กว่าจะได้มาเมืองนอก การเตรียมภาษาอังกฤษ ตอน 3
หลังจากพอมีความรู้ Grammar พื้นฐานมากขึ้นแล้ว ก็พอดีกับเป็นช่วงที่ผมได้รับทุนแล้วด้วย ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า รัฐจะให้ตังค์ค่าเรียนค่ากินอยู่กับเราแน่ ถ้าเรามีปัญญาหาทางสมัครเรียนต่อใน ม ต่างประเทศจนเค้ารับเราเข้าเรียน เงื่อนไขของทุนมีอยู่ว่า เราต้องมีผลภาษาถึงระดับขั้นต่ำที่ทุนกำหนดไว้ คือ IELTS 5.5 หรือ TOEFL 550 Paper Base ไปยื่นให้ กพ ภายใน 1 ปี และเราต้องเดินทางไป ตปท ภายใน 2 ปีนับจากวันที่ประกาศว่าเราได้รับทุน ตอนนี้ผลภาษาอังกฤษจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ผมจึงสมัครเรียนภาษาต่อที่สถาบันเดิม คราวนี้ได้เรียนในหลักสูตรเตรียมสอบ IELTS โดยตรงแล้ว



การเรียนใน course ที่ 2 นี้ มีเพื่อน นร ทุนรุ่นเดียวกันมาเรียนด้วย 1 คน แล้วก็มีน้องๆ นศ จากจุฬา มธ เกษตร ที่เตรียมไปเรียนต่อเหมือนกันมาร่วมชั้นเรียนอีกเกือบ 10 คน แต่ถือได้ว่าการเรียนคราวนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าไหร่นัก เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างจะเหวี่ยงแห เรียนเรื่องฟังบ้างแล้วข้ามไปเขียน ไปอ่านบ้าง แถมในการเรียนเป็นการเน้นการใช้ทักษะ มากกว่าการเรียนเทคนิคหรือใช้ทริคในการทำข้อสอบ ดังนั้น 50 ชั่วโมงเรียนคราวนี้ โดยส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่


แต่ผมก็ใช้ทรัพยากรของ รร ให้เต็มที่ เข้าไปฝึกฟัง Listening บ่อยๆ และเขียน Essay ส่งทุกวัน แม้คนตรวจจะไม่ค่อยตรวจให้ก็ตาม แต่ก็ส่งบ่อย ๆ เน้นเขียนเยอะ ๆ แต่ทักษะที่ได้ฝึกอย่างจริงจังน้อยที่สุดคือ Speaking เพราะผมคิดว่าปัญหาหลักตอนนี้ที่ฝึกยากที่สุดคือ Writing เพราะเราเขียนไปแล้ว จำเป็นต้องมีคนตรวจ เราถึงจะรู้ข้อผิดพลาดของเราได้ และถ้าได้เจ้าของภาษา ยิ่งถ้าเป็นกรรมการสอบ IELTS ตรวจเอง จะยิ่งดีมาก


หลังจบหลักสูตรนี้แล้ว ผมก็ลงเรียนเฉพาะ Writing for IELTS ต่ออีก 30 ชม การลง course นี้นับว่าโชคดีและเป็นประโยคมาก เพราะคนสอน อ. Richard แกให้ Pattern สำเร็จรูปในการเขียนมาเลย ทำให้เรารู้ว่าเราต้องเขียน Introduction อย่างไร ส่วน Body อย่างไร Conclusion อย่างไร ผมทำการบ้านหัดเขียนแทบทุกวัน ใช้ Pattern ที่ได้มา ทำให้เราประหยัดเวลาในการเขียนไปมาก แม้จะไม่แน่ใจว่ามีคนใช้ Pattern แบบเดียวกันในการสอบเยอะไหม กรรมการจะรู้และกดคะแนนเราหรือไม่


ขออธิบายเรื่องการเขียนนิดนึง การสอบ Writing ใน IELTS จะมี 2 Tasks อันแรกจะเป็นการบรรยายกราฟ ให้เขียนยาวประมาณ 150 ส่วนที่สองจะเป็นการเขียน Essay แสดงความคิดเห็น ประมาณ 250 คำ ทั้งสองส่วนให้เวลา 1 ชม. Task2 จะมีสัดส่วนคะแนนมากกว่าและยากกว่า TasK1


หลักในการเขียนที่ดี คือการอธิบายสิ่งที่เราคิดออกมาเป็นประโยคภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อความคิดของเราออกมาได้ ประโยคที่ดีสำหรับผมคือประโยคที่กระชับ และไม่ซับซ้อน เพื่อลดความผิดพลาดในการเขียน และสำหรับ IELTS ใน Task2 ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความคิดเห็นของเรา ประโยคที่ผมใช้จะเป็น Present Simple Tense ง่ายๆ ไม่ต้องมีโครงสร้างซับซ้อน เพราะเรายังไม่เชี่ยว Grammar พอ แต่พยามวางประโยคให้ถูกว่าต้องมีประธาร กริยา กรรม ถ้าประธานหรือ กรรมต้องใช้เป็น clause เราก็ค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนทีละส่วนไป แต่เน้นโรงสร้างเรียบง่ายเป็นหลัก


ส่วนคำศัพท์ นึกคำไหนไม่ออกเราก็เปิดดิก หรือนึกออกแต่คำภาษาไทย ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษใช้อะไร ก็เปิดดิกหา ซึ่งพอใช้บ่อยๆ เราจะรู้แนวการเขียนของเราเอง และเริ่มจะสะสมคลังศัพท์สำหรับใช้ในการเขียนของเราได้แล้ว ในการเขียนครั้งต่อ ๆ ไป เราจะใช้ศัพท์เดิมๆ เหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเพียงพอที่จะใช้อธิบายสิ่งที่เราต้องการจะสื่อได้ และไม่จำเป็นต้องเปิดดิกอีก นอกจากนั้นก็ดูตัวอย่างการเขียนที่ได้คะแนน Band ต่างๆ มาประกอบ เพื่อศึกษาข้อผิดพลาดและข้อดีของคนอื่นที่เขียนไว้ จำรูปประโยคสวยๆ บางอันไว้ใช้บ้าง



การหัดเขียนครั้งแรกๆ ในการเขียน 1 Essay ผมใช้เวลามากกว่า 3 ชม. เมื่อเริ่มเข้าที่แล้ว เวลาก็ลดลงเรื่อยๆ จนสามารถเขียน 300 คำในเวลา 30 นาทีได้ ซึ่งกว่าจะถึงขั้นนี้ ผมต้องหัดเขียน Essay Task 2 มามากกว่า 50 ชิ้น แต่ส่งการบ้านทีไร ฝรั่งตรวจเสร็จก็แก้กลับมาทุกที สะกดผิดมั่ง เขียนไม่รู้เรื่อง ใช้ศัพท์ไม่เหมาะสม หรือผิด Grammar มั่ง สรุปคือการเขียนยังไม่ดีพอ แต่ส่วน Writing นี่ผมตั้งเป้าแค่ได้ 6.0 ก็พอใจแล้ว เพราะคิดว่านี่คือส่วนที่ผมจะมีปัญหามากที่สุด



นอกจากการเขียน ที่ต้องฝึกอีกคือการอ่าน วิธีฝึกมีอย่างเดียวคืออ่านมาก ๆ หัดทำข้อสอบเยอะๆ ผมไป search หาตัวอย่างข้อสอบหรือหนังสือคู่มือสอบ รวมทั้งตัวอย่างข้อสอบ IELTS มาตุนไว้เยอะมาก บางอันง่ายกว่า IELTS จริง บางอันยากกว่าข้อสอบจริงมาก เราก็ทำมันทุกอัน



วิธีการฝึกคือทำเยอะ ๆ ทำไปทุกอัน ทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จับเวลาในการทำ ทำเสร็จแล้วดูเฉลย แล้วเอา Article ที่ทำไปแล้ว มาอ่านใหม่ให้ละเอียดให้เข้าใจ เพราะเราจะได้รู้ว่าเราผิดตรงไหน เปิดดิกดูศัพท์ทุกคำที่เราไม่รู้ จะจำได้ไม่ได้ช่างมัน แต่ต้องเปิด แล้วมันจะค่อยๆ ได้ศัพท์เพิ่มเอง ดังนั้น ในการฝึกแต่ละครั้ง เวลาที่ใช้ในการทดลองทำข้อสอบจะไม่เยอะ แค่ 1 ชั่วโมง แต่จะใช้เวลาในการสรุปหาข้อผิดพลาดของเราเยอะกว่านั้นมาก บางครั้ง 2-3 ชั่วโมงเลย แต่ก็ทำให้การอ่านเราพัฒนาได้เร็ว ผมตั้งเป้า reading ของตัวเองไว้ที่ Band 6.5-7


การเรียนภาษา เป็นเรื่องของทักษะ ไม่ใช่ความฉลาด ใครฝึกมากก็ได้มาก ฝึกน้อยก็ได้น้อย เรียนอย่างเดียวแต่ไม่ฝึก ทักษาะย่อมไม่พัฒนาครับ



Create Date : 06 มกราคม 2553
Last Update : 6 มกราคม 2553 19:23:56 น.
Counter : 1871 Pageviews.

3 comments
แกงเห็ดอนาถา เห็ดผึ้งสวีเดน สวยสุดซอย
(30 เม.ย. 2567 13:56:43 น.)
กงสุลใหญ่สมใจ ตะเภาพงษ์“ร่วมฉลองสงกรานต์ปีใหม่ไทยในไทม์สแควร์” newyorknurse
(17 เม.ย. 2567 02:18:24 น.)
ขีดเพดานค่าใช้จ่ายสูงด้านการรักษาพยาบาล Högkostnadsskydd สวยสุดซอย
(16 เม.ย. 2567 18:52:34 น.)
คุย โอพีย์
(13 เม.ย. 2567 21:51:16 น.)
  
Wow I am really appreciate ka you are working so hard with ur english study. You did very well ka and I very agree that u said Study english have to use practice then skill will follow up It does not depence with how u clever Very good ka.
โดย: KIWI GIRL วันที่: 7 มกราคม 2553 เวลา:7:40:42 น.
  
fighting ka ^^
โดย: >> กาแฟใส่เกลือ << วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:22:12:37 น.
  
อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจให้ตัวเองค่ะ ^^
โดย: BB IP: 203.156.27.40 วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:11:10:43 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vijak.BlogGang.com

ประกอบ
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]

บทความทั้งหมด