กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
21 กรกฏาคม 2552

นางไม้ ตอนที่ 4 (จบ) มหาชน คนบ้า และ ต้นตะเคียนยักษ์

แล้ววันนี้ก็มาถึง เป็นเช้าที่อบอ้าว เมฆสีเทาอิ่มฝนลอยอยู่บนฟ้า ต้นตะเคียนยักษ์ถูกผูกล้อมด้วยผ้าแพรสีสันสดสวย ลานตะเคียนมีคนพลุกพล่าน มีการตั้งโต๊ะพิธีเพื่อขอขมาลาโทษกับผีนางตะเคียน และบอกกล่าวเพื่อขออนุญาตตัดโค่น ไม่รู้ว่าใครไปเชิญคนทรงมาจากไหน เป็นชายแก่ที่สามารถประทับทรงดวงวิญญาณของนางตะเคียนได้ เมื่อนางตะเคียนเข้าประทับทรงฟ้าก็ร้องคำรามเปรี้ยงป้าง เสียงฟ้าเงียบลง ชายชราร่างทรงก็พูดออกมาเป็นเสียงหญิงแก่เอ็ดตะโรเกี้ยวกราด ขึ้นมึงกู บอกว่าจะไม่ให้ใครเข้ามาทำลายบ้านของกู และแช่งชักหักกระดูกคนที่จะเข้ามาตัดฟัน บางคนกลัวจนต้องถอยห่างออกมาจากพิธี เด็กเล็กบางคนร้องไห้ด้วยตกใจในเสียงอันดังของหญิงแก่ที่มาจากปากชายชราหรือในเสียงฟ้าร้องก็ไม่ทราบได้ แต่หลายคนยังอยู่ใกล้โดยหวังว่าคราวนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่ได้เลขเด็ดจากนางตะเคียน

ชายกล้าหาญคนหนึ่งไม่ใช่คนในหมู่บ้าน ขยับตัวออกไปยังเบื้องหน้าคนทรงพนมมือขึ้นพูดกับแม่ย่าตะเคียนในเรื่องเดียวกับที่ท่านสมภารกล่าวไว้กับอ้น แม่ย่าตะเคียนโกรธขึ้งและกล่าวด่าไปทั่วแช่งว่าถ้าพวกมึงตัดต้นตะเคียนอันเป็นบ้านของกูพวกมึงจะไม่มีวันเจริญผีห่าจะมาลงหมู่บ้านใน 5 วัน 7 วัน ฟ้าคำรามรับครืนๆ กึกก้อง

ชายผู้กล้าเจรจาต่อลองด้วยวาทศิลป์และท่าทางอันนิ่งสงบ กล่าวว่าต้นตะเคียนบ้านของแม่ย่าไม่ได้ถูกทำลาย ชาวบ้านทุกคนแค่พร้อมใจจะนำมาสร้างเป็นบ้านหลังใหม่ให้ จะนำไม้มาสร้างเป็นเรือยาว ที่ทั้งยาวทั้งใหญ่ถึงสี่ลำและให้ดวงวิญญาณของแม่มาสถิตย์เป็นมิ่งเป็นศรีเป็นย่านางของเรือ จะเลือกเอาเรือลำไหนก็ได้ หรือจะอยู่ทั้งสี่ลำก็ได้ โดยชาวบ้านจะบูชากราบไหว้และบรวงสรวงกันทุกปี มีของหวานของคาวไม่ขาด ชายผู้กล้าเชื้อเชิญให้แม่ย่าตะเคียนกินหมูเห็ดเป็ดไก่ที่วางไว้ที่โต๊ะบรวงสรวง

แม่ย่าตะเคียนในร่างชายชราออกท่าออกทางลังเลใจก่อนลุกขึ้นเดินไปหยิบของบรวงสรวงมากินอย่างมูมมาม ทุกครั้งที่แม่ย่ากัดกร่วมฟ้าก็ร้องคำรามรับครืนๆ แม่ย่ามีท่าพอใจในรสอาหาร ดูท่าทางการกินช่างเอร็ดอร่อย ท่าทีโกรธเกรี้ยวก้าวร้าวหายไป และยิ้มอย่างใจดี บอกยอมรับข้อเสนอของชายแปลกถิ่น อนุญาตให้ตัดต้นไม้ได้ แต่นางตะเคียนเฒ่าบอกว่าต้องสร้างเรือหนึ่งลำเป็นพิเศษที่ต้องเป็นเรือยาวที่ยาวที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาแต่หนไหน นางจะไปสถิตย์เป็นย่านางที่เรือนั่นและทุกปีต้องมีพิธีเซ่นสังเวยอย่าได้ขาด ส่วนไม้ที่เหลือให้มาสร้างเรือยาวอีกสามลำเอาไว้แข่งในงานประเพณี และถ้ายังเหลือไม้อีกนางตะเคียนเฒ่ายินดีที่จะถวายวัดไว้เอาบุญ กล่าวถึงตรงนี้นางก็สั่งก็สอนให้ชาวบ้านทุกคนหมั่นทำความดีขยันทำการงาน แม่บ้านบางคนที่รอโอกาสมานานตะโกนถามแม่ย่าออกไปตรงๆ ว่างวดนี้เลขเด็ดอะไร แม่ย่าทำท่าหงุดหงิดพร้อมสั่งสอนว่าถ้าพวกมึงเล่นการพนันจะเล่นครั้งเดียวหรือจะเล่นสี่ห้าร้อยครั้งก็ขอให้พวกมึงสูญเปล่าแล้วหัวเราะเสียงดัง ห้า ห้า ห้า พูดจบชายชราก็ล้มลงสิ้นสติไปฟ้าคำรามกึกก้อง ชาวบ้านฮือฮาต่างพากันตีความปริศนาธรรมที่แม่ย่าตะเคียนทิ้งไว้ คนในพิธีที่อยู่ใกล้วิ่งเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลชายชรา อ้นมองละครฉากนี้อย่างนึกขันแต่ก็ไม่กล้าลุกออกขัดความเชื่อของมหาชน

ตอนบ่ายรอบต้นตะเคียนถูกรุมล้อมไปด้วยพวกคลั่งตัวเลข โคนต้นขาวโพลนไปด้วยฝุ่นผงแป้งหอมที่นำมาโรยเพื่อถูหาเลขเด็ด ใกล้ๆ กันกลุ่มชายฉกรรจ์ลำเลียงเลื่อยยนต์ปื้นใหญ่ และมีด ขวานหลายขนาด

ผู้ใหญ่บ้านประธานกรรมการผู้ดูแลเรื่องการตัดโค่นตะเคียนยักษ์ออกประกาศว่าใกล้ได้ฤกษ์ตัดต้นไม้แล้วขอให้ผู้ที่ศรัทธาถอยห่างออกมา แต่ชาวบ้านตอนนี้เหมือนฝูงวัวดื้อด้านที่ไม่ฟังความ กลุ่มชายฉกรรจ์ต้องเข้าไปต้อนผลักคนเหล่านั้นแล้วบอกให้ไปถามเลขเด็ดจากคนที่ได้เลขไปแล้ว กลุ่มชาวบ้านต่างไม่พอใจและโวยวายว่าใครเขาจะยอมบอกเลขเด็ดกันเล่า และไม่ยอมถอยออก เดือดร้อนท่านสมภารต้องออกมาประกาศย้ำว่า แม่ย่าได้บอกพวกมึงแล้วไม่ใช่หรือว่าจะเล่นการพนันซักสี่ห้าร้อยครั้งพวกมึงนั้นสูญเปล่า ย้ำๆ จนชาวบ้านเข้าใจในปริศนาธรรมตีความได้จึงสงบลงและถอยห่างออกมาด้วยรอยยิ้ม

ธูปเทียนบูชาถูกจุดขึ้นอีกครั้งเพื่อทำพิธีอัญเชิญแม่ย่าตะเคียนให้ไปสถิตย์ที่ศาลเพียงตาที่เปรียบดังบ้านพักหลังชั่วคราวก่อนที่เรือยาวอันเป็นบ้านหลังใหม่จะต่อเสร็จ มีของคาวของหวานรวมถึงเลื่อยขวานวางเรียงที่โคนต้น เมื่อธูปใกล้มอดหมด ผ้าแพรที่ผูกไว้โคนต้นถูกแก้ออก กลุ่มชายฉกรรจ์เดินเข้าหยิบเลื่อยหยิบขวาน แล้วทันใดนั้นเอง ไอ้ป๋องก็วิ่งออกมา เข้าคว้าแย่งเลื่อยยนต์โดยที่มือเลื่อยไม่ทันตั้งตัว มันวิ่งไปริมน้ำโยนเลื่อยทิ้งลงในลำคลอง แล้วแอบหลบไปหลังต้นตะเคียนด้านริมฝั่งน้ำชูมีดพกในมือขึ้นขู่ผู้คน ฝูงชนที่ดูพิธีอยู่ต่างตกใจร้องโวยวายว่าจับมันไว้ จับมันไว้ ลมพัดกรรโชกแรงจนกิ่งตะเคียนที่สูงขึ้นไปแกว่งไหวไปมา

ชายหนุ่มหลายคนวิ่งออกันออกไป บางคนกระโจนลงน้ำลงไปช่วยงมเลื่อย บางคนตรงเข้าหาไอ้ป๋องซึ่งตอนนี้หลบไปนั่งคุดอยู่ด้านหลังพูพอนต้นตะเคียน ชายคนหนึ่งคว้าไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือ ตะโกนไล่ เข้าต้อนและเงื้อไม้ขึ้นจะฝาดไอ้ป๋อง พร้อมกันนั้นเองตามีก็รีบวิ่งเข้าไปเอามีดหวดหญ้าในมือฟันแขนของชายที่ถือไม้จนเลือดสาดแผลแหวอะหวะโอดครวญล้มลง ตามีทำท่าหน้าตาถมึงทึง พร้อมตะโกนออกมาว่า “พวกมึงถอยกันออกไปให้หมด” ชายที่วิ่งออเข้ามาเมื่อครู่ต่างกลัวต้องถอยห่าง หลายคนฮือฮาเมื่อได้ยินเสียงพูดของตามีบ้าใบ้ เพราะไม่มีใครคิดว่าตามีพูดได้ ตามียังตะโกนต่อว่าถ้าใครกล้าเข้ามาตัดต้นไม้กูจะฆ่ามันผู้นั้นทิ้ง ผู้คนกลัวในท่าทางบ้าเอาจริงของตามี แม้ตามีจะแก่แต่ร่างกายมันยังดูกำยำแข็งแรงว่องไว ชายหนุ่มที่ถูกฟันแขนค่อยๆ คลานหนีออกมา ครรชิตวิ่งออกมาจากฝูงชนตรงเข้าแตะซ้ำจนกลิ้ง ชายแขนเหวอะต้องรีบคลานสามขาลากแขนออกมาจนพ้นระยะ จากนั้นครรชิตตรงเข้าโอบกอดต้นตะเคียนร้องไห้โวยวายไม่เป็นความ แต่ชาวบ้านคงพอจะเดาว่ามันคงไม่ให้ใครเข้ามาตัดต้นตะเคียน

อ้นมองดูและอดสงสารเหล่าคนบ้าไม่ได้ ใจมันเองก็รักและผูกพันกับไม้ใหญ่นี้ แต่การจากไปของลูกเมียที่รักยิ่งสอนมันให้รู้ว่าไม่ควรจะยึดติดสิ่งใดในชีวิต จะมีสิ่งใดเล่าที่ดูจริงจังเท่ากับความยึดติดของมนุษย์ ดูแม้แต่คนบ้าเหล่านี้สิยังต้องยึดติดกับต้นตะเคียน ท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่มันเดินเข้าใกล้เหล่าคนบ้าหมายเพื่อที่จะปลอบประโลมให้ใจเย็นลง

“มาซิไอ้หนุ่มมาช่วยกันปกป้อง บ้านเรากันเถิด” ตามีประกาศต่อหน้าอ้น อ้นยิ้มพยักหน้าเดินเข้าไปหา แต่ไม่วายมันก้มลงหยิบขวานขนาดพอดีมือที่วางทิ้งไว้ที่พื้นเพื่อไว้ป้องกันตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาตามีและพวกคนบ้าหนีหายไป กลายเป็นว่าบัดนี้อ้นกำลังเผชิญหน้าอยู่กับฝูงชน

อ้นมองไปที่กิ่งตะเคียนเหนือน้ำ นางนั่งอยู่ที่นั่นน้ำตาไหลพราก นี่เป็นครั้งแรกที่อ้นได้เห็นนางนั่งอยู่บนกิ่งตะเคียนตอนกลางวันแสกๆ

“อ้นรักฉันไหม” นางถาม อ้นพยักหน้า
“อ้นรักบ้านหลังนี้ไหม” อ้นพยักหน้า มันช่างเป็นบ้านที่ร่มเย็นสุขสบาย
“ถ้ามีใครจะมาฆ่าฉัน หรือมาทำลายบ้านของเรา อ้นต้องช่วยปกป้องนะ” นางกล่าวน้ำตาคลอ อ้นขยับกายหันหน้าสู่ฝูงชน ฟ้าครึ้มฝนดำมืดคำรามผ่าเปรี้ยงป้าง ละอองฝนโปรยปรายลงจากฟ้า อาสาสมัครป้องกันภัยหมู่บ้านเข้ามายืนหน้าฝูงชนพร้อมปืนลูกซองยาวในมือ ท่านเจ้าอาวาสและผู้ใหญ่บ้านช่วยกันพูดทั้งขู่ทั้งปลอบเหล่าคนบ้าให้วางอาวุธ ผู้ใหญ่บ้านขู่ว่าถ้ายังไม่เลิกก่อปัญหาจะยิงทิ้งให้หมด พวกอาสาบรรจุลูกปืนเตรียมพร้อมรอคำสั่ง

“อย่าไปสู้กับเขาเลยเข้ามาในบ้านเถอะ” เสียงนางแว่วมา เรือนไม้หลังนั้นปรากฏขึ้นแทนที่ต้นตะเคียน อ้นหันหน้าไปทางผู้คนยกขวานขึ้นขู่ ก่อนจะหันเดินขึ้นบ้าน มันไม่ใส่ใจเสียงโวยวายของชาวบ้าน เสียงประกาศของผู้ใหญ่ หรือคำอ้อนวอนของท่านสมภาร เมื่อขึ้นบ้านมันเข้าตระกองกอดปลอบนางที่กำลังร่ำไห้ และกล่าวว่าจะอยู่ปกป้องนางและเรือนหลังนี้ อ้นบรรจงจูบซับน้ำตานางจนแห้งสนิท นางยิ้มออกมาได้ หอมแก้มและคว้ามืออ้นไปวางแนบที่น่าอกนาง มองอ้นด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ภายนอกเรือนหมอกลงหนาหนัก อ้นบรรจงกอดและหอมแก้มนางจากนั้นเพลงรักอันเศร้าสร้อยก็เริ่มขึ้น ก่อนที่จะเปลี่ยนท่วงทำนองกลายเป็นเร่าร้อนและดุดันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนอ้นหมดแรงหลับไป

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

พวกคนบ้าพากันปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างไร้สติ บางคนแปลกใจในความแข็งแรงของคนเหล่านี้ที่สามารถปีนต้นไม้ใหญ่คล่องแคล่วด้วยมือเปล่า ยิ่งตามีกับอ้นมีมีดและขวานขนาดใหญ่ในมือแต่ยังคงปีนขึ้นไปได้เรื่อยๆ สูงขึ้นๆ สายฝนตกไม่หนาเม็ด แต่ลมพัดแรง และฟ้าคำรามไม่หยุด

ผู้ใหญ่บ้าน คนทรง กลุ่มอาสา ชายฉกรรจ์ และ คนตัดไม้ หารือกันว่าถ้าตัดไม้โค่นลง คนบ้าทั้งสี่ก็จะต้องพลัดตกลงมาได้รับอันตรายไปด้วย คนตัดไม้บอกว่าไม้ใหญ่ขนาดนี้กว่าจะตัดให้ล้มได้ต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เมื่อลงมือตัดไปพวกนั้นคงจะกลัวไม้ล้มมันคงจะปีนลงมาเอง บางคนบอกว่าจะไปเอาอะไรกับคนบ้ามันตายไปก็ดีไม่หนักโลก ไม่มาก่อปัญหาอีก

ผู้ใหญ่บ้านออกประกาศให้ผู้คนถอยห่างออกมาเนื่องจากจะได้ฤกษ์ตัดต้นไม้แล้ว และแม้ไม่มีเลื่อยยนต์แต่ก็ยังมีขวาน ผู้ใหญ่สั่งให้มือขวานลงมือเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย มือขวานขยับเดินเข้าไปที่โคนต้นตะเคียน คนที่ห่างออกมามองแหงนหน้าตั้งบ่าขึ้นไปบนต้นตะเคียน ผ่านพุ่มใบ ตามีบ้าตอนนี้ปีนไปถึงกลางต้นแล้ว อ้นและคนอื่นตามไปติดๆ ชาวบ้านบางคนเอาใจช่วยอยากรู้ว่าคนพวกนี้จะปีนกันไปได้สูงขนาดไหน และใครจะไปได้สูงและเร็วกว่ากัน เสียงต่อรองท้าพนันดังมาไม่ขาด

และแล้วตามีก็ปีนขึ้นไปสูงสุดเท่าที่กิ่งไม้เล็กที่สุดจะรับน้ำหนักมันได้ มันหวดมีดดายหญ้าเต็มแรงจนใบมีดโลหะฝังเข้าไปติดแน่นในเนื้อไม้ จากนั้นมันก็นั่งทอดอารมณ์ยิ้มหวานอยู่บนกิ่งตะเคียน มือไม้แข้งขาถลอกเลือดซึม

อ้นปืนตามขึ้นไปไม่สูงเท่าตามี มันหมดแรงแล้วแต่มันก็หวดขวานเต็มแรงติดแน่นกับต้นตะเคียนแล้วนั่งพักหอบห้อยเท้าบนกิ่งไม้ ครรชิตปีนสูงกว่าคนทั้งสองแล้วปลดเข็มขัดมามัดตัวเองเข้าไว้กับต้นตะเคียน

พวกคนตัดไม้เป็นกังวลในพวกคนบ้าบนต้นไม้จึงลังเลไม่ยอมลงมือ คนทรงและผู้ใหญ่บ้านเดินเข้าไปหามือขวานพูดคุยกันพักใหญ่และเดินถอยห่าง มือขวานคนหนึ่งเริ่มจรดจ้องทำท่าจะเงื้อขวานขึ้นฟัน ลมพัดแรงหน้ากลัว ฟ้าร้องคำรามก้องซ้ำๆ ฟ้าเริ่มผ่าลงด้านนี้บ้างด้านโน้นบ้าง

ไอ้ป๋องปีนแซงทุกคนสูงขึ้นไป ด้วยตัวมันที่เล็กกว่าคนอื่นจึงปีนได้สูงกว่าด้วย กิ่งไม้ด้านบนไหวไกวมาตามแรงลม แต่มันยังปีนขึ้นไปไม่หยุด ปีนจนอยู่สูงเท่ากับทรงพุ่มตะเคียนด้านบน

มือขวานรวบรวมความกล้าเงื้อขวานขึ้นแล้วหวดลงเต็มแรงเกิดแสงสว่างจ้าและเสียงกึกก้องกัมปนาท มือขวานสิ้นสติอยู่ที่โคนต้นตะเคียน นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่ป๋องขยับกายจนอยู่เหนือยอดไม้และชูมีดพกที่มันเหน็บมาด้วยขึ้นเหนือฟ้าแล้วสายฟ้าก็ฟาดลงมา ป๋องสิ้นใจทันที ร่างไร้วิญญาณยังกำมีดแน่นติดค้างบนยอดไม้ ส่วนที่โคนต้นตะเคียน เพื่อนคนตัดไม้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อตั้งสติได้ก็ลากร่างของมือขวานออกมา จากนั้นฟ้าก็ผ่าซ้ำลงมาอีก

อาจเป็นเพราะมีด ขวานและหัวเข็มขัดโลหะที่อยู่บนยอดตะเคียนทำหน้าที่เหมือนสายล่อฟ้า สายฟ้าจึงฟาดกระหน่ำซ้ำไม่หยุด ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ต้นตะเคียน ฝนฟ้าเทลงมาไม่ลืมหูลืมตา ผู้คนพากันกลัวหนีไปหลบฝนหลบฟ้าที่โบสถ์ เหลือเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าดูห่างๆ

ลมพัดแรงพายอดตะเคียนแกว่งไกวไปมา ร่างของอ้นตกลงมาจากต้นตะเคียน สภาพแหลกเหลวเสื้อผ้าผิวกายไหม้เกรียม ฟ้ายังคงผ่าซ้ำๆ เปลือกต้นตะเคียนเกิดรอยไหม้ผ่าแตกเป็นทางยาวจากสายฟ้า สักพักตามีก็ตกตามลงมาในสภาพไม่ต่างกับอ้น ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูศพทั้งคู่ เนื่องจากฟ้ายังผ่าไม่หยุด พอสบจังหวะที่ฟ้าเบาลงผู้คนก็พากันหนีหายกลับบ้าน

แล้วฝนตกหนักกระหน่ำซ้ำด้วยสายฟ้าฟาดไม่หยุดยั้ง ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน บางคนเริ่มกล่าวว่านี่คงเป็นอาเพศที่เกิดเพราะคิดจะไปตัดต้นตะเคียน

ต้นตะเคียนถูกฟ้าผ่าซ้ำๆ ฟ้าคำรามกึกก้องทั้งคืน มืดค่ำลานตะเคียนเกิดแสงสว่างเจิดจ้าดังกลางวัน ชาวบ้านทั้งใกล้ไกลต่างกลัวจนข่มตานอนไม่หลับ แสงจากต้นตะเคียนไหม้ไฟสว่างเห็นไปไกลถึงตำบลอื่น ฟ้าผ่าลงซ้ำไม่หยุด ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูที่ลานตะเคียน ฝนฟ้าไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ จวบจนเช้าวันรุ่งขึ้นเม็ดฝนจึงเริ่มบางตาลง

ยามสายเมฆสลายตัว ดวงอาทิตย์อวดแสงอบอุ่น ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส ชาวบ้านทั้งใกล้ไกลพากันเดินทางมาที่ลานตะเคียน บางคนยังถือกระป๋องแป้งติดมือมาด้วย แต่ภาพที่เห็นทำให้หลายคนน้ำตาซึม ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนถึงกับสะอื้นร้องไห้โฮ

วันนี้ริมฝั่งโค้งน้ำที่ตะเคียนยักษ์เคยยืนตระหง่านไม่มีต้นตะเคียน ไม่มีพวกคนบ้า มีแต่เถ้าถ่านกองมหึมากรุ่นควันไฟ นับต่อแต่นี้ที่นี่คงจะเหลือเพียงแต่ชื่อลานตะเคียน ไม่มีอะไรเหลือให้ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว

-จบบริบูรณ์-

ไปตอนที่ 1 / 2 / 3 / 4


Create Date : 21 กรกฎาคม 2552
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2553 13:17:31 น. 3 comments
Counter : 808 Pageviews.  

 
ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านเรื่องตะเคียนจนจบ อ่านสองตอนแรกก็ยังรู้สึกไม่ค่อยรื่นเท่าไหร่ แต่พออ่านไปเรื่อยๆก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ โดยเฉพาะตอนจบ ตื่นเต้นดี พี่ไบท์นี่มีจินตนาการเหมาะกับเป็นศิลปินเลย ถ้ามีโอกาสน่าจะลองส่งผลงานเข้าประกวดบ้างนะคะ

P.S. ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ


โดย: ไผ่ IP: 98.206.144.41 วันที่: 3 สิงหาคม 2552 เวลา:4:44:42 น.  

 
อ่านจบตอนที่สี่ ตอนสุดท้าย

รู้สึกได้ถึงการเล่าเรื่อง จินตนาการณ์

การลำดับความคิดของคุณไบท์

เป็นไปได้ดี มีการพัฒนาอย่างรู้สึกได้ค่ะ

ตอนจบ อืม ธรรมชาติลงโทษมนุษย์

ความโลภโมโทสัน และความคิดตื้นเขิน
ของมนุษย์นะคะ

เขียนได้ดีเชียวค่ะ อ่านได้เรื่อย ๆ


โดย: fleuri วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:5:22:24 น.  

 
คุณเหมี่ยว ขอบคุณมากๆ ครับผม


โดย: bite25 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:10:40:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

bite25
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




New Comments
[Add bite25's blog to your web]

MY VIP Friend