Heifetz As I Knew Him (4) : เรื่องสำคัญมากของ Heifetz
บทที่ 7

Heifet เป็นคนที่ไม่เคยถือตัวว่าตนเองเป็นศิลปินแล้วก็เป็นคนที่เข้าใจยากมากๆ นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ไม่สามารถทนอยู่ตามลำพังคนเดียวได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถในการใช้อำนาจกำจัดคนรอบข้างออกไปด้วยเช่นกัน


มีผู้คนมากมายที่เข้ามาตีสนิทและพยายามเป็นเพื่อนกับเขา หลายคนหวังผลประโยชน์จากการที่เขาเป็นคนมีชื่อเสียง หรือมาคบกับเขาเพียงเพราะต้องการที่จะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนของ Heifetz


ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อ Heifetz อายุมากขึ้น จำนวนเพื่อนของเขาก็ค่อยๆลดลงตามชื่อเสียงของเขา แต่ถึงอย่างนั้น Heifetz ก็มีวิธีการมากมายในการทดสอบความจริงใจจากคนที่เข้ามาเสมอๆ


ชีวิตรักของ Heifetz เป็นเรื่องเดียวที่ฉันไม่กล้าถามถึง เพราะ Heifetz มักจะบอกเสมอว่า เขาไม่ควรแต่งงาน เขารู้สึกว่าตนเองเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ และเขามักจะผิดสัญญากับลูกด้วยเหตุผลร้อยแปดเสมอ เขาคิดว่าแม้ว่าเขามีสิทธิที่จะเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดมากที่ผิดคำสัญญาเช่นกัน


สำหรับ Heifetz นักเรียนของเขา ก็เหมือนลูกๆในอุดมคติ ที่ไม่มีการโต้แย้งและเชื่อฟังเขาทุกอย่าง ซึ่งไม่มีทางที่ลูกจริงๆของเขาจะเป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ สำหรับนักเรียน เขายังสามารถต้อนรับหรือผลัดไสได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความเกี่ยวพันทางสายเลือด



Heifetz กับภรรยา พร้อมด้วย "Jay" ลูกชายของเขา



นักเรียนของ Heifetz หลายคนต้องจากบ้านมาไกลจากประเทศต่างๆ และ Heifetz ไม่ต้องการให้เขาเหล่านั้นรู้สึกโดดเดี่ยวและอยากให้นักเรียนอยู่ร่วมกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน


ดังนั้นเขาจึงมักเชิญให้นักเรียนไปสังสรรพักผ่อนที่บ้านของเขา รวมถึงที่บ้านพักตากอากาศริมชายทะเลอยู่บ่อยๆ ซึ่งการกระทำของเขา ฉันคิดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจาก Auer เพราะเมื่อสมัยกอ่น Auer ก็มักจะชวนให้นักเรียนของเขาไปพักผ่อนด้วยกันเช่นกัน


วันขอบคุณพระเจ้า และ วันอีสเตอร์ เป็นเทศกาลประจำที่นักเรียนทุกคนจะได้รับคำเชิญ แต่สำหรับเทศกาลปีใหม่นั้น เฉพาะนักเรียนที่มีหน้าที่ในการเล่นวงเชมเบอร์เท่านั้นที่จะได้รับเชิญ


วันขอบคุณพระเจ้า นักเรียนทุกคนจะได้รับเชิญให้มาแต่หัววัน และจะได้รับประทานไก่งวงร่วมกันในตอนบ่ายแก่ๆ แต่ส่วนใหญ่ช่วงเทศกาลนั้น ตรงกับเดือนพฤศจิกายนซึ่งอากาศที่ชายหาด ค่อนข้างหนาวเย็น ดังนั้น Heifetz จึงมักจะสั่งให้ใครบางคน ทำหน้าที่เป็น “fireman” หรือพนักงานจุดไฟ


Fireman มีหน้าที่ยืนข้างเตาผิง และคอยดูแลไฟในเตาให้ลุกอยู่ตลอดเวลา โดย Heifetz จะจัดหาอุปกรณ์ต่างๆให้ ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นเช่นหมวกประจำตำแหน่ง พร้อมกับจัดตำแหน่งที่ต้องยืนและวางอุปกรณ์ที่แน่นอน

ซึ่งหากใครเกิดบังเอิญไปขยับข้าวของหรือแม้แต่ตัว Fireman แม้ซักนิ้วเดียว เขาจะรีบจัดแจงจัดให้มันเข้าที่ พร้อมกับบอกกับทุกคนว่าให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ตามที่เค้ากำหนดไว้ ซึ่งไม่เพียงแต่นักเรียนเท่านั้นที่ถูกกำหนดว่าจะต้องยืนตรงไหน แต่เขายังปฏิบัติกับแขกของเขาแบบนี้เช่นกัน

Heifetz ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงทุกคนที่มาร่วมงาน อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา


ฉันกับ Heifetz เริ่มสนิทกันในงานสังสรรวันอีสเตอร์ที่ชายหาด ในฤดูร้อนปี1972

ในตอนบ่ายที่นักเรียนคนอื่นๆขอตัวกลับบ้านกันแล้ว ผู้ช่วยของHeifetz แอบมากระซิบบอกฉันว่า เดี๋ยวจะไปส่งคนอื่นๆที่หัวมุมถนนก่อน จากนั้นเราจะวนกลับมาที่บ้าน เพราะ Heifetz อยากจะทานมื้อเย็นกับฉัน



เล่นวงแชมเบอร์กัน แต่รูปนี้น่าจะถ่ายที่มหาวิทยาลัยค่ะ


Heifetz เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ในการตัดสินว่าใครหรืออะไรที่มีประโยชน์ต่อเขา
หลายปีต่อมาหลังจากเราสนิทกัน เขาบอกฉันถึงสาเหตุที่เขาต้อนรับฉันให้เขาสู่วงใน เพราะเขาสังเกตุว่าเมื่อฉันได้รับคำสั่งอะไรมา ฉันไม่เคยถามเขาหรือว่าใครเลย แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาทำด้วยตนเอง และไม่ตื่นเต้นจนเกินเหตุ


แต่สำหรับฉัน คำพูดของเขาไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะมันเหมือนเป็นบุคลิกประจำตัวของคนเกิดปีวัว ของนักษัตริย์จีนตามที่ฉันเคยได้รับทราบมา

หลังจากมื้อเย็นครั้งแรกผ่านไป เขาขอให้ฉันไปหาที่บ้านในเย็นวันพุธ เพื่อปรึกษาอะไรบางอย่าง

“เรื่องสำคัญมาก”

?
?
?
?
?
?

แต่เมื่อฉันได้คุยกับเขา ก็ทำให้รู้ว่า "เรื่องสำคัญมาก" ของเขานั้น จริงๆไม่มีอะไรเลย เขาแค่ต้องการให้ฉันมาทานอาหารเย็นที่บ้านของเขา โดยมีข้อแม้ว่าฉันจะต้องเป็นคนทำอาหารเย็น


ฉันกังวลมาก ในสมัยก่อนแม่ของฉันไม่เคยยอมให้ฉันเข้าไปวุ่นวายในห้องครัว เพราะเธอมองว่า ฉันมีงานอย่างอื่นที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือการซ้อมไวโอลิน


ดังนั้นฉันจึงทำอาหารแทบไม่เป็นเลย และในตอนนั้นฉันจึงเลือกทำอาหารที่คิดว่าถนัดที่สุด นั่นคือ "ข้าวผัด"

และแน่นอนที่จริงแล้วฉันรู้วิธีทำข้าวผัดเพียงเล็กน้อย จากการสังเกตุเวลาแม่ทำในครัวเท่านั้น

ไม่ว่าข้าวผัดจะอร่อยหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือมันไม่ถูกปาก Heifetz ซักเท่าไหร่


ดังนั้น Heifetz จึงมาที่ครัวกับฉัน และสอนให้ฉันหัดทำ สตู ซึ่งเป็นอาหารที่เขาชอบมากที่สุด

นอกจากนี้เขายังประกาศอีกว่า การจะเป็นแม่ครัวที่ดีนั้น ต้องเริ่มต้นจากการทำสตูให้อร่อยเสียก่อน
แต่ถึงกระนั้น Heifetz ก็ง่วนอยู่ที่ครัวได้ไม่นาน เมื่อมีโอกาสเขาจะเรียกให้ฉันมานั่งดื่มกับเขาที่ห้องนั่งเล่นแม้ว่าจะยังทำอาหารไม่เสร็จก็ตาม


จากเหตุการณ์นี้ ฉันสรุปได้ว่า Heifetz นอกจากจะมีความอดทนต่ำแล้ว เขายังทำอาหารไม่ได้เรื่องอีกด้วย


แล้วในอีก 2-3 สัปดาห์ อีกครั้งกับวันพุธ พร้อมกับ " เรื่องสำคัญมาก" อีกแล้ว


เขาเชิญฉันมาที่บ้าน ซึ่งในทีแรกฉันคิดว่าน่าจะเป็นการเตรียมบทเรียน เพราะตอนนั้นฉันเริ่มทำหน้าที่เป็นนักเปียโนแล้ว แต่เมื่อมาถึงปรากฏว่ากลับกลายเป็นเรื่องการทำอาหารอีกแล้ว และส่วนใหญ่ คอร์สเรียนทำอาหารโดย อ. Heifetz ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนอกจากวิธีการทำพื้นฐาน เครื่องปรุงที่ต้องใช้ และรสชาติที่ควรจะเป็น ซึ่งแน่นอน จะต้องปรุงในรสที่เขาชอบ


หลังจากที่ฉันเริ่มชำนาญในการทำอาหาร เขาก็สารภาพกับฉันว่า จริงๆเขาไม่ได้คาดหวังให้ฉันทำอาหารเก่งๆหรอก แต่เขาแค่ต้องการเล่นสนุกเท่านั้น และเขายังค้นพบอีกว่า มีบุคลิกอย่างหนึ่งของฉัน ที่เขาชอบ นั่นคือ นอกจากฉันจะไม่โต้แย้งเขาแล้ว ฉันยังฟังเขาอย่างตั้งใจเสมอโดยไม่ขัดคอ และไม่เคยทำตัวว่ารู้ดีกว่าเขา เวลาที่เขาออกความเห็นต่างๆ และสุดท้ายที่เขาชอบมากคือ ฉันไม่เคยอิดออดเวลาที่เขาเรียกให้ฉันดื่มเป็นเพื่อน แม้ว่าฉันจะจิบเพียงเล็กน้อยก็ตาม


เมื่อเวลาผ่านไป เขาเริ่มต้องการให้ฉันทำอาหารรัสเซียแบบที่เขาชอบ ซึ่งฉันคิดว่าคงจะเอาสูตรมาจากแม่ของเขา


นอกจากนี้ เขายังได้แนะนำให้ฉันรู้จักกับเพื่อนของเขาที่เป็นชาวรัสเซีย เพื่อที่ฉันจะได้ขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีทำอาหารได้เมื่อติดขัด


Heifetz ไม่ได้ต้องการให้ฉันแค่ทำอาหารให้เขาเท่านั้น แต่เขาต้องการให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนในยามเย็นอันแสนโดดเดี่ยว


เขามักจะขอร้องให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนหลังทานอาหารเย็น และชวนให้เล่นไพ่ หรือเล่นดนตรีด้วยกัน บางครั้งเราก็เล่นเปียโน 4 มือ และเขาชื่นชอบการเล่นแบบ improvise มากๆ


บางครั้งเขาก็เรียกให้ฉันเล่นอะไรก็ได้ซักอย่างบนเปียโน และสอนฉัน เสียงของ accom ควรจะออกมาเป็นแบบไหน และควรแตกต่างจาก soloist อย่างไร

และเพื่อแสดงให้ฉันเข้าใจ เขาถึงกับลงมือเล่นเปียโนด้วยตนเอง ให้ฉันฟัง ซึ่งนั่นทำให้ฉันประหลาดใจมากๆ เพราะเมื่อฟังแล้ว แม้ว่าดูเหมือนเขาจะขาดการฝึกซ้อมไปซักหน่อย แต่ก็สามารถดีดได้เสียงแบบที่เขาต้องการอธิบายจริงๆ

ในทางกลับกัน บางทีเขาก็หันกลับมาถามฉันเกี่ยวกับการใช้นิ้วในการดีดเปียโน เพราะเขาเห็นว่าฉันมีมือที่เล็ก และดูท่าว่าจะมีปัญหา


บางครั้งเขาก็ชวนกันเล่นเกมส์ มีครั้งหนึ่ง เขาสั่งให้ฉันปิดตา แล้วเขาเล่น Etude black key ของ Chopin (etude in Gb Op.10 No.5) แต่ฉันฟังแล้วรู้สึกแปลก และเมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเขากำลังเล่นเปียโนด้วยผลส้ม



มุขนี้คุ้นๆ หลาง หลาง ก็เอามาเล่นเหมือนกัน




ส่วนอันนี้คือ black key ของจริง เล่นด้วยมือ ไม่ได้ใช้ส้ม



ในระหว่างที่ฉันทำหน้าที่เป็นนักเปียโนในชั้นเรียนของ Heifetz ฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมชมการAudition ของ Heifetz และได้เห็นการคัดเลือกผู้สมัครของเขา


เวลาที่เขาพบผู้สมัครที่มีความสามารถไม่ดีพอ เขาจะชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย และถามถึงความสนใจอื่นๆ หรือความสามารถอื่นๆที่ผู้สมัครคิดว่าเขาทำได้ดี หลังจากนั้น Heifetz ก็จะพยายามพูดโน้มน้าวให้ผู้สมัครเหล่านั้นเล่นดนตรีเพียงแค่เป็นงานอดิเรก และให้หันไปทำอย่างอื่นที่ถนัดมากกว่า


ในบางครั้ง Heifetz พบผู้สมัครที่มีความสามารถ แต่ยังไม่ถึงมาตรฐานที่เขาตั้งไว้ เขาจะรับผู้สมัครเหล่านี้ไว้ในฐานะ “ Auditor” ซึ่งหากใครที่ถูกรับเข้ามาในตำแหน่งนี้ จะต้องทำใจว่าพวกเขาไม่ใช่นักเรียนแบบที่ Heifetz ค้นหา แต่ก็ถือว่าได้รับโอกาสแล้ว

นอกจากนี้ ผู้สมัครที่อายุเกิน 25 ปี ก็จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน ส่วนเหตุผลนั้นคือ Heifetz มองว่า คนที่อายุเกิน 25 ปีไปแล้ว จะสามารถเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆเพิ่มเติมได้อีกเพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้อีกแล้ว


ผู้ที่เป็น Auditor จะสามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนได้เหมือนกับนักเรียนปกติทั่วไป แต่จะมีโอกาสได้สีไวโอลินให้ Heifetz ชมเพียงแค่ 1 ครั้ง และสามารถเข้าร่วมการเล่นแชมเบอร์ได้ 1 หน


นอกจากนี้ Auditor ยังมีนักเรียนที่จำแนกออกเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกว่า Observer
ในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผุ้ใหญ่ ครูหรือคนที่ทำงานด้านดนตรีซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง LA


แต่สำหรับ Observer มีสิทธิที่จะได้เล่นร่วมกับวงเชมเบอร์ แต่จะไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงไวโอลินในชั้นเรียน


ในระหว่างการทดสอบ นอกจากเขาจะสนใจการสีไวโอลินแล้ว เขายังแอบสังเกตุอิริยาบถต่างๆของผู้สมัคร ในการดูแลอุปกรณ์ต่างๆด้วย ดังนั้นหากผู้สมัครคนใดที่ไวโอลินสกปรก จะไม่ผ่านการคัดเลือกอย่างแน่นอน


หลังจากการสัมภาษณ์จบลง เขาจะจับมือกับผู้สมัครแต่ผลการสัมภาษณ์จะยังไม่ประกาศในทันทีเว้นแต่เขาจะแน่ใจว่าคัดออกจริงๆเท่านั้น


และเมื่อนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาและเริ่มเข้าชั้นเรียนได้ 2-3 สัปดาห์แล้ว เขาจะสั่งให้ผู้ช่วยขับรถพาเขาไปยังที่พักของนักเรียน โดยมิได้บอกล่วงหน้า

“Surprise!!!”


เขาจะตรวจสอบทุกอย่างในห้อง แม้แต่ในตู้เสื้อผ้าหรือใต้อ่างล้างมือ ยกเว้นแต่เพียงจดหมายเท่านั้น


คลิป master class กันอีกซักรอบ เพลงที่เขาเล่นชื่ออะไรก็ไม่รู้



ในวันหยุดเขามักจะขอให้ฉันขับรถพาไปยังบ้านพักตากอากาศของเขาที่ริมหาดมาลิบู เขามีความสุขมากที่ได้อยู่ที่นั่น ดังนั้นทุกวันหยุดเขาจะเดินทางไปที่นั่นเสมอ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นก็ตาม


ครั้งหนึ่งเกิดพายุรุนแรงมีคลื่นสูงพัดเข้าสู่ชายฝั่งติดต่อกันหลายวัน พายุทำลายบ้านหลายหลังบนริมชายหาดและทำลายถนนไปหลายเส้น ในระหว่างสัปดาห์มีประกาศเตือนภัยตลอด ทั้งทางวิทยุและทีวีให้คนที่อยู่แถวนั้นหรือคนกำลังจะไปให้ระมัดระวังและหลีกเลี่ยง


ในคืนวันศุกร์ ฉันถามเขาเกี่ยวกับแผนการเดินทางสำหรับวันหยุด และบอกเขาถึงข่าวประกาศเตือนภัย แต่เขากลับไม่สนใจอะไรเลยและยืนยันว่าจะเดินทางไปเหมือนเดิม แถมยังทำท่าทางประหลาดใจตอนที่ฉันถามเขาอีกต่างหาก


Heifetz บอกกับฉันว่าเราสามารถเดินทางไปยังหาดมาลิบูผ่านทางถนนบนภูเขาซึ่งอยู่เหนือทะเล ฉันไม่เคยใช้เส้นทางนั้น และสงสัยว่าตัวเขาเองรู้จักเส้นทางนั้นดีแค่ไหน แต่การโต้เถียงไปก็มีแต่จะเปล่าประโยชน์ ดังนั้นในเช้าวันเสาร์ฉันจึงไปรับเขาแล้วเตรียมตัวออกผจญภัย


ในตอนที่เราเริ่มออกเดินทางฝนตกหนักมาก และยิ่งหนักมากขึ้นอีกเรื่อยๆเมื่อใกล้ถึงชายหาด
ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยป้ายเตือนให้ระวัง และฉันต้องขับรถด้วยความยากลำบากเพราะมองทางไม่เห็น ในขณะที่เขากลับมีท่าทางเหมือนเด็กซนๆที่กำลังสนุกสนาน เขาสั่งให้ฉันอย่าไปสนใจป้ายเตือนเหล่านั้นแล้วให้ขับต่อไปอีกเรื่อยๆ


ฉันขับรถด้วยความเร็วที่ช้ามากๆไต่ไปตามเนินเขา ตลอดสองข้างทางมีแต่รถที่ติดหล่มเต็มไปหมดเพราะตอนนี้พื้นถนนเต็มไปด้วยโคลน


หลังจากนั้นไม่นานน้ำก็ท่วมสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ซึ่งทำให้ฉันกลัวมาก ฉันสงสัยจริงๆ หากเรา 2 คนเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา หนังสือพิมพ์จะพาดหัวข่าวว่าอย่างไรกัน แต่เมื่อฉันมองไปที่เขา ก็พบว่าเขายังคงนั่งเงียบสงบอยู่ที่เบาะหลังและไม่มีอาการตื่นเต้นใดๆเลย เขายังคงกำกับให้ฉันขับรถต่อไป และคอยชี้ให้ระวังก้อนหินที่อยู่บนถนน


ไม่นานนักเราก็พบกับป้ายเตือนปิดการจราจรตั้งขวางอยู่กลางถนน

ฉันชี้ให้เขาดูและหวังว่าเขาจะสั่งให้หันกลับ แต่ทว่าเขากลับบอกว่า


“เธอทำได้แน่”



ฉันไม่เข้าใจว่า อะไรทำให้เขามั่นใจขนาดนั้น หรือบางทีคำพูดนี้อาจเป็นการให้กำลังใจและเพิ่มความกล้าให้กับฉัน ซึ่งอันที่จริงแล้ว ฉันไม่มีทางเลือกมากกว่า ในใจฉันร้องบอกว่าให้รีบออกจากรถไปซะ แล้วทิ้งเขาไว้ที่นี่หล่ะ แต่ฉันก็ได้แต่เพียงคิด


สุดท้ายฉันก็ออกไปยกเครื่องกีดขวางออกจากถนน และกลับมาบนรถด้วยเนื้อตัวเปียกปอน
ส่วน Heifetz นั้น นั่งสบายใจอยู่บนเบาะหลัง ตอนที่ฉันกลับมา เขามองฉันด้วยสายตาซาบซึ้ง แล้วสั่งให้เดินทางต่อ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


หนทางต่อจากนี้ เลวร้ายยิ่งกว่าช่วงแรก มีทั้งก้อนหิน และโคลนเต็มถนน แต่ Heifetz ก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน แต่ก็ดูเงียบเชียบผิดปกติและไม่พูดอะไรเลยนอกจากคอยกำกับให้ฉันระวังก้อนหินที่กีดขวางทางตรงนั้นตรงนี้


เขายังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆเลย เหมือนเวลาอยู่บนเวที


การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงบ่าย 3 โมงย็น ทั้งๆที่ปกติแล้วใช้เวลาเดินทางแค่ 45 นาที และเมื่อมาถึงบ้านตากอากาศ ก็พบว่าบ้านยังสภาพดีอยู่และไม่ได้เสียหายอะไร


หลังจากจัดข้าวของเรียบร้อยเขาก็เตรียมเครื่องดื่มให้ฉันอย่างใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เรา 2 คนชนแก้วและอวยพรให้แก่กัน จากนั้นเขาก็ไปเอาไม้จากบ้านของสุนัขเพื่อมาใช้เป็นฟืน แล้วเราก็นั่งผิงไฟด้วยกันเงียบๆ โดยไม่พูดคุยอะไรกันอีกเลย



คันนี้หรือเปล่านะ ที่เอาไปลุยฝน



Heifetz เป็นคนที่เชื่อถือในเรื่องของโชคลาง เขาสอนให้ฉันตอกเกือกม้าที่กำแพง เพราะเชื่อว่ามันจะทำให้ความโชคดีอยู่กับเรา ส่วนในรถของเขาก็มีห้อยเหรียญ St.Chirtopher ซึ่งเขาเชื่อว่าจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้


แต่สำหรับเรื่องความเชื่อทางศาสนาแล้ว เขาไม่เคยเข้าร่วมองค์กรทางศาสนาใดๆ แต่กลับยึดมั่นในประเพณีต่างๆของชาวยิว นอกจากนี้เขายังคิดว่าคำสอนต่างๆสามารถยืดหยุ่นได้


ที่บ้านที่มาลิบูก็มีเกือกม้าตอกอยู่ที่รั่วเช่นกัน ประตูบ้านที่นี่ มี 2 บาน คือประตูเล็กสำหรับคนเดิน และประตูใหญ่สำหรับรถ


ประตูเล็กจะมีโซ่สั้นๆคล้องไว้ซึ่งใส่กลอนล็อคจากด้านในเสมอ ซึ่งหากฝนตกแล้วกลอนเกิดฝืดทำให้เปิดไม่ออก แขกที่มาเยือนจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ ปีนรั้ว หรือไม่ก็ขอเพื่อนบ้าน เพื่อเดินผ่านทางทะลุ เพื่อไปเข้าบ้าน Heifetz ทางฝั่งชายหาด


แต่สำหรับแขกที่ไม่ได้นัดหมายไว้หรือว่านัดแล้วแต่ลืม ประตูจะถูกล็อคไว้เสมอ การตะโกนเรียกไม่มีประโยชน์อันใด เพราะเสียงคลื่นดังมากจนกลบเสียงอื่นๆหมด ส่วนการโทรศัพท์ไปที่บ้าน ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน เพราะ Heifetz มีโทรศัพท์เพียง 1 เครื่องในห้องนอนของเขา ซึ่งเป็นเบอร์ส่วนตัวที่มีเพียงเลขาของเขา หรือคนที่สนิทกันจริงๆเท่านั้นที่จะรู้ว่ามีโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่ แต่อันที่จริงแล้วโทรศัพท์เครื่องนี้ มีไว้ให้เขาติดต่อกับโลกภายนอก มากกว่าที่จะให้โลกภายนอกติดต่อเขา


แต่หากแขกที่ไม่พึ่งประสงค์ หรือ แขกที่ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปยังไง ยังคงพยายามจะไปพบเขา โดยการปีนข้ามรั้วสูงๆนั้น พวกเขาก็จะพบกับสิ่งที่ Heifetz เตรียมไว้ในยามฉุกเฉิน นั่นคือ ถังไม้ ซึ่งข้างในมีกระป๋องขยะบรรจุอยู่ ซึ่งก็แข็งแรงพอที่จะช่วยให้แขกสามารถขึ้นไปเหยียบและลงสู่พื้นดินได้อย่างปลอดภัย


แต่แม้ว่าแขกจะสามารถผ่านด่านแรกเข้ามาได้แล้ว บ่อยครั้งก็ต้องงุนงงหลงทาง ว่าจะเข้าไปที่บ้านได้อย่างไร เพราะจะมีเพียงทางแคบๆ ซึ่งดูเหมือนเขาวงกต ที่ถูกกั้นด้วยรั้วสูงๆ

ทางนั้นเป็นทางเดียวที่จะเดินไปบ้านเขาได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาวาดลูกศรชี้บอกทางไว้ที่กำแพง ซึ่งหากเดินตามลูกศรนั้น ก็จะสามารถหาทางเข้าบ้านได้แล้ว แต่แขกส่วนใหญ่มักจะหลงทางกันทุกคน และมาบ่นทุกครั้งหลังจากเจอะ Heifetz ซึ่งเจ้าตัวเองก็จะตอบด้วยความชอบใจว่า “ยังไงคุณก็มาถึงแล้วนิ”



ไฮเฟต กับ ภรรยา


ในบริเวณบ้านส่วนใหญ่เป็นปูน แต่ก็ยังมีมุมจัดสวนเล็ก ซึ่ง Heifetz ชอบมาก เขาชอบต้นไม้และง่วนกับการตัดแต่งสวนเป็นเวลาหลายชั่วโมงเวลาที่เขาอารมณ์ดี


ในสวนที่บ้านพักตากอากาศนี้ จะมีศาลาพักผ่อนอยู่ ที่นั้นนอกจากมีเก้าอี้พักผ่อนและหมอนอิงแล้ว ยังมีโต๊ะปิงปองเก่าๆตั้งอยู่ 1 ตัว แถมมีหลายจุดที่ลูกไม่เด้งแล้ว ซึ่งที่จริงมีคนซื้อโต๊ะปิงปองตัวใหม่เป็นของขวัญวันเกิดให้เขา แต่เขากลับไม่ยอมใช้มัน และยืนยันจะใช้เจ้าตัวเก่าเนี่ยหล่ะ //ฮ่า่ฮ่าฮ่า


Heifetz ชอบตีปิงปองมากๆ แม้แต่อพาร์ทเม้นต์ที่นิวยอร์ก เขาก็มีโต๊ะปิงปองเช่นกัน และชอบชวนให้ นักเรียนมาเล่นด้วยกัน โดยเฉพาะนักเรียนชาวเอเซียที่ส่วนใหญ่จะตีปิงปองเก่งๆกันทั้งนั้น บางทีก็จัดการแข่งขันส่วนตัวให้นักเรียนเล่นกันด้วย


นอกจาก Heifetz จะเป็นคนที่มีความสุขเมื่ออยู่ใกล้น้ำแล้ว เขายังชอบดูพระอาทิตย์ตก และชอบดูพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเขาจะคอยตรวจดูปฏิทินเสมอว่าวันไหนพระจันทร์จะเต็มดวงบ้าง และเพื่อที่เขาจะได้ชมพระจันทร์อย่างมีความสุข โดยที่ไม่มีการรบกวนจากแสงไฟฟ้า เมื่อถึงคืนนั้น เขาจะส่งให้ฉันไปหาเพื่อนบ้าน เพื่อขอให้พวกเขาดับไฟนอกบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี



------------------------------------จบบทที่ 7------------------------------


ปล. เรื่องของ Heifetz นี้ ไม่ได้แปลจากหนังสือทั้งหมด หนังสือสนุกและมีรายละเอียดเยอะมากๆ จขบ แค่อ่านๆแล้วมาเล่าๆรีวิวให้ฟังนะคะ ตัวเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการแปลหนังสือ และภาษาก็ไม่ได้แข็งแรงอะไร ดังนั้นหากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยค่ะ



Create Date : 05 เมษายน 2552
Last Update : 21 เมษายน 2552 10:47:58 น.
Counter : 941 Pageviews.

0 comments
I Will Whisper Your Name - Michael Johnson ... ตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 349 tuk-tuk@korat
(9 เม.ย. 2567 13:36:56 น.)
ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 349 "วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร โปรดมองมาทางนี้ เธอจะเห็นใ สมาชิกหมายเลข 7915129
(8 เม.ย. 2567 20:40:30 น.)
:) peaceplay
(4 เม.ย. 2567 08:14:28 น.)
fellow fellow - หน้าที่ของน้ำตา feat. FREEHAND peaceplay
(4 เม.ย. 2567 00:02:21 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vitaminc.BlogGang.com

Vitamin_C
Location :
Pasadena  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]