Heifetz As I Knew Him (5) : ความเป็น celeb ของ Heifetz
บทที่ 8


แม้ว่า Heifetz จะมีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย แต่เขากลับมองความโด่งดังนั้นว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ

เขาก็เหมือน celeb ทั่วไป ที่หวงความเป็นส่วนตัวและชอบปลอมตัว


เวลาที่เขาต้องเดินทางขึ้นเครื่องบิน เขาชอบใช้ชื่อ Jim Hoyl ซึ่งเมื่อแอร์โฮสเตส หรือใครก็ตามบังเอิญจำเขาได้ เขาก็จะเอาตั๋วยื่นให้ดู แล้วยืนยันว่าเขาชื่อนี้จริงๆไม่ใช่ Heifetz

มีครั้งหนึ่งระหว่างที่เราเดินทางด้วยกัน และได้พบกับ John Hubbard โดยบังเอิญ เขาผู้นี้เป็นอธิการบดี ของ University of Southern California และนั่งอยู่ข้างหลังพวกเรา

เขาจำ Heifetz ได้ และทักทาย ถึง 2 ครั้ง แต่ Heifetz กลับไม่สนใจ เขาจึงหันมาถามฉันแทนด้วยความสงสัยว่า คนข้างๆนั่นใช่ Heifetz หรือเปล่า ฉันไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้ม ท่านอธิการดีงุนงงมาก แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อไปและกลับไปนั่งพิงพนักตามเดิม


หลังจากนั้นซักพัก Heifetz กลับมากระซิบถามฉันว่า คนข้างหลังนั่นใครอ่ะ

ฉันจึงตอบเขาไปว่า ก็หัวหน้าใหญ่ของ USC ไง คุณเองก็เคยเจอะกันตั้งหลายครั้งแล้ว


เขานิ่งไปซักพัก แล้วก็ลุกไปห้องน้ำ จากนั่นตอนที่เดินกลับมาที่เก้าอี้ ก็แวะทักทาย คุยกับท่านอธิการเล็กน้อย ทั้งคู่ไม่พูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเลย




Heifetz เกลียดแขกผู้มาเยือนโดยมิได้นัดหมายมากที่สุด ดังนั้นใครที่มาหาเขาโดยไม่ได้นัดไว้ก่อนมักจะไม่ได้รับการต้อนรับเสมอ


มีครั้งหนึ่ง นักดนตรีกลุ่มหนึ่งมาหาเขาที่บ้าน โดยไม่ได้นัดไว้ก่อน ซึ่งอันที่จริงแล้ว ตามปกติ Heifetz คงต้อนรับพวกเขาแน่ๆ หากมีการเตรียมการไว้ แต่ในกรณีนี้ Heifetz กลับปฏิเสธในทันควันเมื่อเห็นพวกเขา และตอบว่า Heifetz เข้าไปในเมือง ส่วนตัวเขาเป้นน้องชายของ Heifetz
(แต่ทุกท่านทราบกันดีใช่ไหมคะ ว่า็ Heifetz ไม่มีน้องชาย )


และไม่เพียงแต่การมาเยือนโดยมิได้นัดหมายเท่านั้นที่เขาไม่ชอบ แม้แต่การโทรศัพท์ไปหาเขา บางครั้งก็เจอะอะไรประหลาดๆเหมือนกัน


เคยมี นร ที่เรียนจบไปแล้วและไม่ได้เจอะ Heifetz มานาน โทรไปหาเขาที่บ้าน แต่เมื่อ Heifetz รับสาย เขากลับดัดเสียงสูงๆ แล้วบอกว่า นี่ไม่ใช่ Heifetz แต่เป็นแม่บ้าน เจ้าตัวเขาไม่อยู่ จะฝากข้อความอะไรไว้ไหม?

นอกจากนี้บางครั้ง เขายังแกล้งทำเป็นพูดภาษาเอเชียประหลาดๆ จนคนที่โทรไปจำต้องถอดใจยอมวางหูไปอีกด้วย


ซึ่งแน่นอน ใครๆก็รู้อยู่แล้วว่าเขารับสาย แต่ว่าในเมื่อเขาไม่ต้องการจะคุยกับใคร แล้วรับโทรศัพท์ทำไมหล่ะ


แต่อันที่จริงจะโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะมีหลายกรณีที่บุคคลที่มีชื่อเสียง ได้รับอันตรายจากความคลั่งไคล้ของบรรดาแฟนๆ เช่น ประธานาธิบดีเคเนดี้ หรือ คนในวงการบันเทิงที่มีชื่อเสียง


ทุกวัน Heifetz มักจะได้รับจดหมายหรือพัสดุกองโต และมีบ่อยๆที่เป็นพวกจดหมายโรคจิต ขู่ฆ่า ลอบทำร้าย หรือบางทีก็เป็น blackmail ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เขาจะไม่สนใจและฉีกมันทิ้งลงถังขยะ แต่ถึงอย่างนั้นข้อความต่างๆก็บั่นทอนสุขภาพจิตอยู่ดี และนี่คงเป็นเหตุผล ที่ทำให้เขาค่อนข้างระแวงเมื่อต้องพบปะกับคนแปลกหน้า



แต่ถึงอย่างนั้น จดหมายส่วนใหญ่จากแฟนๆ มักจะเป็นจดหมายพูดคุย ขอรูป ขอลายเซนต์ หรือแม้แต่เทปบันทึกเสียงของนักไวโอลินทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จัก


บ่อยๆที่มีคนส่งผลงานมาให้เขาลองฟังเพื่อต้องการคำวิจารณ์ แต่เขาไม่้เคยวิจารณ์ผลงานใดๆที่ส่งมาเลย โดยบอกเหตุผลกับฉันว่า คำพูดของเขาอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง หรือถูกใช้ไปในทางที่ไม่ถูกต้องได้

?
?
?
?
?

แต่อันที่จริงแล้ว เขาไม่เคยฟังเทปใดๆที่ส่งมาหาเลยซักตลับเดียว เพราะว่าเขาไม่มีเครื่องเล่นเทป


เวลาที่เขาต้องการฟังเทป ฉันจะต้องยกของตัวเองไปให้เขาฟังที่บ้าน และเทปที่เขาฟังส่วนใหญ่มีแต่การบันทึกเสียงของนักเรียนของเขาเอง และเวลาที่นักเรียนสีไม่ได้ดั่งใจ เขาจะเสียใจมากและโทษตัวเองว่าเป็นครูที่ไม่ได้เรื่อง


"ฉันทำอะไรผิดไปหรือ" คือคำพูดติดปากของ Heifetz เสมอๆ พร้อมกับความรู้สึกผิดหวัง


ส่วนตัวแล้ว Heifetz มีแผ่นบันทึกเสียงที่ชอบ น้อยมากๆ ส่วนใหญ่เก็บไว้ที่บ้านของเขาที่ Bevery hill และที่บ้านพักตากอากาศ ในขณะที่แผ่นบันทึกเสียงผลงานของเขาเองทั้งหมดทุกแผ่น ซึ่งเขาไม่เคยฟังมันเลยซักครั้งเดียวจะถูกเก็บไว้ที่สตูดิโอ


วันนึง ฉันขอเขาฟังวิทยุรายการหนึ่ง แล้วบังเอิญว่าวิทยุดันเปิดผลงานของเขา ปรากฏว่า เขาหัวเสียอย่างมาก และบ่นถึงการสีของตนเอง ซึ่งฉันคิดว่า คงจะเพราะการตีความบทเพลงของเขาเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา




พักฟังเพลงหน่อยดีกว่า เพลงนี้เพราะดี

Wieniawski Polonaise No. 1 in D Major, Op. 4.
Violin by Jascha Heifetz
Accompanist by Emanuel Bay




มีบ่อยครั้ง ที่มีแฟนๆโดยเฉพาะสาวๆ มาหาเขาโดยมิได้นัดหมาย ซึ่งบ่อยครั้งเขาเหล่านั้น จะมาเกาะที่รั้วบ้านเพื่อเฝ้ารอ บางครั้งก็อ้างว่าจะมาซื้อหนังสือ หรือต้องการแผ่นบันทึกเสียง ซึ่งแม้ฉันจะพยายามอธิบายว่าที่นี่ไม่มีขาย ต้องไปหาที่ร้านหนังสือ หรือร้านขายเทป แต่พวกเขากลับไม่ยอมฟังและรอคอยต่อไป จนฉันต้องเรียกตำรวจให้มาจัดการ ซึ่งบางทีก็ทำอะไรไมไ่ด้มากนัก เพราะแฟนๆไปจอดรถในบริเวณที่อนุญาตให้จอดได้


มีบ่อยๆที่พวกเขา กดกริ่งไม่หยุด เคาะประตู หรือแม้แต่เตะรั้ว ซึ่งพวกเราไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากเฝ้าดูและคอยล็อคประตูให้แน่นหนา จนกว่าพวกแฟนๆจะเลิกรากันไปเอง


แต่หากคิดว่าบ้านของ Heifetz มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาหล่ะก็ผิดถนัด ที่บ้านนี้ไม่ได้มีระบบรักษาความปลอดภัยพิเศษอะไร เขาเพียงติดสัญญาณไว้ที่ประตูหน้า ซึ่งเมื่อประตูถูกเปิด จะมีไฟสีแดงแจ้งไปที่สตูดิโอของเขา และสามารถติดต่อไปยังสถานีตำรวจได้ทันที


แต่ถึงอย่างนั้น บ้านของ Heifetz ก็เคยถูกโจรกรรมครั้งหนึ่ง โจรได้นำทรัพย์สินมีค่าไปหลายชิ้น แต่กลับไม่ได้เอาไวโอลินไป ซึ่งเดาว่าคงเป็นโจรลักขโมยธรรมดา มิใช่พวกแฟนๆที่อยากได้ของที่ระลึก


สำหรับไวโอลินของ Heifetz ทั้ง Guarnerius และ Tononi ถูกเก็บง่ายๆไว้ในตู้เก็บของเท่านั้น แถมไม่ได้ล็อกอีกต่างหาก ในขณะที่เงินใช้จ่ายของเขานั้น กลับถูกเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ซึ่งล็อคกุญแจอย่างดี


ทุกครั้งที่เขาเปิดหรือปิดกล่องไวโอลิน เขาจะสั่งให้ฉันยืนอยู่ด้วยเสมอ แต่แค่ให้ฉันเฝ้าดูและเขาไม่เคยบอกหรือสอนวิธีใดๆ หรือแม้แต่จะให้ฉันแตะต้องกล่องไวโอลินของเขา


วันนึงเมื่อเขาจากไป ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเปิดกล่องไวโอลิน แต่ปรากฏว่าไม่ว่าใครก็ตามแม้แต่ช่างซ่อมไวโอลินของ Heifetz เอง ต่างไม่สามารถเปิดกล่องไวโอลินนี้ได้เลยซักคนเดียว


ดังนั้น ฉันจึงขอกุญแจมาลองเปิดดู และนึกภาพถึงตอนที่ Heifetz ยังมีชีวิตอยู่ ว่าเขาเปิดอย่างไร แล้วสุดท้าย ฉันก็สามารถเปิดออกได้อย่างง่ายดาย ซึ่งอันที่จริงแล้วกลไกการล็อคไม่มีอะไรพิสดารเลย แต่อาจจะเป็นไปได้ว่ากุญแจที่เขาให้กับฉันไว้ มีเกือกม้าแห่งความโชคดีติดอยู่


ปัจจุบัน ไวโอลิน Guarnerius ของ Heifetz ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ The de Young Museum ในซานฟรานซิสโกตามเจตนารมณ์ของเขา นอกจากยังสั่งอีกว่าอนุญาตให้ผู้เล่นที่เหมาะสมเพียงพอ สามารถใช้ไวโอลินของเขาในคอนเสิร์ตที่จัดในพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย



ข้อมูลไวโอลินตัว Guarnerius ที่เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่ซานฟารนซิสโก
ใครมีโอกาสแวะไปชมได้นะคะ

จาก //www.famsf.org/deyoung/

Guiseppe Antonio Guarneri del Gesu, maker
Italian, 1687 - 1745
Violin, circa 1740
spruce and maple
23 1/2 x 8 x 3 1/2 (59.7 x 20.3 x 8.9 cm)
Bequest of Jascha Heifetz 1989.6.1






แม้เขาจะไม่ชอบคนแปลกหน้า แต่สำหรับเด็กๆแล้วถือเป็นข้อยกเว้น
ถึง Heifetz จะเป็นคนที่ทนเด็กๆไม่ค่อยได้ แต่เขากลับยกวัน Halloween ให้เป็นวันของเด็กๆ 1 วัน


ทุกคืนHalloween เขาจะเปิดประตูใหญ่จนกว้าง และตั้งโต๊ะไว้กลางลาน พร้อมกับถุงขนม และที่ขาดไม่ได้คือฟักทองที่จุดเทียนเอาไว้ด้านใน ส่วนตัวเขาเองนั้น ก็จะนั่งอยู่หลังโต๊ะ เพื่อรอคอยเด็กๆ


แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่ปี เด็กๆที่ Malibu ก็ลดน้อยลงจนบางปีไม่มีเด็กๆมาเยือน จนตัวเขาเองก็เริ่มเบื่อ และเปลี่ยนเป้นตั้งป้ายไว้ที่ขนมแทนว่า


"เรารอนานเกินไปแล้ว ถ้ามาแล้วช่วยตัวเองนะ "


จากนั้นเขาก็เข้าบ้าน แต่ยังคงเปิดประตูบ้านทิ้งไว้



Heifetz กับลูกชายผู้น่าัรักของเขา


Heifetz เป็นคนที่ยึดติดกับอะไรเก่าๆในทุกเรื่อง


สมุดโทรศัทพ์ของเขาเก่ามาก และใช้มานานเป็น 10 ปี แต่เขาก็ไม่ยอมทิ้ง จนฉันต้องเก็บไปทิ้งที่บ้านของตัวเอง เพราะถ้าทิ้งลงที่ถังขยะที่บ้านเขา เดี๋ยวเขาก็จะไปคุ้ยในถังขยะและเอามันกลับมาใช้จนได้
แต่แล้วสุดท้าย เมื่อเขาหาเล่มเก่าไม่เจอะ เขาจึงยอมใช้เล่มใหม่ที่มีอยู่


ไม่เพียงเท่านี้ แม่บ้านของเขายังไม่ต้องทำความสะอาดชั้นวางของเช่นกัน เพราะเขาเกรงว่าจะทำให้ของที่วางไว้ยาวนานกว่า 40 ปี ขยับเขยื้อน


และแม้แต่ที่บ้านฉันเขาก็ต้องการให้ทำแบบเดียวกับเขา แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉันชอบจัดบ้านใหม่อยู่เสมอ และเมื่อเขาไปหาฉันที่บ้านและพบว่าเฟอร์นิเจอร์มีการขยับเขยื้อน เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งล่าสุดที่เขามา เขาจะรู้สึกผิดหวังมาก


แต่ก็น่าแปลกใจ แม้ว่าเขาจะนิยมของเก่าๆ แต่เขากลับมองว่าที่บ้านไม่ควรตั้งของโชว์เก่าๆ

Heifetz มีความเห็นว่าบ้านคือที่ๆเราอยู่ได้สบาย โดยไม่ต้องระมัดระวังอะไร และบ้านไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ จึงไม่จำเป็นต้องมีตู้โชว์ ของโบราณล้ำค่าใดๆ ที่เวลาคนเดินผ่านต้องคอยระมัดระวังเพราะเกรงจะทำให้ตกลงมาแตก


นอกจากนี้ เขายังชอบที่จะให้จัดเก้าอี้วางคู่กันเสมอ ซึ่งที่เขาเห็นว่ามันสำคัญเพราะเก้าอี้ 2 ตัว ทำให้คนเราสามารถไปนั่งพูดคุยกันหรืออ่านหนังสือด้วยกัน ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ซึ่งจะต้องตั้งอยู่คู่กับเก้าอี้เสมอนั่นคือโคมไฟ





ถึงแม้ว่า Heifetz จะเป็นคนที่ยึดติดและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่หากในกรณีที่ตัวเขาเองต้องการจะเปลี่ยน เขาจะพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อกำจัดใครซักคน หรืออะไรบางอย่างออกไปโดยเร็วที่สุด


ครั้งหนึ่งเขาต้องการยกเลิกนิตยสารฉบับหนึ่งที่เขาเป็นสมาชิกมายาวนาน เพียงเพราะนิตยสารเปลี่ยนตัวผู้เขียนบทความวิจารณ์ดนตรี ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกว่านิตยสารไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่หลังจากฉันโทรไปยกเลิกการเป็นสมาชิกแล้ว ผ่านไป 1 สัปดาห์นิตยสารยังคงส่งมาเช่นเดิม ซึ่งทำให้เขาหัวเสียเป็นอย่างมาก แม้ว่าฉันจะพยายามอธิบายแล้วว่ากระบวนการยกเลิกต้องใช้ระยะเวลา


ยิ่งในเรื่องเงินๆทองๆ เขาจะยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ว่าทำไมราคาข้าวของหรือเงินค่าจ้างแม่บ้านจำเป็นจะต้องเพิ่มขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาษี ซึ่งเขามองว่าเงินทุกบาทที่เสียไป จะต้องได้รับการตอบแทนอย่างคุ้มค่า


มีครั้งหนึ่ง ป้ายถนนละแวกบ้านของเขา เกิดหายไป ซึ่งฉันเดาว่ามันคงจะเสียหายจึงต้องถอดไป และอยู่ในระหว่างรอซ่อม แต่ Heifetz กลับไม่พอใจอย่างมากที่ป้ายหายไป เขาให้เวลาฉัน 2 วันในการหาเหตุผล และสั่งให้ฉันทำทุุกวิถีทาง เพียงเพื่อให้ได้ป้ายกลับมา แต่ัสั่งว่าห้ามอ้างชื่อเขา


แต่ฉันไม่รู้จะโทรไปที่ไหนดี จึงเลือกโทรไปที่หน่วยจัดการเรื่องน้ำไฟ เพระาคิดว่าอย่างน้อยๆคนที่ทำงานที่นั่น ต้องมาคอยเดินจดมิเตอร์ค่าน้ำค่าไฟ และคงจะสังเกตุเห็นว่าป้ายหายไป ซึ่งฉันหวังว่าเขาจะสามารถบอกเหตุผลที่ป้ายหายไปได้ หรืออาจจะแนะนำให้ฉันไปติดต่อหน่วยงานอื่น

และคำถามแรกเมื่อฉันโทรไปคือ


"คุณชอบดนตรีคลาสสิกหรือเปล่า"



ตามด้วย

"คุณรู้จัก Jascha Heifetz? หรือไม่"




น่าเศร้าที่เธอตอบว่าไม่ ฉันจึงเปลี่ยนคำถามใหม่


"คุณพอจะรู้จักใครที่ทำงานที่นั่น ที่อายุเกิน 60 แล้วชอบดนตรีคลาสสิกบ้างไหม"



ตอนนั้นฉันคิดว่าผู้หญิงที่รับสาย ต้องคิดว่าฉันบ้าแน่ๆ แต่เธอก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และตามชายผู้หนึ่งมารับสายฉัน


โชคดีที่เขารู้จัก Heifetz และยังมีแผ่นบันทึกเสียงไวโอลินของเขาด้วย ฉันจึงเล่าเรื่องความต้องการของ Heifetz เมื่อเห็นว่าป้ายหายไป ชายผู้นั้นจึงอธิบายถึงเหตุผลที่ป้ายหายไปและสาเหตุที่ยังไม่ได้ติดตั้ง เพราะว่าต้องรีบไปติดตั้งป้ายเตือนภัยบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆก่อน จึงค่อยมาทำป้ายถนน แต่เขารับรองว่าจะพยายามช่วยให้ป้ายถนนรีบมาติดตั้งให้เร็วที่สุดตามความต้องการของ Heifetz


หลังจากฉันอธิบายเรื่องนี้กับ Heifetzไม่นานเท่าไหร่ ป้ายถนนก็ถูกติดตั้งตามที่เขาต้องการ แต่สีของป้ายเกิดเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ซึ่งเขาสังเกตุเห็นและไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ จนฉันต้องโกหกว่านี่เป็นป้ายชั่วคราว และได้ยินมาว่าจะเปลี่ยนป้ายใหม่เป็นสีแบบที่เขาชอบในอนาคต เขาจึงยอมรับและไม่ติดใจอีก


แต่จากที่เล่าไปแล้ว ไม่ใช่ว่า Heifetz จะเป็นคนขี้งก แม้ว่าเวลาที่เขายืมเงินใคร เขาจะไม่เคยคืนเลยจนกว่าเจ้าหนี้จะมาทวง

แต่ๆๆ นั่นไม่ได้หมายความว่า Heifetz เป็นคนเหนียวหนี้นะคะ เพราะจริงๆแล้วเขามีความคิดว่า หลังจากเรายืมเงินใครไปแล้ว เจ้าหนี้ก็ต้องมีหน้าที่ต้องติดตามคอยทวง ไม่ใช่รออยู่เฉยๆ และตัวเขาเองก็จะจ่ายคืนให้ทันทีที่ถูกทวงถาม



Heifetz มีความเชื่อเรื่องโชคลางของตัวเลข เขาเชื่อว่าชื่อของเขา ซึ่งนับรวมตัวอักษรได้เลข 13 เป็นเลขแห่งความโชคดี นอกจากนี้ เขายังชอบเลข 2 เพราะ เขาเกิดวันที่ 2 เดือน 2 ในปี 1901 ซึ่งเมื่อรวมเลขกันแล้วก็ยังได้เลข 2


นอกจากนี้ เขายังเชื่อว่าเลข 2 ยังมีความหมายถึง การมีคู่ของ ชาย – หญิง แต่ทั้งๆที่เขาเป็นคนประเภทบุรุษนิยม ซึ่งยึดถือว่าเพศชายเป็นใหญ่ แต่เขากลับมองว่าในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิงจะสำเร็จไม่ได้ ถ้าฝ่ายหญิงไม่ให้ความร่วมมือ


และแม้ว่า Heifetz จะไม่ประสพความสำเร็จในเรื่องความรักและชีวิตแต่งงาน แต่เขากลับชอบเชียร์ให้นักเรียนของเขา หรือนักดนตรีคนอื่นๆ จับคู่แต่งงานอยู่เสมอๆ และจะไม่หยุดจนกว่าพวกเขาจะตั้งรกราก เพราะเขามองว่าผู้ชายและผู้หญิงเกิดมาเพื่อกันและกัน


แต่ถึงอย่างนั้น ความคิดแบ่งแยกเพศของเขา ยังเป็นเรื่องที่ใครๆชอบแซวอยู่เสมอ


เขามักจะบัญญัติศัพท์แปลกๆ เพื่อแบ่งแยกชาย-หญิง เช่น hero หมายถึงผู้ชาย และ Shero หมายถึงผู้หญิง หรือ คำว่า hysterectomy ซึ่งแปลว่ามดลูก เขาก็จะเปลี่ยนมันเป็น hersterectomy แทน



สำหรับ Heifetz ห้องครัว คือสถานที่สำหรับผู้หญิงเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น เขากลับอนุญาตให้มีผู้หญิงอยู่ในห้องครัวเพียง 1 คน เพราะเขามองว่าไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม หากมีผู้หญิงมาอยู่ร่วมกันมากกว่า 1 คน มักจะเกิดเรื่องวุ่นวายเสมอ ยกเว้นเวลาที่ทานอาหารร่วมกัน

ดังนั้น ในตำแหน่งงานเดียวกัน เขาจะจ้างผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น



แม้ว่า Heifetz จะค่อนข้างมีปัญหากับการใช้จ่ายเงินที่แพงขึ้นตามกาลเวลา แต่ในเรื่องอาหารการกินแล้ว เขากลับยอมจ่ายเพื่อ ไข่ปลา Cavier และ เนื้อปลาแซลมอนรมควัน


ในอดีตสมัยที่เขายังออกทัวร์คอนเสิร์ตตามเมืองต่างๆ Heifetz เล่าให้ฉันฟังว่าเขาได้มีโอกาสลิ้มลองอาหารเลิศรสแปลกๆใหม่ๆจากภัตคารดังๆมากมาย ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เขาท้องเสีย


แต่เมื่อเขาแก่ตัวลง เขากลับย้อนกลับไปทานอาหารรัสเซีย-ยิว รสชาติดั่งเดิมแบบง่ายๆ และไม่ต้องการอาหารที่พิสดาร ซึ่งนั่นทำให้ ครั้งหนึ่งเขาเคยไล่แม่บ้านออก ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอทำอาหารหลากหลายมากเกินไป


Heifetz ชอบทานอาหารทะเลทุกชนิด โดยเฉพาะกุ้งlobster ปู และปลา นอกจากนี้เขายังชอบทานสตูมากๆ รวมไปถึงอาหารรัสเซียพื้นฐานอื่นๆ อย่างที่เล่าไปในตอนแรกว่าเขาสอนฉันทำด้วย ทั้งๆที่ตัวเขาเองทำอาหารไม่เป็นเลย


มีครั้งนึงเขาพยายามทำอาหารเช้าด้วยตนเอง โดยการนำกาน้ำชาขนาด 2 แกลอนที่เติมน้ำจนเต็ม ใส่เข้าไปในเตาอบ เพื่อชงน้ำชาเพียง 1 ถ้วย แน่นอนมันต้องใช้เวลานานมาก


แต่ทว่า Heifetz กลับไม่คิดอย่างนั้น เขากลับคิดว่าตู้อบต้องเสียแน่ๆ แม้ว่าฉันจะพยายามอธิบายให้เข้าฟังว่าการต้มน้ำต้องทำอย่างไร แต่เขายังคงสั่งให้ฉันไปตามช่างมาซ่อม โดยที่ไม่คิดเลยว่าเพราะเขาใช้มันไม่ถูกวิธีต่างหาก




แซลม่อนรมควัน หนังสือเขียนว่า lox หาดูรูปจากเวปอาหารของชาวยิว เดาว่าน่าจะใกล้เคียงจานนี้




Heifetz รู้จักกับ George Bernard Shaw นักเขียนนวนิยายชาวไอริช และ Sibelius ทั้ง 3 คนสนิทกัน เขาเล่าให้ฉันฟังว่า พวกเขามักจะนัดพบปะสังสรรค์กันเสมอ


Shaw รู้จักกับ Heifetz ตอนที่เขาไปแสดงคอนเสิร์ตที่อังกฤษในปี 1920 และ เขาเคยเขียนจดหมายมาหา Heifetz ด้วย


เนื้อหาในจดหมายฉบับนั้น ถูกกล่าวชวัญเป็นอย่างมาก เพราะ Shaw บอก Heifetz ว่า


"ถ้าคุณเก่งเกินมนุษย์จนทำให้พระเจ้ารู้สึกอิจฉาหล่ะก็ ท่านจะมาเอาตัวคุณไปเสียแต่ยังหนุ่ม ดังนั้น ผมจึงขอแนะนำให้คุณสีไวโอลินห่วยๆก่อนนอนแทนการสวดมนต์"




และไม่ต้องสงสัยเลยว่า Heifetz จะทำตามคำแนะนำนี้อย่างแน่นอน


สำหรับ Sibelius Heifetz ชอบเพลง Violin concerto ของ Sibelius มาก จึงไปหาที่ฟินแลนด์เพื่อพูดคุยถึงการแสดง ซึ่งเขาเล่าให้ฉันฟังโดยละเอียดถึงการพบกันในครั้งนั้น


ฟินแลนด์เป็นประเทศที่หนาวเย็นมาก เรียกว่าเย็นไปถึงกระดูกเลย แถมอากาศก็ชื้น และเต็มไปด้วยหมอกปกคลุมไปทั่วทะเลสาปและป่า Heifetz ตัดสินใจไปที่นั่นก่อนที่จะไปพบ Sibelius และพบกับบรรยากาศเหล่านี้ ซึ่งความประทับใจครั้งแรกนี้ ส่งผลกับการตีความบทเพลงขอ งSibelius เป็นอย่างมาก


เขามักจะจ้ำจี้จ้ำไช และใช้เวลาสอนนักเรียนถึงการตีความ violin concerto เพลงนี้นานมาก ซึ่งฉันไม่รู้ว่า Sibelius เป็นคนบอกเขาเองหรือเปล่า ว่าควรจะสีอย่างไร เพราะHeifetz ไม่ได้บอก แต่ถึงแม้ว่า Sibelius จะบอกเขา ฉันก็คิดว่า เขาคงไม่ทำตามหรอก



-----------------------------จบบทที่ 8----------------------------------

ปล. เรื่องของ Heifetz นี้ ไม่ได้แปลจากหนังสือทั้งหมด หนังสือสนุกและมีรายละเอียดเยอะมากๆ จขบ แค่อ่านๆแล้วมาเล่าๆรีวิวให้ฟังนะคะ ตัวเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการแปลหนังสือ และภาษาก็ไม่ได้แข็งแรงอะไร ดังนั้นหากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยค่ะ



Create Date : 05 เมษายน 2552
Last Update : 21 เมษายน 2552 10:49:08 น.
Counter : 913 Pageviews.

0 comments
โจทย์ถนนสายนี้มีตะพาบหลักกิโลเมตรที่ 349 โจทย์โดยคุณ กะว่าก๋า สมาชิกหมายเลข 3902534
(9 เม.ย. 2567 15:31:45 น.)
ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 349 "วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร โปรดมองมาทางนี้ เธอจะเห็นใ สมาชิกหมายเลข 7915129
(8 เม.ย. 2567 20:40:30 น.)
Henryfry: ไก่ทอดในตำนาน รอคอยมานาน กว่าจะได้กิน peaceplay
(6 เม.ย. 2567 11:06:32 น.)
Maggie May - Rod Stewart ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(3 เม.ย. 2567 10:53:48 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vitaminc.BlogGang.com

Vitamin_C
Location :
Pasadena  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]