..โรคลำไส้ใหญ่../ Diverticula
ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจาก การรับประทานอาหาร ที่มีกากอาหารน้อย
จึงทำให้ระบบการขับถ่าย ทำงานช้าลง และยังดื่มน้ำไม่เพียงพอให้กับร่างการ ในแต่ละวัน


ระบบทางเดินอาหาร

หน้าที่ และระบบการทำงานของ ลำไส้ใหญ่

ลำไส้ใหญ่ เป็นอวัยวะ ที่เปรียบเสมือนกระโถนท้องพระโรง คือ รองรับกากอาหารที่ร่างกายไม่ต้องการ
เพื่อรอการกำจัดออก ในรูปของอุจจาระ มีลักษณะทางกายวิภาคเป็นท่อกลวง ที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อยาวประมาณ 5 ฟุต
เริ่มจากท้องน้อย ด้านขาว ไปตามขอบของช่องท้อง ขึ้นไปใต้ตับ แล้วพาดผ่านใต้ลิ้นปี่ ไปสู่ชายโครงซ้าย
เพื่อเลี้ยวลงตามขอบ ของช่องท้องด้านซ้าย ลงไปทางช่องเชิงกราน แล้วจึงออกทาง ช่องทวารหนัก



เมื่อลำไส้เล็ก ได้ทำการดูดซึมสารอาหาร จากอาหารที่เรารับประทานลงไป ในแต่ละมื้อแล้ว
ส่วนที่ยังเป็นกากอาหารเหลว และที่เหลืออยู่จะผ่านลำไส้เล็ก เข้าสู่ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ลำไส้ใหญ่จะทำหน้าที่ดูดซึมน้ำ
และเกลือแร่ ที่ยังคงเหลืออยู่ ในกากอาหารนั้น เพื่อทำให้กากอาหาร แห้งลงจนเป็นอุจจาระ

ลำไส้ใหญ่ แม้จะถือว่าเป็นส่วนปลายของทางเดินอาหาร แต่จริงๆ แล้วจะเห็นว่ามันแทบไม่มีหน้าที่ ในการย่อยอาหารเลย
กล้ามเนื้อที่อยู่บนผนังลำไส้ใหญ่จะค่อย ๆ หดตัวเป็นคลื่นเป็นจังหวะ เพื่อบีบไล่อุจจาระไปตามโพรงลำไส้ใหญ่
ในขณะที่ผนังลำไส้ ทำหน้าที่ดูดซับน้ำ และเกลือแร่ไปตลอดทาง


โรคลำไส้ใหญ่ที่พบบ่อย ๆ

1. เนื้องอก (Tumors)

การเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติ เรียกว่า เนื้องอก หรือทูเม่อ (Tumor) ซึ่งที่ลำไส้ใหญ่มักจะเป็นเนื้อร้าย หรือมะเร็ง
หากปล่อยทิ้งไว้ จะเจริญเติบโต และลุกลามไปผนังส่วนต่างๆ ของร่างกาย มะเร็งมักจะค่อยๆ เจริญเติบโต
ใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรากฏอาการ การรักษาจะมีโอกาส หายขาดได้มากถ้าตรวจวินิจฉัยได้ตั้งแต่เริ่มเป็น หรือก่อนมีอาการ

2. เนื้องอกโพลิป (Polyps)

เป็นเนื้องอก ที่ผนังด้านในของลำไส้ใหญ่ มีขนาด และรูปร่างต่างๆ กัน ตั้งแต่เม็ดถั่ว ไปจนเท่าเห็ด ถ้ายังมีขนาดเล็กๆ
โดยมากจะไม่เป็นเนื้อร้าย แต่ถ้าขนาดใหญ่ๆ แล้วโอกาสกลายเป็นมะเร็งมีมาก
อาการที่โพลิป อาจก่อขึ้นได้ มีตั้งแต่ ไม่มีอาการ ไปจนถึงเลือดออก, ปวดมวนท้อง หรือท้องผูก โดยมากถ้ามีอาการรุนแรง
หรือถ้าโพลิป มีขนาดใหญ่หมอ มักจะแนะนำให้ตัดออกเสีย


3. ติ่งถุงเนื้อ (Diverticula)

ถ้าหากมีแรงดันภายในโพรงลำไส้สูงขึ้น เนื่องจากท้องผูก หรือมีลมในลำไส้ใหญ่ค้างอยู่มาก จะทำให้เกิดแรงดัน
ผนังลำไส้ใหญ่ออกไป จนเกิดเป็นติ่งเป็นถุงเนื้อโผ่ลออกไป ทางผิวลำไส้ใหญ่ เรียกว่า "ไดเวอร์ติคูลา" (Diverticula)



ซึ่งเวลามีหลายๆ อันก็รวมเรียกว่าโรค "ไดเวอร์ติคูโลสิส" (Diverticulosis)
ปัญหาจะเกิดขึ้น เมื่อมีอุจจาระ ไปค้างอยู่ในโพรงติ่งถุงเนื้อเหล่านี้ จนเกิดการติดเชื้อ
และอักเสบรุนแรงเรียกว่า "ไดเวอร์ติคูไลติส" (Diverticulitis)
ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดท้องน้อย โดยมากด้านซ้าย มีไข้ และท้องผูก

อ้างอิงที่มา :wikipedia
//en.wikipedia.org/wiki/Diverticulosis

...........................................................

..ส่วนใหญ่จะสังเกตุได้ว่า คนที่พุงยื่น หรือมีหน้าท้องยื่นออกมาผิดปรกติ ซึ่งสาเหตุมิได้มาจากโรคอ้วน
อาจเป็นหนึ่งสาเหุตที่ระบบการทำงาน ของลำใส้ใหญ่ทำงานผิดปรกติ เนื่องจากท้องผูก ระบบการขับถ่ายไม่ดี

หากเป็นเช่นนั้น ควรดื่มน้ำเยอะๆ ในแต่ละวัน และรับประทานอาหารประเภท ผัก ผลไม้ ที่มีกากอาหาร หรือไฟเบอร์ สูง
และอีกวิธีคือ การนวดลำใส้ใหญ่ และลำใส้เล็ก เพื่อช่วยขับลมในลำใส้ใหญ่
- ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องผ่อนคลาย
- ช่วยให้ระบบการขับถ่าย ทำงานปรกติ
- ช่วยกระตุ้นระบบการทำงาน ของต่อมน้ำเหลืองได้ดีขึ้น
- และยังช่วยลดปัญหาอาการท้องผูกอีกด้วย

วิธีการนวด กล้ามเเนื้อหน้าท้อง และลำใส้

1. นอนหงายราบกับพื้นเรียบ เปิดผ้าบริเวณหน้าท้อง ตั้งแต่ช่วงใต้ลิ้นปี่ หรือขอบซี่โครง
( ใต้ราวหน้าอก ) จนถึงหน้ท้อง หรือบริเวณเหนืออุ้งเชิงกราน



2. ใช้เบบี้ออย ลูบๆ ลงที่บริเวณหน้าท้องที่เปิดผ้า แล้วใช้ฝ่ามือนวดหมุนเป็นวงกลม ช้าๆ
เริ่มวนไปทางขวาก่อน สัก 3 ถึง 4 รอบ

3. ใช้มือทั้งสองข้างวางทับซ้อนกัน และใช้ปลายนอ้วมือทั้ง นิ้ว กดลงที่กล้ามเนื้อหน้าท้อง ต่ำกว่าระดับซี่โครง
แล้วเลื่อนไปตามลำใส้ใหญ่ พอถึงช่วงลิ้นปี่ ให้ยกมือขึ้นลากเบาๆ แล้วมือกดลงนวดอีกตามลำใส้ใหญ่จนสุด
แล้วลากมือเบาๆ ตัดผ่านหน้าท้องน้อยมาอีกข้าง แล้วเริ่มใหม่ ทำเช่นนี้ประมาณ 3 ถึง 4 รอบ



4.ใช้สันมือตัดตามร่อง ( ริมซี่โครง ) วนไปอีกด้าน แล้วลากเบาำๆ ตัดผ่านมาอีกข้าง ทำเช่นนี้ประมาณ 3 ถึง 4 รอบ

5. หยิบ และยกกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้าง บริเวณเหนือเอวขึ้นมา และม้วนขึ้น ม้วนลง
และตวัดมือไปทางซ้าย และขวา ทำเช่นนี้ประมาณ 3 ถึง 4 รอบ
และทำซ้ำเช่นนี้กับกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้าง บริเวณเหนือเอวอีกข้าง



6.แล้วยกปลายนิ้วมือเกาะกล้ามเนื้ออีกด้านไว้ แล้วดึงกลับมา ( ห้ามยกมือค่ะ ใช้อุ้งมือ ผลัก ปลายนิ้วเกาะแล้ว ดึงกลับ )
ทำเช่นนี้ประมาณ 3 ถึง 4 รอบ



7. วางฝ่ามือทั้งสองข้าง ลงบนหน้าท้องอีกครั้ง แล้ว เขย่ามือ ให้สั่นๆ 10 วินาที
แล้วมือก็กวาดบริเวณหน้าท้อง เป็นอันเสร็จ ขั้นตอนการนวดค่ะ



( ข้อแม้ // ห้ามทำการนวดนี้ หลังจากรับประทานอาหาร 1-2 ชม. นะค่ะ )

.....ขอให้ทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ .....ด้วยความห่วงใย จาก :จขบ. .....
........................................................................................





Create Date : 05 กันยายน 2551
Last Update : 12 ธันวาคม 2554 0:48:04 น.
Counter : 6686 Pageviews.

2 comments
ห้องปฏิบัติการสวนหัวใจที่โรงพยาบาล Mount Sinai ได้นำเสนอผลเบื้องต้นของ Sofiya ซึ่งเป็นผู้ช่วย..... newyorknurse
(25 มิ.ย. 2568 06:26:23 น.)
Day..13 โฮมสเตย์ริมน้ำ
(24 มิ.ย. 2568 08:47:08 น.)
หน้าร้อน แตงโมหวาน แช่เย็น ชื่นใจจริงๆ / ประโยชน์ของแตงโม newyorknurse
(15 มิ.ย. 2568 19:29:21 น.)
WRB10 Fighting Stroke สนามเจริญสุขมงคลจิต แมวเซาผู้น่าสงสาร
(14 มิ.ย. 2568 14:50:56 น.)
  
ตั้งแต่ปวดท้องนิ่วมานี่ เดี๋ยวนี้ป้าลิเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องอหารการกิน และสุขภาพมากขึ้นเลยค่ะ เหมือนพวกวิตกจริตเลย เกิดกลัวตายขึ้นมาซะงั้น หุหุ

แผลตามร่างกายภายนอกจะดูแลง่ายกว่า แผลที่อยู่ภายในจริงๆ เพราะมันยากที่จะมองเห็น และเจ็บปวดทรมานมากกว่าด้วย เฮ้อ การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสิรฐ์จริงๆ ค่ะ



โดย: ป้ามะลิกับลุงมะระ วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:23:13:51 น.
  
ขอบคุณมากนะคะ
โดย: dog....bok bok วันที่: 22 กันยายน 2551 เวลา:19:56:21 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Upcountry2.BlogGang.com

ดอกหญ้าในดงผู้ดี
Location :
Dorset,  United Kingdom

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]

บทความทั้งหมด