กว่าจะได้มาเมืองนอก การเตรียมภาษาอังกฤษ ตอน 2
คราวนี้ถึงเวลาต้องเรียนภาษาอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว ก่อนอื่นคือเรื่องของการหาที่เรียน


การหาที่เรียน เราต้องเริ่มจากการตั้งเป้าก่อนว่าเราจะไปเรียนต่างประเทศที่ไหน ซึ่งหลัก ๆ ของคนไทยก็คืออเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ ผมตั้งเป้าจะไปอังกฤษ เพราะอยากท่องยุโรป เมื่อจะไปอังกฤษ ระบบการสอบวัดผลที่นิยมกันก็คือการสอบ IELTS ระบบการสอบ วิธีการสอบ และการให้คะแนนจะไม่เหมือนกับ TOEFL ของทางอเมริกา แต่จากการสอบถามคนอื่นๆ เค้าว่าสอบ IELTS ง่ายกว่า ซึ่งจริงหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ แต่เมื่อจะไปอังกฤษก็สอบไอ้นี่แหละวะ


เมื่อจะสอบ IELTS เราก็ต้องหาสถาบันที่สอนสำหรับการสอบ IELTS โดยตรง ผมก็เปิดเวบหาหลายๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็น British Council, IDP และสถาบันอื่นๆ ดูของ BC กับ IDP แล้ว ที่เรียนสยาม แล้วตามหลายๆ วเบบอร์ดบอกว่างั้น ๆ เลยหาที่อื่น ก็ไปเจอที่นึง New Cambridge แถวชิดลม หลักสูตรเค้าดีรึเปล่าเราไม่รู้หรอก แต่เค้ามีตัวอย่างคนสอบได้ Band 6.5 มั่ง 7 มั่งมาโชว์ ดูแล้วน่าเชื่อถือ ลืมคิดไปว่าพวกที่ได้คะแนนดีๆ เค้าอาจจะเก่งภาษามาก่อนแล้ว


แต่ที่สำคัญ ช่วงที่ดูเว็บ ที่นี่เค้ากำลังจะจัดสัมมนาแนะนำเรื่องการสอบ IELTS ที่สำคัญกว่า เค้าบอกว่า ใครที่เข้าร่วมสัมมนา จะได้รับแจก Voucher สำหรับทำ Placement test เพื่อวัดระดับก่อนการเรียนภาษาฟรี ที่สำคัญ มีรายการตอบปัญหาชิงรางวัลส่วนลด 20% ในการเรียนด้วย ไม่รอช้า ผมก็รีบจองไป แล้วก็ไปสัมมนา



วันสัมมนา คนอื่นๆ นี่เด็กๆ ทั้งนั้น มีเรานี่แหละแก่งั่กที่สุด แต่ก็ดีครับ ได้ Voucher สอบ Placement Test มาก่อนแล้ว 1 ใบ ส่วนช่วงตอบคำถาม อาศัยความหน้าด้าน ชิงยกมือตอบกับเค้าด้วย เค้าคงเกรงใจตาแก่นี่ เลยให้ตอบ จำไม่ได้แล้วเค้าถามอะไร แต่สุดท้ายก็ได้คูปองส่วนลดมาอีกใบ ถ้าเรียนที่นี่แน่ จะประหยัดได้สองพันกว่าบาทแน่ะ



จากวันนั้น ผมก็นัดเพื่อไปสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เพื่อที่เค้าจะให้เราเข้าเรียนใน class ที่เหมาะกับระดับความสามารถทางภาษาของเราขณะนั้น การสอบ เค้าจะให้เราอ่าน Article แล้วตอบคำถาม จากนั้นให้เขียน Essay สั้นๆ แล้วไปคุยกับฝรั่งเพื่อประเมินขีดความสามารถด้านภาษา แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งครับ หลังทำ test เสร็จ ผมได้เรียนหลักสูตรแรกสุดสำหรับพวกภาษาอ่อนสุดๆ ซึ่งเป็นระดับของการปูพื้นก่อนเท่านั้น ถ้าจะเรียนจบจบ course IELTS โดยตรง จะต้องเรียนอีก 2-3 ระดับโน่น



จากนั้นก็เรียนไป ความสามารถทางภาษาก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากในการเรียน เรามีโอกาสได้ใช้ภาษามากขึ้น ทั้งการพูด ผลการการเรียน 50 ชม แรก ผมว่าผมไม่ค่อยได้ความรู้ทางภาษาที่จะนำไปใช้ในการสอบเท่าไหร่นัก เค้าไม่ได้สอน Grammar พื้นฐานให้เรา แต่เปิดโอกาสให้เราได้ใช้ภาษามากกว่า ซึ่งมันทำให้เราตระหนักได้ว่าภาษาเราแย่ขนาดไหน และเรามีจุดอ่อนตรงไหนที่ต้องรีบปรับปรุงบ้าง เช่นผมลองทำข้อสอบ Listening ที่โรงเรียนภาษาดู ผลคือทำถูก 4 ข้อจาก 40 ข้อเท่านั้น และได้เขียน essay ส่งให้เค้าตรวจวันละชิ้น ซึ่งผลการประเมิน essay ที่ผมส่งไป อยู่ที่ระดับ 4-4.5 เท่านั้น แปลง่ายๆ ว่า เขียนได้ห่วยมาก แต่เราก็ฝึกเขียนต่อไป ส่วนการอ่านไม่มีปัญหามากนัก แต่ในการเรียนผมค่อนข้างขยันพอสมควร ทำการบ้านทุกวัน หลังเรียนจบมีการ test คล้ายการสอบ IELTS จริง ผลคือพอถูไถ ถ้าเรียน course ต่อไป เค้าให้ข้ามไปเรียนระดับเดียวกับพวกเตรียมสอบ IELTS โดยตรงได้เลย จะประหยัดตั้งค์ได้อีก



แต่จุดที่สำคัญของการเรียนภาษาจริงๆ แล้ว คือการฝึกทักษะในการใช้งาน เมื่อเราเห็นจุดอ่อนของเราแล้ว ว่าในการเขียน นั้น ความรู้ Grammar ของเราอ่อนแอมากสุด ทำให้ไม่สามารถเขียนประโยคภาษาอังกฤษที่ถูกไวยกรณ์ได้ ก็ต้องกำจัดจุดอ่อนการ โดยการเพิ่มความรู้ทาง Grammar ซะ ผมจึงเลือก shopping หนังสือ Grammar ก่อนหน้ามีหนังสือ Grammar เขียนโดยคนไทยที่ซื้อมาแล้ว แต่อ่านทีไรก็หลับ คราวนี้จึงเลือกซื้อ Oxford Practice Grammar ครับ ซึ่งจะมี 3 ระดับ ผมซื้อครบทั้งสามระดับ แต่อ่านจริงๆ แค่สองระดับแรกเท่านั้น ใครอยากฝึกภาษา แนะนำชุดนี้ครับ ซื้อแค่เล่มแรกหรือเล่มสองด้วยก็ได้ถ้างบพอ ก็เพียงพอต่อการสอบภาษาแล้ว เพราะแต่ละเล่มค่อนข้างแพงมากครับ





หลังจากซื้อมาแล้ว เราก็ตะลุยอ่านและทำโจทย์ครับ ผมเพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่า have to แปลว่าจำป็นต้องต้อง หรือ used to แปลว่าเคย แห่ะๆ อ่อนมากจริงๆ นะเนี่ย
ข้อดีของหนังสือชุดนี้คือ

1 เป็นภาษาอังกฤษครับ ทำให้เราได้ฝึกใช้ภาษาไปด้วย

2 มีตัวอย่างสถานการณ์ต่างๆ ให้รู้ว่า tense หรือไวยกรณ์ต่างๆ ใช้อย่างไรและในกรณีไหน ค่อยๆ ฝึกไปทีละขั้นทีละไวยกรณ์

3. นอกจากนี้ยังมีแบบฝึกหัดง่ายๆ ให้เราทำ ซึ่งตรงนี้จำเป็นมาก เพราะจะช่วยให้เราจำไวยกรณ์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และเนื่องจากมันง่าย เราจึงไม่เสียกำลังใจในการทำและฝึกครับ

4. ภาพประกอบสวย กระดาษดี ดูแล้วไม่เบื่อครับ


ผมใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการอ่านหนังสือชุดนี้สองเล่ม และทำแบบฝึกหัดทุกอัน ซึ่งทำให้ความรู้ด้าน grammar ของเราเพิ่มขึ้น แม้จะไม่แม่นยำ ไม่สามารถเขียนประโยคสวยๆ ได้ แต่อย่างน้อย เราจะสามารถเขียนประโยค Basic ได้แล้ว


จากการอ่านและฝึกทำไวยกรณ์ ทำให้ความรู้ภาษาดีขึ้นมาก ได้ประโยชน์มากเมื่อเทียบกับการเรียนที่โรงเรียนภาษาอย่างเดียว แต่นี่เพิ่งเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้นครับ



Create Date : 20 ธันวาคม 2552
Last Update : 20 ธันวาคม 2552 1:01:48 น.
Counter : 6832 Pageviews.

7 comments
ยินดีกับทีมแกะสลักหิมะไทยแลนด์🇹🇭 ในการประกวดแข่งขันแกะสลักหิมะคว้ารองแชมป์ newyorknurse
(22 มี.ค. 2567 03:02:03 น.)
รันโดะเซหรุ กระเป๋านักเรียนชั้นประถม (ランドセル) SN_monchan
(12 มี.ค. 2567 09:33:04 น.)
เนื้อหางานแม็คโดนัลที่ปัจจุบัน SN_monchan
(10 มี.ค. 2567 07:26:50 น.)
เนื้อหางานที่แม็คโดนัล (ที่แรก) SN_monchan
(10 มี.ค. 2567 06:28:02 น.)
  
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้ค่ะ

นี่ก็เพิ่งเริ่มอ่านเหมือนกันค่ะ
โดย: นาฬิกาสีชมพู วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:4:43:08 น.
  
[ กดเบาๆนะจ๊ะ ]
[ กดเบาๆนะจ๊ะ ]


เป็นกำลังใจให้ค่ะ
โดย: debry วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:5:09:52 น.
  
กว่าจะมีวันนี้ไม่งายเลยนะคะเพราะฉะนั้นตั้งใจให้มากค่ะ
โดย: chabori วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:10:52:50 น.
  
Sawasdee from Newzealand ka nise to meet u naka khun Prakob.My english not very good same is ur ka But I like to leran na I like to read your blog ka it is funny After I read ur blog make me want to do master degree again.I belive thai people clever ka555
สูู้สูู้นะค่ะเอาใจช่วยค่ะ
โดย: KIWI GIRL วันที่: 7 มกราคม 2553 เวลา:4:53:19 น.
  
เดี๋ยวจะลองหาซื้อมาอ่านมั่งค่ะ
โดย: gieyewon วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:23:39:40 น.
  
ยกนิ้วให้กับความพยายามค่ะ ^^
โดย: BB IP: 203.156.27.40 วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:11:01:47 น.
  
กดไลค์ให้เลยคับ
โดย: zzz IP: 58.10.109.31 วันที่: 12 กรกฎาคม 2557 เวลา:23:40:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vijak.BlogGang.com

ประกอบ
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]

บทความทั้งหมด