เรื่องสั้น : นักโทษประหาร ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมต้องตัดสินชีวิตคน การตัดสินใจของผมมีผลทำให้คนหนึ่งๆมีชีวิตอยู่ต่อ หรือต้องตายจากโลกนี้ไป ผมไม่ได้มีอาชีพเป็นผู้พิพากษา และผมก็ไม่ได้เป็นหมอที่จะคอยช่วยเหลือผู้ป่วยที่กำลังจะตาย แต่ผมเป็นญาติของคนใกล้ตายที่สามารถลงชื่อยินยอมในการรักษาของแพทย์ได้ และก็มีถึงสองชีวิตแล้วที่ตายเพราะมือผม ผมเป็นผู้หนึ่งที่มีครอบครัวพร้อมอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ผมไม่เคยรู้สึกถึงอารมณ์ของการสูญเสียคนที่ผมรัก แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้สัมผัสกับอารมณ์และความรู้สึกแบบนั้น ผมต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายมากที่สุด เมื่อผู้เป็นพ่อ ล้มป่วยด้วยโรคชราต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่พ่อผมเข้าโรงพยาบาลไปแล้วไม่มีชีวิตรอดออกมาอีกเป็นเพราะผมเอง ผมทำให้พ่อตายก่อนเวลาอันควร ผมจำได้ว่าตอนนั้นเวลาประมาณตีสองทางโรงพยาบาลติดต่อผมเพื่อให้ผมไปดูใจพ่อเนื่องจากพ่อกำลังจะสิ้นลม เมื่อผมไปถึง พ่อผมยังรู้สึกตัว แต่รู้สึกเพียงครึ่งซีกเท่านั้น ผมยืนดูอาการพ่ออยู่นานผมพูดกับพ่อ ผมพยายามเรียกพ่อแต่พ่อได้แต่มองหน้าไม่พูดจาอะไรทั้งสิ้น ความทรมานคงมีมากจนเกินที่พ่อผมจะทนไหว พ่อผมน้ำตาไหลตลอดเวลาตั้งแต่ผมไปยืนอยู่ต่อหน้า ผมตัดสินใจเดินไปบอกหมอให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ แต่หมอไม่ถอดให้ หมอบอกว่าต้องเป็นญาติใกล้ชิดเท่านั้นจึงจะถอดได้ เวลานั้นผมทำอะไรไม่ถูก ยังเอ่ยปากบอกกับหมอไปว่าถอดไม่เป็น แค่ดึงออกเท่านั้น หมอตอบผมแล้วเดินหนีไป หลับให้สบายนะพ่อ ผมพูดพลางดึงเครื่องช่วยหายใจออก พ่อผมน้ำตาไหลออกมาเป็นสายจากดวงตาที่ยังคงเปิดกว้าง หลังจากนั้นผมยืนดูอาการพ่ออยู่ครู่ใหญ่จนพ่อหยุดหายใจแล้วผมจึงเข้าไปเอามือปิดหนังตาบนของพ่อให้หลับลง จะมีใครสักกี่คนที่ยืนดูพ่อตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย มิหนำซ้ำผมเหมือนเป็นผู้พิพากษาตัดสินชีวิตให้พ่อผมตายเร็วขึ้นโดยที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมต้องตัดสินชีวิตคนว่าให้มีชีวิตอยู่ต่อ หรือต้องตายจากโลกนี้ไป ผมต้องทำตัวเหมือนผู้พิพากษาอีกครั้ง เมื่อพี่ชายผมล้มป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือที่เรียกสั้นๆว่าเอดส์ เขาเป็นถึงระยะสุดท้าย ต้องเข้านอนในโรงพยาบาลเล็กๆประจำอำเภอ หมอให้พี่ชายผมนอนห้องพิเศษหมายเลขหนึ่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก ก่อนหน้านี้ผมเคยแนะนำให้เขาไปหาหมอบ่อยๆ แต่เขาไม่ยอมไปเพราะกลัวว่าจะถูกส่งไปอยู่ที่วัดพระบาทน้ำพุ เขาเคยบอกว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาขอตายอยู่ที่บ้าน ชีวิตเขาไม่ต่างอะไรจากนักโทษประหาร เขาได้แต่รอวันตายอย่างเดียว และวันนี้ก็คงจะเป็นวันตายของเขา เมื่อหมอติดต่อให้ผมมาคุยเพื่อรับทราบอาการ คำแรกที่ผมได้ยินจากปากหมอคือ ญาติทำใจดีๆนะคะ ผมได้ยินดังนั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไร ผมอยากพูดบอกกับหมอว่าผมทำใจมานานแล้ว และผมก็ทำดีแล้วเพื่อที่จะช่วยให้เขาอยู่กับครอบครัวได้นานๆ หมอยังบอกกับผมอีกว่า คนไข้หายใจช้าลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดเหตุการณ์คนไข้หยุดหายใจ จะให้กระตุ้นหัวใจหรือไม่ หลังจากผมได้ยินผมอึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องหมอตรงไปที่ห้องพิเศษหมายเลขหนึ่ง ผมเปิดประตูเข้าไปดูอาการเขา ปกติแล้วเขาจะนอนครวญครางด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขานอนนิ่ง ผมเรียกเท่าไรเขาก็ไม่รับปากเหมือนครั้งก่อนๆ และสิ่งที่ผมเห็นคือน้ำตาเขารินไหลออกมาเป็นแนวยาวลงมาทั้งสองข้าง ผมเดินกลับไปหาหมออีกครั้ง แล้วบอกกับหมอว่าผมทำใจได้ ถ้าเกิดคนไข้หยุดหายใจก็ไม่ต้องกระตุ้นให้หายใจอีก หลังจากนั้นหมอก็ให้ผมลงชื่อเพื่อเป็นการยืนยัน ถึงตอนนี้ถ้าผมเป็นหมอผมคงหมดปัญญาที่จะช่วยเหมือนกัน หลังจากผมลงชื่อแล้วสองชั่วโมงต่อมาพี่ชายผมก็ขาดใจ ความรู้สึกนี้ไม่แตกต่างอะไรกับตอนที่ผมสูญเสียพ่อเลย ความทรมานของคนทั้งสองคนไม่แตกต่างกัน และคนทั้งสองคนก็รู้ตัวมานานแล้วว่าตัวเองต้องตายเพราะอะไร โรคชรา ไม่มีใครคนไหนที่หนีพ้น และ โรคเอดส์ ถ้าเป็นแล้วก็ยากที่จะหนีพ้นเช่นกัน ทั้งสองคนเหมือนนักโทษประหารที่รอวันตาย แต่วันตายไม่มีกำหนดแน่นอนทั้งสองคนต้องกำหนดวันตายของตัวเองโดยไม่รู้ตัว คนไหนดูแลตัวเองดีก็อยู่ได้นาน พ่อผมดูแลตัวเองดีอยู่ได้ถึง 76 ปี ส่วนพี่ชาย หลังจากที่เป็นเอดส์แล้วอยู่ได้เพียง 3 ปีเท่านั้น ผมยังสั่งลูกชายผมเสมอว่าไม่ต้องยื้อชีวิตผมไว้ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับตัวผมเพราะผมไม่อยากทรมาน ผมรู้ตัวดีเพราะวันหนึ่งผมอาจมีชีวิตเหมือนนักโทษประหารที่รอวันตายก็เป็นไปได้ วันนี้ภาพลูกชายผมยืนอยู่ตรงหน้า ผมดีใจมากจนพูดอะไรไม่ออก เพราะผมไม่ได้เจอหน้าเขามานาน ผมรู้สึกรักเขามากกว่าทุกวันผมอยากอยู่กับเขาให้นาน ไม่อยากให้เขาจากผมไปไหนอีก แต่เขาต้องไปเพราะเขาแค่มาเยี่ยมเท่านั้น ลูกชายผมทำงานอยู่ต่างจังหวัดคงลางานมาอยู่กับผมหลายๆวันไม่ได้ ภรรยาก็ต้องทำงาน ลูกสาวก็เรียนหนังสือ มาเยี่ยมเยียนกันทีได้เจอหน้ากันไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ผมก็เข้าใจต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ผมนอนที่โรงพยาบาลนี้หลายวันแล้ว คิดถึงบ้านก็กลับไม่ได้ เวลาที่ผมเหงาผมก็มองไปที่ห้องพิเศษหมายเลขหนึ่งเสมอ ตอนนี้ผมรู้สึกคิดถึงพี่ชายของผมมากกว่าทุกวัน ถ้าเขามีชีวิตอยู่เขาคงมาเยี่ยมผมพร้อมกับขนมหม้อแกงที่ผมชอบ ผมอยากเจอหน้าทุกคนที่ผมรู้จัก อยากเจอภรรยาที่แสนดี อยากเจอลูกสาว ผมไม่แน่ใจว่าผมจะได้กลับบ้านหรือเปล่า ยิ่งนับวันผมยิ่งรู้สึกเหมือนนักโทษประหารเข้าไปทุกที อายุก็มาก แล้วยังมาเป็นโรคที่สังคมรังเกียจอีก ถึงอยู่ได้อีกนานโลกนี้ก็คงไม่สวยงามสำหรับผมอีกต่อไป ถึงเวลานี้ผมคงต้องตัดสินชีวิตตนเองเสียที ผมคงสามารถลงชื่อยินยอมในการรักษาให้กับตัวเองได้ เรื่องจริง ในครอบครัว ดัดแปลง จนเกือบไม่เหลือมูลความจริงแล้ว ไม่ต้องงงไปอ่านกันก่อนดีกว่า
โดย: ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล (ศิลป์ใจ ) วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:19:58 น.
ความจริงมันเป็นอนิจจังนะ
นักโทษประหารมันอาจดูโหดร้ายไปนะเพราะดูเหมือนคนเล่าจะเป็นคนสั่งตายกับทุกคนแต่อย่ากระนั้นเถอะเพราะมันไม่ใด้อยู่ในอาชีพผู้พิพากษามิใช่หรือ โดย: azui07 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2550 เวลา:19:58:55 น.
แล้วเป็นโรคสังคมรังเกียจ โรคอะไรหนอ ?????
โดย: Bonus IP: 124.121.192.130 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2550 เวลา:11:04:20 น.
เรื่องของครอบครัว มักทำให้มีน้ำตาเสมอ แย่จัง โดย: แป้ง_ตรางู IP: 203.156.24.138 วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:22:48:04 น.
เป็นโรคสังคมรังเกียจ
โรคไรเหรอ โดย: ไอ้เจิด IP: 19.232.204.155, 136.8.5.100 วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:18:30:46 น.
|
บทความทั้งหมด
|