แนวคิดที่ 2 : สังคมหน้ากาก แนวคิดที่ 2 : สังคมหน้ากาก สังคมทุกวันนี้มีแต่การหลอกลวง คนดีนั้นผิด...คนชั่วกลับลอยนวล ความดีเลือนหายไปความชั่วร้ายก้าวเข้ามาแทน ทำตัวเสแสร้ง....ซ่อนอยู่ในสังคม หน้ากากที่แสนดีปกปิดเงื่อนซ่อนงำไว้... ลึกๆข้างในคือสัตว์ร้ายที่โสมม ได้แต่มอง..ได้แต่ลุ้นให้คนอื่นเขาล้ม ได้แต่คิดภาวนาให้คนอื่นเขาล่มจม..นี่ล่ะหนาความระยำของมนุษย์ชน มันช่างวกวนซับซ้อนเงื่อนงำ..แต่คนที่ไม่ขำมันก็คือพวกเรา เพราะเราน่ะรู้ว่าใต้หน้ากากใบนี้น่ะ..มันไม่จริง นี่เป็นหนึ่งในถ้อยคำของผู้สร้างสรรค์งานเพลงนิรนามที่ขับขาน บอกกล่าวและเสียดสีประชดประชันสังคมที่กำลังฟอนเฟะในปัจจุบัน สังคมที่มนุษย์ชนทุกหมู่เหล่ากำลังหันหน้ากากสีสันสวยงาม และรอยยิ้มสดใสที่ประดับประดาไปด้วยสิ่งจอมปลอมที่ถูกเรียกกันว่า คุณธรรม สวมทับกันลงไปบนใบหน้าที่กำลังมีหนอนชอนไชไม่ต่างไปจากซากเน่าที่ตายแล้ว! เมื่อเราหยุดยืนนิ่งท่ามกลางฝูงชนที่เดินสวนไปมาอย่างเร่งรีบและจอแจรอบๆตัวแล้ว ลองทำใจให้นิ่งสงบและลองใช้สายตาของเราพิจราณากวาดสายตาไปทางซ้ายและทางขวาอย่างช้าๆ และลองตรึกตรองอย่างเยือกเย็น เราจะเห็นคนบางคนหยุดยืนเพื่อทักทายคนรู้จักที่บังเอิญมาพบกันบนท้องถนนโดยมิได้นัดกันมาก่อน เราจะเห็นการหยอกเย้าเล่นหัว หัวเราะต่อกระซิก และเสียงหัวเราด้วยความพึงพอใจของบุคคลทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อคนทั้งสองหันหลังให้แก่กัน และออกก้าวเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามแล้วนั้นเราจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงภายใต้หน้ากากปรากฏออกมาอย่างชัดเจนราวกับพวกเขานั้นสามารถลอกเอาหน้ากากอารมณ์เมื่อซักครู่โยนทิ้งหายลับไปกับลมที่พัดผ่านมาอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มจะจางหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าและแววตาที่แสดงความรังเกียจเกลียดชัง ราวกับตัวเองพึ่งจะลงไปเกลือกกลั้วกับสิ่งที่สกปรกโสมมเกินกว่าจะสามารบรรยายได้ก็มิปาน พวกเขาจะเร่งรีบเดินหายลับไปในฝูงชนพร้อมสถบถ้อยคำน่ารังเกียจที่แสดงการเหยียดหยามอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบเกินกว่าที่คนอื่นที่เดินสวนมานั้นจะได้ยินได้อย่างชัดเจน แต่คนเหล่านี้ก็ยังคงอยู่มาในสังคมได้ทุกยุคทุกสมัย และมีวี่แววว่าจะสามารถขยายเผ่าพันธุ์ของเหล่ามนุษย์หน้ากากนี้ออกไปได้อย่างต่อเนื่อง และว่องไวเสียยิ่งกว่าแมลงสาปซะอีก จนปัจจุบันนั้นมนุษย์เราส่วนใหญ่แปรพักกลายเป็นพรรคพวกของคนเหล่านี้ไปจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว แต่สิ่งเลวร้ายที่สุดของตนจำพวกนี้หาใช่ใบหน้าที่ปกปิดไว้ภายใต้หน้ากากนั้นไม่ มันกลับกลายเป็นการสร้างกฎเกณฑ์ที่เอื้ออำนวยให้การหลบซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนั้นสะดวกสะบาย และมีอำนาจมากขึ้นต่างหาก กฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาถูกเรียกว่า กฎหมู่ ใจความสำคัญของกฎนี้ก็สั้นๆและเข้าใจง่าย เพราะมันหมายความว่าพวกมันนั้นอยู่เหนือ กฎหมาย และได้รับการยอมรับจากพวกนี้อย่างกว้างขวาง กล่าวคือ กากพวกนี้ส่วนใหญ่เห็นชอบในเรื่องใด สังคมทั้งสังคมจะต้องดำเนินไปในทิศทางที่พวกนี้ต้องการโดยที่มิอาจจะขัดขืนได้โดยชี้นำภายใต้คราบหน้ากากของนักบุญ หรือผู้นำที่ทรงเคารพและน่าเชื่อถือเป็นแกนนำสำคัญ แต่หากวันใดมีคนที่ไม่เห็นชอบด้วยแล้วปรากฏตัวออกมาชักจูงผู้อื่นให้เหวี่ยงหน้ากากของตนเองนั้นทิ้งไปแล้วนั้น พวกนี้ก็จะพยายามลบคนๆนั้นออกไปจากสังคมโดยไม่เกี่ยงวิธีการ ซึ่งหากไม่เอาด้วยเล่ห์ก็ต้องเล่นด้วยกลที่ขัดกับหลักศีลธรรม แต่ทำไม่เล่าคนเหล่านี้จึงยังคงลอยนวลอยู่ต่อไปในสังคมได้เรื่อยๆ จนแม้กระทั่งผู้ที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและพิพากษาของสังคมไม่สามารถแตะต้องเอาผิดพวกนี้ได้แม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งนานวันพวกนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้นในสังคม แผ่ขยายรากงอกงามชอนไชเข้าไปในสังคมทุกระดับ อาชีพทุกอาชีพและหยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของคนทุกหมู่เหล่าในสังคมเพื่อปลูกเมล็ดกล้าที่เรียกว่า หน้ากากลงลึกในจิตใจให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งดีแล้วหรือที่เราจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเฉยๆ โดยที่เราจะทำหน้าที่เพียงเป็นผู้เฝ้ามองดูสวนประกอบทางสังคมที่กำลังถูกทำลายลงไปทีละน้อยๆอย่างรวดเร็วอยู่ห่างๆเช่นนี้? หน้ากากใบหนึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญนั่นคือ รอยยิ้ม ยิ่งรอยยิ้มนั้นฉีกกว้างมากเท่าไหร่ หน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นก็ยิ่งจะจ้องฉีกกระชากเอาเอาเลือดเนื้อของผู้ที่หลงใหลไปกับหน้ากากเบื้องหน้ามากขึ้นเท่านั้น และยิ่ง แววตา ของหน้ากากแสดงรอยยิ้มมากเพียงใด ใต้หน้ากากนั้นๆก็ยิ่งจะเพ่งเล็งหาประโยชน์พร้อมโอกาสที่จะสามารถสูบเลือดสูบเนื้อจากคนที่เข้ามาใกล้ชิดมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งหน้ากากใบนั้นทาย้อมด้วย สีสันที่สวยงามวิจิตบรรจงซักเพียงไหนแล้วนั้น จิตใจภายใต้หน้ากากนั้นก็ยิ่งจะหยาบกร้านต่ำช้าตามไปด้วย... เหตุเพราะเช่นแหละจึงต้องพึงระวังบุคคลที่สวมหน้ากากที่แสนดีเข้ามาทักทายปราศรัยเพื่อหาผลประโยชน์ไว้ให้จงหนัก เพราะพวกนี้นั้นสามารถใช้เพียงรอยยิ้มซื่อๆ ถ้อยคำหวานๆ เชือดคอหอยของท่านให้ขาดวิ่น แล้วสูบเอาเลือดเนื้อจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกได้ในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจหลังจากที่หลงเชื่อคำพูดหวานแสลงหูพวกนั้น... แต่ซักวันหนึ่ง....เราก็หวังว่าคงมีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากฝูงชนเข้าไปกระแทกกับหน้ากากอันโสมมที่พวกนี้สวมใส่อยู่ให้แตกร้าว เผยให้เห็นเนื้อแท้ข้างในที่เต็มไปด้วยความชั่วนาๆประการที่สะสมไว้ และตอนนั้นล่ะที่มือที่ถูกเรียกว่าความยุติธรรมแห่งกฎหมายจะสามารถเอื้อมเข้าไปฉีกกระชากหน้ากากให้ขาดกระเด็นออกกลางสาธารณะชน ให้คนทุกหมู่เหล่าเห็นใบหน้าที่แท้จริงของผีร้ายซาตานในคราบมนุษย์ให้ประจักษ์แก่สายตาตนเอง แล้วล้วงเข้าไปล้วงสาวเอาไส้แห่งความเลวร้ายที่ทำไว้ในอดีตออกมาเป็นทอดๆ จนผีร้ายใต้หน้ากากตนนั้นหมดแรงและมอดไหม้เน่าสลายไปเองท่ามกลางการประณามจากสังคม.... ถึงมนุษย์หน้ากากจะฝังรากลึกลงไปในสังคมแล้วก็ตาม ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากหน้ากากและปฏิเสธสิ่งเย้าย่วนจากอภิสิทธิเหนือคนธรรมดามากมายของหน้ากากนั้นๆ พวกเขาสามารถยิ้มและหัวเราะได้ด้วยรอยยิ้มที่สดใสกลั่นออกมาจากใจได้จริงๆ และสามารถอยู่ได้ด้วยความจริงใจปราศจากสิ่งตอบแทน คนเหล่านั้นเป็นคนที่น่าอิจฉาเพราะอย่างน้อยพวกเขานั้นก็ไม่ต้องกลัวว่ารอยยิ้มที่พวกเขาแสดงออกมานั้น ซักวันหนึ่งมันจะแตกร้าวราวกับกระจกที่สะท้อนตัวตนของตนเอง! เวลาที่สมควรมาถึงแล้วหรือยัง?..... เวลาที่มนุษย์อย่างเราๆ สมควรจะปลดหน้ากากที่เรียกกันว่าความเสแสร้งลงแล้วเหวี่ยงมันไปให้ไกล ไกลจนถึงก้นบึ้งของสิ่งที่เรียกกันว่าขุมนรกโดยที่เรามิต้องเหลียวหลังกลับไปมองมันอีกให้คงเหลือแต่ซากฝุ่นเถ้าธุลีแห่งความชั่วที่ถูกลมพัดหอบไปให้ไกลจากสังคมของเรา ให้สังคมของเราทุกคนคงเหลือเพียงมนุษย์แท้ๆที่ปราศจากหน้ากาก และเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสสวยงามอันเปล่งออกมาจากใจให้แก่กันและกันไปจนตราบกาลนาน.... วันใดก็ตามที่เราสามารถสำนึกได้ และถอดคราบหน้ากาทิ้งไว้แล้ว วันนั้นล่ะที่นักแต่งเพลงนิรนามผู้นั้นจะฉีกสมุดหน้าที่เขียนบันทึกถึง สังคมหน้ากาก แล้วโยนทิ้งไปในตระกร้าถังขยะ ก่อนที่จะลงมือเขียนถึงท่วงทำนองของเพลงงานฉลองสรรเสริญความดีงามที่เกิดขึ้นในสังคมในเบื้องหน้าต่อไปตราบนานเท่านาน............. |