พืชผักก็จะงอกงามเขียวขจี เอาเป็นว่าพวกข้าราชการจำนวนไม่น้อยนั้น คอร์รัปชั่นมาตลอดทั้งชีวิต รัฐบาลของจะให้ราษฎรคอร์รัปชั่นบ้างจะเป็นอะไรไป ................................................................................................................................. ผลงานของท่านชนิดที่ใครหยิบอ่านแล้ว แทบไม่อยากวาง เพราะมีอรรถรสอันเลอเลิศเหลือหลาย ได้แก่ สี่แผ่นดิน ไผ่แดง ซูสีไทเฮา สามก๊กฉบับนายทุน ราโชมอน หลายชีวิต นายทุน กาเหว่าที่บางเพลง เป็นต้น (อยากให้เด็ก เยาวชน รุ่นใหม่ได้อ่านกัน) รวมทั้งงานเขียนคอลัมม์ของท่าน
ซอยสวนพลูหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ....ชาวกรุง ที่ผู้คนยุคนั้นติดตามอ่านกันทุกวัน ถือเป็นการกำหนด agenda ที่สำคัญของการเมืองก็ว่าได้ จนได้รับการเชิดชูเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำ พ.ศ. 2528 ................................................................................................................................. เมื่อครั้งที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เปิดสัมพันธไมตรีทางการทูตกับจีนแผ่นดินใหญ่ โดยท่านได้จับมือกับท่านประธานเหมาผู้ยิ่งใหญ่ และได้รับการต้อนรับจากจีนอย่างสมเกียรติจริงๆ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชป่วยด้วยโรคหัวใจต้องเข้ารับการผ่าตัด ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อพ.ศ. 2530 และเข้ารับการรักษาพยาบาลเรื่อยมาเป็นระยะๆ จนกระทั้งถึงแก่อสัญกรรม ณ โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2538 ................................................................................................................................ ผู้เขียนเป็นแฟนตัวยงที่หลงใหลงานเขียนของท่าน ทั้งหนังสือ บทความ ข้อคิดเห็นต่างๆเสมอมา ดีใจเป็นที่สุดที่ในชีวิตได้มีโอกาสปรึกษาข้อราชการกับท่านที่บ้านสวนพลู และได้สนทนางานอีกครั้งที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ขอคารวะคุณงามความดีของท่านที่ได้อุทิศให้กับชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด ................................................................................................................................. ผศ.ดร.สมหมาย จันทร์เรือง ผู้ช่วยอธิการบดี และคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.สยาม เผยแพร่มติชน 21 เมย.2558 ดังนี้
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นับเป็นปราชญ์ท่านหนึ่ง ที่มีความรอบรู้หลากหลายสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเมืองการปกครองและการศาสนา หากนำแนวคิดทั้งสองด้านนี้มาบูรณาการย่อมเกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยอย่างกว้างขวาง กอปรกับเป็นวันรำลึกถึงท่าน คือวันที่ 20 เมษายน 2558 (วันคล้ายวันเกิด) สมควรนำแนวคิดเหล่านี้มาเสนอหรือกระตุ้นสำนึกทางการเมือง และแนวคิดทางการเมืองทั้งปัจจุบันและในอนาคต
ความเป็นมาของการเมืองแนวพุทธ
พุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากนั้นพุทธศาสนาได้เลือนหายไปทีละสาย แม้ประเทศศรีลังกาที่พุทธศาสนามีรากฐานมั่นคง ในยุคนั้น ก็เสื่อมสลายลง เหลือที่มั่นสุดท้ายในแผ่นดินสุวรรณภูมิอันเป็นผลงานการวางรากฐาน ของพระธรรมทูตต่างประเทศ โดยมีพระโสณะและพระอุตตระเป็นหัวหน้า แต่พุทธศาสนาในแผ่นดินสุวรรณภูมิ ในลาว กัมพูชา หรือเมียนมาร์(พม่า) เริ่มเสื่อมถอยลง เพราะการเมืองของประเทศนั้นๆ และการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่จนพุทธศาสนาเหลือปราการสุดท้ายบนผืนแผ่นดินไทย ที่เป็นที่พึ่งของสังคมและแนวคิดทางการเมืองไทยมาทุกยุคทุกสมัย
เมื่อย้อนไปพุทธศตวรรษที่ 19 สยามได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ เกิดคติที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจักรพรรดิ หรือธรรมราชา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำให้คนทั้งหลายประพฤติตนตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์หรือพระราชา คือผู้ซึ่งทำให้คนทั้งหลายยินดี หรือปกครองให้ราษฎรมีความสุข ดังนั้น จึงต้องทรงถึงพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม ถึงพร้อมในการทำหน้าที่ผู้ปกครองรัฐ ตามหลักสังคหวัตถุ มีหลักการของจักรพรรดิที่เป็นใหญ่เหนือกษัตริย์อื่น และการสร้างสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์ที่ปกครองเมืองขึ้นเมืองออกอย่างชัดเจน ในเรื่องเหล่านี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้อรรถาธิบายและเสนอแนวคิดทางการเมืองการปกครอง ที่น่าสนใจหลายประเด็น
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับแนวคิดทางพุทธศาสนา มีการเขียนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่างๆ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับหลักธรรมที่อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ จึงอาจกล่าวได้ว่าท่านเป็นนักเขียนไทยคนเดียวที่นำหลักธรรมทางพุทธศาสนา มาเขียนเป็นบทความและนวนิยายได้มากกว่านักเขียนคนอื่นๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้ท่านได้เป็นคนแรกที่นำความคิดการสอนวิชาพุทธศาสนาเข้าไปเป็นวิชาที่ นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต้องเรียนก่อนไปเรียนวิชาเฉพาะทางของ แต่ละคณะวิชา ซึ่งในระยะแรกนั้นได้นิมนต์สมเด็จพระญาณสังวรก่อนเป็นพระสังฆราช สอนวิชาพุทธศาสนาคู่กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ภาพรวมแห่งชีวิตของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ถือเป็นพุทธมามกะคนหนึ่ง ที่ได้นำหลักธรรมมาใช้มาปฏิบัติ และมาสอนแก่ผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมแก่กาลเทศะตลอดมา เพราะท่านเชื่อว่าหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอกาลิโก คือ จริงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกาลเวลา
งานเขียนเกี่ยวกับพุทธศาสนาหลายชิ้นได้ให้สติแก่สังคม ให้สติแก่กิจกรรมทางการเมืองและบทบาททางการเมืองของท่าน ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 (พ.ศ.2518-2519) ย่อมมีหลักธรรมทางพุทธศาสนาหรือการบริหารงานแนวพุทธอยู่เป็นอันมาก
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับการเมืองแนวพุทธ
แนวคิดทางการเมืองแนวพุทธของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปรากฏชัดเจนในวรรณกรรม ธรรมแห่งอริยะ ซึ่งได้พิมพ์เป็นตอนๆ ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2513 แล้วจึงพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2537 เนื้อหากล่าวถึงความเจริญและวัฒนธรรมของชนเผ่า อริยะ หรือ อารยะ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ถือชาติกำเนิดในชนเผ่านี้
ในการปกครองของชนเผ่าอริยะ ปกครองด้วยหลักธรรมแห่งพุทธศาสนา ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมากในยุคการปกครองของพระเจ้าอโศก หรือที่ศาสนาพุทธเรียกว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช หลักการปกครองของพระเจ้าอโศก เป็นผลของคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง คำสอนหลักธรรมแห่งการปกครองมี 2 ระบอบ คือ
1.ระบอบสาธารณรัฐ หรือวาหิกคณะ ใช้ อปริหานียธรรม คือ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อม 7 ประการ เป็นหลักธรรมะที่ปรากฏอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร และอรรถกถาสุมังคลวิลาสินี ทีฆานิกายมหาวรรค
หลักธรรมข้อนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มิได้อธิบายขยายความไว้ในวรรณกรรมธรรมแห่งอริยะ
2.ราชาธิปไตย หรือธรรมราชา คือ ธรรมแห่งพระเจ้าแผ่นดิน ได้แก่ ทศพิธราชธรรม 10 ประการ สังคหวัตถุ 4 ประการ และจักรวรรดิวัตร 12 ประการ ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้อรรถาธิบายการปกครองของพระเจ้าอโศกที่ใช้หลักธรรมทั้งสามนี้เป็นส่วนใหญ่
ภูมิหลังและแนวคิดทางการเมือง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีความพร้อมในการเป็นปราชญ์ เพราะมีปัจจัยเอื้อหลายประการ กล่าวคือ ชาติกำเนิดเป็นราชนิกุล มีการศึกษาขั้นสูงจากสถาบันต่างประเทศที่มีชื่อเสียง ในการสร้างผู้นำมีไหวพริบ ฉลาด มีความรู้ด้านหลักธรรมทางพุทธศาสนา มีความสามารถด้านวรรณกรรม เป็นนักหนังสือพิมพ์ และมีประสบการณ์ทางการเมือง ทำให้มีอัตลักษณ์หลากหลายที่ถือเป็นแบบอย่างแก่สังคมไทย จึงขออภิปรายตามกรอบการวิเคราะห์ของ ผศ.ทวี สุขฤทธิกุล สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2547 : 408-416)
(1) ความเป็นพวกกษัตริย์นิยม (royalist) และพวกหัวเก่า (conservatist) แนวคิดทางการเมืองแนวพุทธ คือ ธรรมราชา และการปกครองแบบราชาธิปไตย จากการวิเคราะห์วรรณกรรมธรรมแห่งอริยะ ที่ยกหลักการปกครองของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงสั่งสอนธรรมแห่งการปกครองสองระบอบ คือ อปริหานียธรรม สำหรับ สาธารณรัฐ หรือ วาหิกคณะ และธรรมแห่งพระเจ้าแผ่นดิน คือ ทศพิธราชธรรม 10 สังคหวัตถุ 5 และจักรวรรดิวัตถุ 12 ปรากฏเนื้อหาเป็นธรรมแห่งพระเจ้าแผ่นดินโดยไม่ได้กล่าวถึง สาระของการปกครองระบอบสาธารณรัฐ และยังยกตัวอย่างการปกครองของพระเจ้าอโศก ที่เป็นธรรมราช ซึ่งปกครองในแบบราชาธิปไตย โดยเชื่อมโยงมาถึงการปกครองสมัยอยุธยา ที่รับแบบแผนการปกครองของอินเดียตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาเป็นกฎระเบียบการปกครอง เรียกว่า พระธรรมศาสตร์ แสดงความเป็นพวกกษัตริย์นิยม และพวกหัวเก่าอย่างชัดเจนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
(2) ความเป็นพวกหัวก้าวหน้า หรือเสรีนิยม (progressive or liberalist) มีความคิดเป็นอิสระเสรี เชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ยึดติดรูปแบบเดิม มีนโยบายบริหารที่แปลกใหม่ และมีความกล้าหาญในการตัดสินใจ มีเหตุผล ยืนยันจากการเปิดสัมพันธไมตรี กับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การนำคณะรัฐมนตรีไปเยือนปักกิ่งเป็นครั้งแรกท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง และเสียงคัดค้านจากบางกลุ่ม นับเป็นความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเอง ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
อย่างไรก็ตาม ในวรรณกรรมธรรมแห่งอริยะ ได้กล่าวถึงการใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนา ของพระเจ้าอโศก ซึ่งเปิดสัมพันธไมตรีกับประเทศเอกราชต่างๆ มีการส่งราชทูตไปเจริญ ทางพระราชไมตรีเช่นเดียวกับการดำเนินรัฐประศาสโนบายของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี
(3) ความเป็นพวกปฏิบัตินิยม (pragmatistic) มุ่งผลสำเร็จมากกว่าการยึดติดกรอบหรืออุดมการณ์ใดๆ ได้แก่ การกำหนดคำขวัญของพรรคกิจสังคมในสมัยที่เป็นรัฐบาลว่า เราทำได้ เน้นผลงานตามคำแถลงนโยบาย ทำให้เกิดผลที่ประจักษ์หลายโครงการ ได้แก่ เงินผันประกันราคาพืชผล สภาตำบล กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเป็นนโยบายและโครงการที่รัฐบาลต่อไปนำไปเป็นตัวอย่างจนกลายเป็นนโยบายประชานิยมในปัจจุบัน
(4) ความเป็นพวกประชาธิปไตย (democratist) เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นราชนิกุล หรือชนชั้นสูงทางสังคม แต่เข้าใจความเป็นอยู่ของคนระดับล่าง ไม่เลือกชนชั้น สามารถประสานความต้องการ ของกลุ่มต่างๆ ที่หลากหลายจากการเป็นรัฐบาลผสม และรับฟังเสียงข้างน้อย ใช้การประนีประนอมที่เน้นประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักการในประเทศ
จุดเด่นที่สำคัญ คือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสอดคล้อง กับความเป็นกษัตริย์นิยมของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ทำให้การปกครองของไทย ในสมัยต่อมาเป็นประชาธิปไตยที่มีค่านิยมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ตราบถึงปัจจุบัน
(5) ความเป็นพวกสังคมนิยม (socialist) มุ่งกระจายความเสมอภาคในทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาและเกษตรกรนี้เป็นประชากรส่วนใหญ่ โดยถืออุดมการณ์ว่า ทุกข์ของชาวนา คือ ทุกข์ของแผ่นดิน ถ้าจะให้ประเทศไทยก้าวสู่การพัฒนาต้องแก้ไขปัญหาของชาวนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น นโยบายสำคัญ คือ เงินผันจึงเป็นจุดเด่นของรัฐบาลพรรคกิจสังคม และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช รวมถึงการประกันราคาพืชผลการเกษตร การจัดตั้งสภาตำบล ซึ่งต่อมามีบทบาทอย่างมากสำหรับการปกครองท้องถิ่น อันเป็นการกระจายความเสมอภาคทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม และเป็นตัวอย่างของการบริหารประเทศในรัฐบาลชุดต่อมา
(6) ความเป็นพวกอำนาจนิยม (authoritarianism) เนื่องจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง จึงมีความเด็ดขาดจนถูกมองว่าเป็นคนอารมณ์ร้าย และถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ (Autocracy) แต่มีหลักธรรมทางพุทธศาสนาในการดำเนินชีวิต รู้จักระงับอารมณ์ใช้สติ ความมีเหตุผล และมีอารมณ์ขัน ทำให้ภาพลักษณ์ที่สาธารณชนพบเห็นยอมรับได้ เมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นปราชญ์และความศรัทธาจากสังคม
(7) ความเป็นพุทธหรือพุทธนิยม (Buddhism) มีความรอบรู้เข้าใจหลักธรรมทางพุทธศาสนาในลักษณะของโลกียธรรมอย่างดี ถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เมื่อเข้าสู่การเมืองและมีบทบาทบริหารประเทศ จึงเกิดแนวคิดทางการเมืองแนวพุทธ ทั้งในวรรณกรรมการนำใช้ชีวิตประจำวัน และการเป็นนายกรัฐมนตรี
อนึ่ง ความเป็นพุทธนิยมของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังแสดงออกถึงแนวคิดการปกป้องพุทธศาสนาจากข้อเขียน และการวิจารณ์ในบทความของหนังสือพิมพ์สยามรัฐถึงความเชื่อที่งมงาย ความเชื่อไสยศาสตร์ และการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของภิกษุสามเณร ตลอดจนแสดงความเห็นโต้ตอบพระภิกษุที่มีบทบาทเป็นที่นิยมรับของพุทธศาสนิกชน เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นต้น
ธรรมราชากับราชาธิปไตย
ดังได้กล่าวมาแล้วถึงแนวคิดทางการเมืองของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เป็นกษัตริย์นิยม (royalism) และพุทธนิยม (Buddhism) ซึ่งตรงกับคุณลักษณะของ ธรรมราชา คือ พระราชา หรือพระมหากษัตริย์ที่ทรงใช้หลักธรรมในการปกครองอาณาประชาราษฎร์ อันเป็นผู้นำการปกครองประเทศไทยมาแต่โบราณ
ด้านอำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เมื่ออดีตเป็นพระราชอำนาจของพ่อขุน (สมัยสุโขทัย) พระราชา (สมัยอยุธยา) และพระมหากษัตริย์ (สมัยรัตนโกสินทร์) ซึ่งมีพระราชอำนาจสิทธิขาดแต่เพียงพระองค์เดียว เรียกว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองลักษณะนี้คือ การปกครองแบบ ราชาธิปไตย ที่คนไทยยอมรับมาเป็นเวลานาน จนเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของไทย ยังผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือพระราชาอยู่ในฐานะที่ควรเทิดทูน ผู้ใดจะละเมิดมิได้ แม้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรทุกฉบับเน้นชัดเจนถึงการปกครองประเทศไทย คือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ความโดดเด่นของธรรมราชากับราชาธิปไตยยังคงอยู่ในระบบการเมืองการปกครองปัจจุบัน มีปัจจัยสำคัญจากวัฒนธรรมการปกครองของไทย ความมีพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยที่คนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่า เป็นผู้มีบุญบารมีเหนือคนทั่วไปทั้งปวง เช่นเดียวกับราชานักปราชญ์ (Philosopher King) ตามแนวคิดทางการเมืองของเพลโต้ (Plato)
ดังนั้นไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเป็นอย่างไร พรรคการเมืองใดเป็นรัฐบาล มีการยึดอำนาจเป็นเผด็จการ หรือเกิดวิกฤตทางการเมืองในกรณีใดๆ พระมหากษัตริย์ หรือพระราชาจะเข้ามามีส่วนได้รับการกล่าวถึงหรืออ้างอิงเสมอ
กล่าวโดยสรุป
แนวคิดทางการเมืองแนวพุทธของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือการปกครองที่ใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาในการปกครอง ได้แก่ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และจักรวรรดิวัตร ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการเมืองการปกครองและการบริหารของไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทศพิธราชธรรม ได้นำมาประยุกต์กับการบริหารองค์การภาครัฐ และภาคเอกชนอย่างกว้างขวาง
สำหรับการปกครองของประเทศไทยด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสอดคล้องกับหลักธรรมราชาหรือราชาธิปไตย ที่ผู้นำการปกครองต้องกอปรด้วยคุณธรรมจริยธรรมตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา โดยความซื่อสัตย์สุจริตและความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติที่สังคมไทยต้องการมากที่สุด
นอกจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้นำเสนอแนวคิดทางการเมืองแนวพุทธผ่านทางนวนิยาย และบทความในหนังสือพิมพ์แล้ว ยังได้แสดงบทบาทดำรงตน และดำรงความเป็นผู้นำทางการเมืองตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา อันถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักการเมืองและการบริหารบ้านเมืองไทยใ นทุกยุคทุกสมัย/จบ
ขอขอบคุณมติชน และผศ.ดร.สมหมาย จันทร์เรืองผู้ช่วยอธิการบดี และคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.สยาม
......................................................................................................................................
Create Date : 20 เมษายน 2558 |
Last Update : 19 กันยายน 2558 5:55:48 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1335 Pageviews. |
|
|
|