เลือนเลือนเหมือนฝัน


1….
หยาดน้ำค้างพราวอยู่ตามต้นไม้ใบหญ้า สะท้อนแสงแดดวิบวับเมื่อมองจากไกล ๆ กลิ่นไอดินกลิ่นน้ำค้างหลังฝนตกส่งกลิ่นโชยหอม ท้องฟ้าใสกระจ่างหลังฝนแต้มด้วยเมฆขาวเนียนเป็นหย่อม ๆ
หุบเขาเบื้องหน้า มองเห็นลาง ๆ ปกคลุมด้วยหมอกยามเช้า รอยเลี่ยบดบังจนคล้ายภาพวาดที่ธรรมชาติคือจิตรกร เสียงรถไฟกึกก้องเมื่อลอดผ่านถ้ำขุนตาล จนบางผู้คนต้องคอยเอามืออุดหู
นัทรู้สึกเมื่อยล้าและอ่อนแรงหลังจากนั่งจับเจ่าอยู่บนรถไฟมานานหลายชั่วโมง จึงตัดสินใจเดินโผเผไปยังตู้เสบียง
“เอาเบียร์ขวดนึงครับ” นัทหันไปบอกกับบริกร หลังจากหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ แบบตามตู้เสบียงทั่วไป ก่อนควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ โรยควันบาง ๆ ออกมาทาจมูก หันมองไปนอกหน้าต่างรถไฟที่ทิวทัศน์ยามนี้มีแต่หุบเขาสลับซับซ้อน นกฝูงหนึ่งมองเห็นบินอยู่ไกลลิบ ๆ ทางภูเขาที่ห่างไกลเหลือเกินจนเหมือนจะไม่มีวันไปถึงได้ นัทนั่งนิ่งงันเหม่อลอย กระทั่งบริกรเอาเบียร์มาเสิร์ฟจึงรู้สึกตัว
“เอาน้ำแข็งด้วยไหมครับ”
“ไม่ครับ” นัทตอบแบบปากพาไป ไม่ใส่ใจ
อากาศเย็นเยียบจับใจลมพัดวู่กระทบใบหน้าจนรู้สึกชา นัทลุกขึ้นแง้มหน้าต่างลงมา เหลือช่องไว้เพียงให้อากาศพอเข้ามาได้ ชั่วยังไม่ทันที่บุหรี่จะหมดมวน เสียงเล็ก ๆ ของหญิงสาวก็ดังขึ้นใกล้หู
“มีใครนั่งไหมค่ะ”
นัทมองไปที่เธออย่างงง ๆ
“ไม่มีครับ”
สิ้นเสียง หญิงสาวก็ขยับเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นั่งลงอย่างนุ่มนวล ผมของเธอหยิกเป็นลอนยาวปะบ่า ตาโต หางตาชี้ขึ้น จมูกโด่งลับกับคิ้วบาง ๆ แต่โค้งได้รูปคู่นั้น แต่งกายด้วยชุดที่ดูแล้วลุ่มล่าม หากแต่ดูเหมาะกับเธอดี นัทจ้องมองใบหน้าเธอราวกับจะหาบางสิ่งบนใบหน้านั้น รู้สึกมึนหัวทั้งที่เพิ่งดื่มไปเพียงแก้วเดียว

“สักหน่อยไหมครับ” นัทยกแก้วเบียร์ทำท่าเชิญชวนแก้เขิน “อ่อ ลืมไปสินะคุณเป็นผู้หญิงนี่ ใช่ ใช่ คุณเป็นผู้หญิง” เขานึกคำพูดนั้นซ้ำไปมาหลายรอบในใจ จ้องมองดูเธอที่สงบนิ่งราวกับรูปปั้น เธอมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
“อากาศวันนี้ดูเหงา ๆ นะค่ะ” เธอกล่าวลอย ๆ
“อืมครับ” เขารู้สึกแปลกใจกับประโยคแรกที่ได้ยินจากเธอ
“คนที่พูดอย่างนี้ผมว่าไม่เป็นพวกขี้เหงา ก็คงเป็นคนโรแมนติคเอาการเชียว” นัทจ้องมองไปที่สร้อยคอรุงรังของเธอขณะพูด
“โรแมนติคเหรอ คำนี้มันมีความหมายว่ายังไง ฉันยังไม่รู้เลย”
“มันก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคนครับ” นัทขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ย
เธอส่งเสียงหึหึในลำคอ
“ว่าแต่คุณเดินทางคนเดียวหรือ”
“เธอก็เห็นนี่ว่าฉันมานั่งตรงนี้คนเดียว” เธอตอบยียวน
บรรยากาศโดยรอบเงียบลงอย่างกระทันหัน เมื่อรถจอดนิ่งที่สถานีเล็ก ๆ รายทางแห่งหนึ่ง นัทมองหน้าอย่างจะหาคำตอบกับเธอว่าจะมาไม้ไหน บริกรเดินไปเสิร์ฟเบียร์ให้กับชายสองคนที่นั่งโต๊ะถัดไป ในตู้เสบียงนี้มีเพียงโต๊ะสี่ตัวตั้งอยู่ฝั่งละสอง ที่ในตอนนี้มีคนนั่งเต็มแล้วไปสามตัว
“ว่าแต่คุณจะไปกันนะ” นัทถามด้วยไม่อยากให้เงียบเกินไป
“ ไปไหนหรือ ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว แต่ขบวนนี้มันสุดแค่เชียงใหม่นะ”
“สุดทาง…ก็ใช่ว่าชีวิตฉันจะสุดแค่นั้นนี่” เธอตอบตามประสาคนกวน
นัทหัวเราะในลำคอ “คุณนี่แปลกคนจริง”
เธอยิ้มพราย
เบียร์ในแก้วเริ่มคลายความเย็น ให้รู้สึกขมปร่าเมื่อนัทยกขึ้นจิบ จนต้องหันไปสั่งน้ำแข็งกับบริกร นัทเหลือบมองไปเห็นปลายพู่กันที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าใบเล็ก ๆ แบบคาวบอยที่เธอคาดเอวอยู่ ก่อนเอ่ยถาม
“คุณเป็นจิตรกร”
“อย่าใช้คำนั้นเลย มันดูยิ่งใหญ่เกินกว่าคนเล็ก ๆ อย่างฉัน” เธอตอบ ขณะสายตามองตรงมายังใบหน้าของนัท
“เธอนี่แปลกคนจริง” นัทย้ำคำเดิมในใจ “แล้วเธอจบศิลปะจากที่ไหนล่ะ”
“ไม่หรอก ไม่เคยเรียนเลย อาศัยใจรัก ไม่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าสิ่งนี้หรอก” เธอพูดก่อนเลื่อนแก้วปริ่มฟองมาข้างหน้า
“จริงของเธอนะ จะมีอะไรสำคัญไปกว่าสิ่งนี้ล่ะ ความรักทำได้ทุกสิ่ง” นัทพูดจบก็หัวเราะตัวเอง พลอยทำให้เธอหัวเราะตามไปด้วย พนักนั่งหลายตัวว่างลงหลังจากผู้คนลงไปเมื่อสถานีก่อน ทำให้บรรยากาศยามนี้ดูปลอดโปร่งและผ่อนคลายมากขึ้น
“เธอชื่ออะไรนะ นี่ยังไม่รู้เลย” นัทถามก่อนจุดบุหรี่อีกตัว
“ทำไมนะ คนเราถึงใส่ใจกับชื่อเสียงเรียงนามกันมากขนาดนี้ ฉันสงสัยจริง”
“อ้าว งั้นจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไรล่ะ บังอร หรือไง”
เธอยิ้ม อย่างจะกลั้นหัวเราะ
“แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไรบอกฉันก่อนสิ”
“นัท นั่นแหละชี่อผม”
“ฟาง นั่นแหละชื่อฉัน” เธอตอบ ก่อนยกแก้วขึ้นจิบ วางแก้วลงเบียร์พร่องไปเพียงเล็กน้อย
“คุณนี่ ไม่คำนึงถึงภาพพจน์เลยนะ เป็นผู้หญิงแท้ ๆ ท่าทางดื่มยังกับผู้ชาย” นัทว่า
“แล้วไง”
“ก็ไม่ไงหรอก ฟางดูเป็นคนมั่นใจ” นัทเอ่ยชื่อเธอครั้งแรก รู้สึกฝืนปากบอกไม่ถูก ดอกนุ่นลอยปลิดปลิวมาเข้าปาก จนต้องหยิบออกอย่างอาย ๆ นานมาแล้วที่เขาไม่ได้สนทนาปราศรัยกับสาวแปลกหน้าเลย ด้วยปกติที่เป็นคนค่อนข้างหมกมุ่นกับตัวเองและความคิด บวกกับความขี้อายที่เป็นนิสัยประจำตัวมาแต่ไหนแต่ไร แต่กับเธอแม้เพิ่งได้พบกัน สนทนาปราศรัยเพียงไม่กี่นาที นัทกลับรู้สึกอิ่มขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนขนมปังที่ถูกอบจนพองฟูขึ้นมา ความเขินอายกับเธอบางครั้งก็ไม่มีเสียเลย
“แล้วนัทจะไปไหนเหรอ มาคนเดียวงั้น” เธอถามพลางเอามือลูบแก้วไปมา จนนิ้วเปียก
นัทยิ้มมุมปาก “ผมเหรอ ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าต้องไป ผมมันคนอย่างนี้แหละบางทีจะไปก็ไป ไม่รู้จุดหมายด้วยซ้ำบางครั้ง”
“เหอะ สงสัยเธอกับฉันจะบ้าพอกัน”
“อย่ามาเหมารวมผมนา... ผมไม่บ้า เอ หรือจะ...” นัทพูดยังไม่ทันจบก็หัวเราะร่วน
“คุณชอบอ่านหนังสือไหม”
“ใครบ้างล่ะที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ”
“มากมายเชียวล่ะ ในสังคมทุกวันนี้ คนเราถึงคิดกันไปตาม ๆ กันไง หากคุณจะคิดอีกแบบเขาก็จะบอกว่า มันไม่ใช่นะ เขาว่ากันมาอย่างนี้....นั่นแหละ”
คุณนี่เก็บกดอะไรหรือเปล่านะ เขานึกในใจ
“ผมชอบเฮสเส แปลก...แล้วมันก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวดี”
“ก็เหมาะกับคนอย่างคุณนี่”
“ฉันชอบยิบราลมากกว่า ถ้าเป็นบทกวี” เธอเงียบเอื้อมมือไปที่กระเป๋าใบเล็กข้างกาย “คุณเคยอ่านเล่มนี้ไหม” เธอยื่นหนังสือมาให้ เขารับไว้
“อ๋อ เล่มนี้ผมชอบมากเลยทีเดียว เนื้อเรื่องและตัวละครเท่ห์มาก และมันก็เปลี่ยวเศร้าอย่างร้ายเชียว ถ้าจะเลือกเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่ตัวเอง ผมก็อยากเป็นอย่างในตัวเอกเรื่องนี้แหละ”
“ฉันยังอ่านไม่จบเลยเรื่องนี้ เพิ่งได้มา คนเขียนเรื่องนี้คงเป็นคนประเภทโลกส่วนตัวสูงนะ บทสนทนาถึงน้อยมาก ออกแนวกระแสสำนึกมากกว่า”
“คุณนี่ไม่ใช่เล่นเลยนะ ครั้งนึงผมเคยฝันอยากเป็นนักเขียนนะ แต่ว่ามันไม่ได้เรื่องเลยน่ะผม”
“ไม่ได้เรื่องยังไง” เธอพูดท่าทางจริงจัง ด้วยบุคลิคที่ค่อนข้างแปลก ทำให้เวลาเธอพูดอะไรออกมานั้นดูแฝงอะไรไว้ด้วยเสมอ
นั่นแหละมั๊ง ที่ทำให้เธอดูแตกต่าง... เขาคิดในใจ “นี่เคยอ่านเล่มนี้หรือยังล่ะ” พูดแล้วก็หยิบเอาหนังสือออกมาจากกระเป๋า
“ฐากูร เหรอ เล่มนี้ยังไม่เคยอ่านเลย”
“เอาไปอ่านสิ ผมอ่านจบแล้ว ผมอยากให้คุณอ่าน” นัทพูดพร้อมสายตาที่บอกตามคำพูด
“ไม่เสียดายเหรอ” เธอถามไปตามประสา
“จะเสียดายทำไมล่ะ คนเราควรแบ่งปันให้กับคนอื่นบ้าง ก็เท่านั้นที่ผมคิด”
เธอยกแก้วขึ้นจิบ แล้วเปิดดูหนังสืออย่างสนใจ ผมปลิวสยายเลี่ยตามใบหน้า จนเธอรำคาญต้องรวบไปไว้ข้างหลัง หอมกลิ่นดอกไม้จากไหนนะ เธอนึกในใจ เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ทุ่งนาสีเขียวปลิวไสวลู่ตามแรงลม นกกาบินล่อนโฉบอยู่เหนือทุ่ง ตัดกับฟ้าสีคราม
“เขาว่าคนที่ชอบอ่าน fiction มักเป็นพวกเพ้อฝัน หรือไม่ก็พวกชอบหนีความจริง”
นัทยิ้ม “ใคร ๆ ก็มักฝันกลางวันกันทั้งนั้นแหละ ถ้าหากฝันนั้นมันทำให้หัวใจเราสุขสบาย มันผิดด้วยเหรอที่คนเก็บขยะในเมืองจะฝันถึงทุ่งหญ้าสีเขียว คนในห้องเช่าจะฝันถึงดาวกระจ่างฟ้า”
“จริงด้วยนะ คำกล่าวนั้นไม่ผิดหรอก ไม่ผิดหรอก” เธอยิ้มแบบขัน ๆ ย้ำคำเดิม
ดวงใจล่องลอยไปแสนไกล...




Create Date : 29 มีนาคม 2551
Last Update : 31 มีนาคม 2551 16:58:49 น.
Counter : 328 Pageviews.

1 comments
15/04/67 สมาชิกหมายเลข 4675166
(15 เม.ย. 2567 09:46:52 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 35 : กะว่าก๋า
(13 เม.ย. 2567 05:51:40 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 33 : กะว่าก๋า
(11 เม.ย. 2567 05:15:42 น.)
lead to better decision-making พุดดิ้งรสกาแฟ
(11 เม.ย. 2567 21:19:04 น.)
  
อ่านแล้วทำให้นึกถึง บทสนทนาของคนสองคน
แดน กับ ณู ในขอความรักบ้างได้ไหม..

โดย: pangz วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:16:55:52 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Secretgarden.BlogGang.com

secret garden
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]