ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

** ประวัติศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ยุค 2 สมัย คือ
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์
2. ยุคกลาง
3. สมัยกลางใหม่
4. สมัยใหม่ - ปัจจุบัน

1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคโบราณ (8,000 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 11) ยุคนี้เริ่มจากการรวบรวมชนเผ่าเล็กๆ ขึ้นมาเป็นจักรวรรดิ และปกครองโดยใช้ระบบของจีนที่เรียกว่า ริทสึเรียว (ritsuryou : การใช้กฎหมายและหลักจริยธรรมตามแบบราชวงศ์สุยกับราชวงศ์ถัง) แต่เกิดมีความขัดแย้งขึ้นมาจนลุกลามออกไป หัวเมืองที่อยู่ห่างไกลแยกตัวจากรัฐบาลกลาง และก่อตั้งเป็นกลุ่มทหารกลุ่มต่างๆ

** สมัยโจมน (Joumon) (8,000 - 300 ปีก่อนคริสต์กาล) ที่หมู่เกาะญี่ปุ่นมีผู้คนอาศัยมาตั้งแต่สมัยยุคหินเก่า แต่ก็เชื่อกันว่าชนชาติญี่ปุ่น และต้นกำเนิดของภาษาญี่ปุ่นได้เกิดขึ้นมาในสมัยโจมน คือ เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีก่อนจนถึง 300 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวกันว่า ผู้คนในยุคนั้นจะขุดหลุมเป็นบ้าน และอาศัยอยู่กันหลังละเกือบสิบคน ยังชีพโดยการล่าสัตว์ จับปลาหาอาหาร อีกทั้งไม่มีความจนความรวยความเหลื่อมล้ำในสังคมยุคนี้ อย่างไรก็ตามการขุดพบซากหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ ซันไน มะรุยะมะ (Sannai Maruyama) ในจังหวัดอะโอะโมะริ (Aomori) ได้ทำให้ผู้คนหันมาสนใจในแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใหม่

** สมัยยะโยะอิ (Yaoi) (300 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ.300) เมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล การปลูกข้าวกับวิทยาการการใช้เครื่องใช้โลหะได้ถูกนำเข้ามาทางตอนเหนือของคิวชู โดยผ่านคาบสมุทรเกาหลี สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม เช่น การเพิ่มผลผลิต ความแตกต่างความรวยความจน การแบ่งชนชั้น การปรับกลุ่มชาวนาให้เป็นกลุ่มนักปกครอง เป็นต้น ความเชื่อระเบียบแบบแผนธรรมเนียมปฏิบัติของชาวนาแพร่หลายออกไป จนกลายเป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นสืบไป วัฒนธรรมสมัยยะโยะอิมีความรุ่งเรืองต่อเนื่องจนถึงราวๆ ปี ค.ศ.300 และในช่วงปลายก็ได้แพร่ขยายจนถึงภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นด้วย

** สมัยสุสานโบราณ (Kofun) (ค.ศ.300 - 700) เมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 4 ชนเผ่าอิสระกลุ่มต่างๆ ได้ถูกรวบรวมโดยชนเผ่า ยะมะโตะ (Yamato) ขณะเดียวกันสุสานที่มีลักษณะพิเศษเป็นรูปกุญแจก็ถูกสร้างขึ้นทั่วไป ความรู้ และวิทยาการต่างๆ จากจีนได้หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากในสมัยนี้ ในศตวรรษที่ 4 ชนเผ่ายะมะโตะได้ขึ้นไปคาบสมุทรเกาหลี และรับเอาวัฒนธรรมการผลิตเครื่องใช้ของภาคพื้นทวีปมา ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 5 ชาวเกาหลีได้นำวิทยาการต่างๆ เข้ามา เช่น การผลิตเครื่องโลหะ เครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า การถลุงเหล็ก และวิศวกรรมโยธา รวมทั้งมีการเริ่มใช้อักษรคันจิซึ่งเป็นตัวอักษรของจีนด้วย และเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 6 ลัทธิขงจื้อ กับศาสนาพุทธก็ได้แพร่หลายเข้ามาในญี่ปุ่นเช่นกัน ในศตวรรษที่ 7 เจ้าชายโชะโทะคุ (Shoutoku) จัดวางระบบการปกครองโดยรวมอำนาจไว้ที่จักรพรรดิตามแบบราชวงศ์สุยกับราชวงศ์ถังของจีนได้สำเร็จเมื่อครั้งปฏิรูปการปกครองไทขะ (Taika) และมีการส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีจนถึงปลายศตวรรษที่ 9 ถึงสิบกว่าครั้ง

** สมัยนะระ (Nara) (ค.ศ.710 - 794) เมื่อปี ค.ศ.710 ขณะที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยหลักกฎหมาย และจริยธรรม (ritsuryou) ก็ได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เฮโจเคียว (Heijoukyou) หรือเมืองนะระและบริเวณใกล้เคียงในปัจจุบัน แต่ในเวลาต่อมาก็เริ่มเกิดความวุ่นวายเมื่อระบบโคฉิโคมิน (Kouchi-koumin : ระบบที่รัฐบาลกลางครอบครองที่ดินทั้งหมด และปันส่วนให้กับขุนนางและชาวนา โดยที่ชาวนาต้องเสียภาษีที่ดิน) เสื่อมลงเนื่องจากมีที่ดินที่ได้รับยกเว้นภาษี (Shoen) อยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงความยากจนไร้ที่อยู่อาศัยของชาวนา ในสมัยนี้ศาสนาพุทธได้รับการทำนุบำรุงอย่างดี ทำให้วัฒนธรรมหรือศิลปะทางพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก เริ่มจากวัฒนธรรมอะสุขะ (Asuka) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาอันดับแรกของญี่ปุ่นในต้นศตวรรษที่ 7 หรือวัฒนธรรมฮะคุโฮะ (Hakuhou) ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 7 ที่แสดงให้เห็นความทุกข์ยากของมนุษย์ จนถึงวัฒนธรรมเท็มเปียว (Tenpyou) ในกลางศตวรรษที่ 8 ที่แสดงถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามที่เป็นจริง ซึ่งรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์ถัง
• "มันโยชู" (Man'youshuu) คือ งานชิ้นเอกแห่งยุค ซึ่งเป็นการรวบรวมบทกวีของคนทุกระดับชั้นตั้งแต่สามัญชนจนถึงจักรพรรดิไว้ประมาณ 4,500 บท โดยใช้เวลารวบรวมจนถึงกลางศตวรรษที่ 8 รวมเป็นเวลาถึง 400 ปี ใน "มันโยชู" ได้รับบรรยายความรู้สึกของการใช้ชีวิตอย่างสมถะของคนญี่ปุ่นในสมัยโบราณได้อย่างตรงไปตรงมา และยังคงเป็นที่ประทับใจของคนญี่ปุ่นจำนวนมากในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ ยังมี "โคะจิขิ" (Kojiki) ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ (ค.ศ.712) “นิฮงโชะขิ” (Nihonshoki) ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตามลำดับเวลาฉบับเก่าแก่ที่สุด (ค.ศ.720) และหนังสือรวมบทกวี "ไคฟูโซ" (kaifuusou) ฉบับเก่าแก่ที่สุด (ค.ศ.751) ซึ่งเป็นครั้งแรกของการรวมบทกวีจีนของนักกวีญี่ปุ่น
• สมัยเฮอัน (Heian) (ค.ศ.794 - 1185) ในปลายศตวรรษที่ 8 มีการย้ายเมืองหลวงไปที่ เฮอันเ คียว (Heiankyou) หรือเมืองเกียวโตในปัจจุบัน และมีความพยายามจะนำระบบ ริทสึเรียว (Ritsuryou) กลับมาใช้แต่เนื่องจากระบบโคฉิโคมินเสื่อมลง ทำให้บ้านเมืองขาดแคลนเงินทอง จนไม่สามารถส่งทูตไปจีนได้อีกภายหลังจากที่ส่งไปครั้งสุดท้าย เมื่อปี ค.ศ.894 ซึ่งเป็นผลให้การรับวัฒนธรรมจากแผ่นดินใหญ่ยุติลงไปด้วย
• ตระกูลฟุจิวะระ (Fujiwara) เป็นตระกูลทหารที่มีอำนาจปกครองญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 10 - 11 และนำเอาระบบการจัดสรรปันส่วนที่ดิน โดยมีการยกเว้นภาษีที่ดินแก่คนบางกลุ่ม (Shoen) มาใช้ แต่การดูแลหัวเมืองในภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงเกิดการจราจลแยกตัวออกไปก่อตั้งตระกูลทหารขึ้นใน ตอนปลายศตวรรษที่ 11 ตระกูลฟุจิวะระถูกขัดขวางโดยฝ่ายอินเซ (Insei : จักรพรรดิผู้ที่ทรงสละราชบังลังก์แล้วแต่ยังทรงกุมอำนาจอยู่) ขณะที่ทหารเริ่มเข้ามามีบทบาทในการปกครองมากขึ้น
• วัฒนธรรมที่เป็นรูปแบบของญี่ปุ่นโดดเด่นมากในสมัยเฮอันในศตวรรษที่ 9 ญี่ปุ่นยังคงรับวัฒนธรรมของราชวงศ์ถังอยู่ พุทธศาสนานิกายมิเคียว (Mikkyou) กับการเขียนรูปประโยคแบบจีนแพร่หลายมาก พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 10 หลังจากที่ญี่ปุ่นไม่ได้ติดต่อโดยตรงกับภาคพื้นทวีปแล้ว ได้เกิดวัฒนธรรมชนชั้นสูงที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะของญี่ปุ่นเอง วรรณกรรมที่เด่นในเวลานี้ อาทิ "โคะคินวะคะชู" (Kokinwakashuu) เป็นหนังสือรวมกวีนิพนธ์ญี่ปุ่นเล่มแรกตามพระราชโองการของจักรพรรดิ (ในต้นศตวรรษที่ 10) "เกนจิ โมะโนะงะตะริ" (Genji Monogatari) นวนิยายเรื่องยาวที่เก่าที่สุดในโลก (ประมาณต้นศตวรรษที่ 11) และ "มะคุระโนะ โชชิ" (Makura no Soshi) หนังสือข้างหมอน (ประมาณ ค.ศ. 1000) วรรณกรรมเหล่านี้เขียนด้วยตัวอักษร "คะนะ" (Kana) ซึ่งคนญี่ปุ่นคิดประดิษฐ์จากตัวอักษรคันจิ และสามารถใช้เขียนคำศัพท์ญี่ปุ่น เพื่อสื่อความรู้สึกของชาวญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังนำไปสู่โลกวรรณกรรมสตรีอีกด้วย
• ตั้งแต่ช่วงหลังศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา พุทธศาสนานิกายโจโดะ (Joudo) ซึ่งมุ่งหวังความสุขในชาติหน้าเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับนิกายมิคเคียว ที่หวังผลประโยชน์เฉพาะในชาตินี้ และเราจะเห็นถึงความมีเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นปรากฏอยู่ในวรรณกรรมกับงานศิลปะ เช่น สถาปัตยกรรม การเขียนภาพ การแกะสลัก เป็นต้น

2. ยุคกลาง (ศตวรรษที่ 12 - 16) เป็นยุคที่ชนชั้นปกครอง ราชวงศ์และเชื้อพระวงศ์หมดอำนาจลง การปกครองตกไปอยู่กับชนชั้นนักรบซึ่งเป็นผู้สร้างระบบศักดินาต่อไป

** สมัยคะมะคุระ เมื่อ มินะโมโตะ โนะ โยะริโตะโมะ ตั้งบะคุฟุ (Bakufu : ที่ว่าราชการรัฐบาลโชกุน) ขึ้นที่คะมะคุระในปลายศตวรรษที่ 12 การปกครองประเทศโดยชนชั้นทหารได้เริ่มมาแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงประมาณ 150 ปี โดยช่วงเวลานี้รัฐบาลทหารซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ทางฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น ได้ทำการต่อสู้กับฝ่ายอำนาจเก่า คือ ราชวงศ์จักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ อันกุมอำนาจอยู่บริเวณภาคตะวันตกอยู่เนืองๆ และได้เริ่มวางรากฐานของระบบศักดินาในญี่ปุ่นขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกะทั่งในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกลได้รุกรานสู่ญี่ปุ่นโดยเข้าโจมตีภาคเหนือของเกาะคิวชู กองทัพทหารได้ทำการต่อสู้ป้องกันอย่างเข้มแข็ง ประกอบกับภัยธรรมชาติเป็นส่วนช่วยเหลือ ญี่ปุ่นจึงรอดพ้นจากอันตรายมาได้ แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมอำนาจในการควบคุมชนชั้นนักรบของรัฐบาลทหาร
• ส่วนความเจริญทางด้านวัฒนธรรมนั้น วัฒนธรรมของชนชั้นนักรบได้ก่อกำเนิดขึ้นโดยมีวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองเป็นรากฐาน แต่ยังคงเอกลักษณ์ของชนชั้นนักรบไว้ อันได้แก่ ความมีพลวัตร และการสะท้อน ความเป็นจริงอย่างเรียบง่าย ในด้านศาสนา พุทธศาสนาแบบคะมะคุระก็ได้กำเนิดขึ้นโดยพระเถระผู้มีชื่อเสียง อย่าง โฮเน็น (Hounen) ชินรัน (Shinran) และนิฉิเรน (Nichiren) เป็นต้น นักรบฝั่งที่ราบคันโตจะนับถือศาสนาเซนอันได้รับการถ่ายทอดจากจีนแผ่นดินซ้องในศตวรรษที่ 12 เป็นหลัก รูปแบบศิลปะใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ อย่างเช่น ปฏิมากรรมสมัยคะมะคุระตอนต้นนั้น จะมีลายเส้นที่หนักแน่นมีพลังเหมือนของจริง และแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ วรรณศิลป์ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ชนชั้นนักรบนิยม เช่น "เฮเคะ โมะโนะงะตะริ" (Heike Monogatari) ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 13 เป็นผลงานที่ดีที่สุดในจำนวนนิยายเกี่ยวกับการสู้รบ และก็ยังมีหนังสือรวบรวมบทเรียงความเรื่อง "โฮโจขิ" (Houjouki) ซึ่งแต่งในศตวรรษที่ 13 และ "ทสึเระซุเระงุสะ" (Tsurezuregusa) ซึ่งแต่งในศตวรรษที่ 14

** สมัยราชวงศ์เหนือใต้ แม้ว่าจักรพรรดิโกะไดโกะ (Godaigo) จะเป็นผู้โค่นล้มรัฐบาลโชกุนคะมะคุระได้ก็ตามที แต่ก็ได้แตกหักกับแม่ทัพของตน คือ อะชิคะงะทะคะอุจิ (Ashikaga Takauji) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการแยกราชบัลลังก์ออกเป็นราชวงศ์เหนือที่เกียวโต และราชวงศ์ใต้ ที่โยะชิโนะ (Yoshino) (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนะระ) ซึ่งเป็นสาเหตุให้นักรบเชื้อพระวงศ์ที่ฝักใฝ่อยู่กับแต่ละฝ่ายรบพุ่งกันมาตลอด ก่อให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชาชนเพื่อหนีภัยสงคราม จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นอันแตกต่างกันระหว่างญี่ปุ่นตะวันออกและญี่ปุ่นตะวันตกหลอมรวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว

** สมัยมุโระมะฉิ ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 14 อะชิคะงะ โยะชิมิทสึ ได้ปราบปรามชนชั้นปกครองลงอย่างราบคาบ และตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นอีกครั้งที่เกียวโต ซึ่งรัฐบาลโชกุนนี้ได้ปกครองญี่ปุ่นต่อมาเป็นเวลานานถึงสองศตวรรษเศษอันเป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมของชนชั้นนักรบก็ได้กลืนวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองลงอย่างราบคาบเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลโชกุนของตระกูลอะชิคะงะ เกิดจากการรวมตัวของขุนศึกสำคัญๆ ตามหัวเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นธรรมดาที่การรวบอำนาจให้รัฐบาลมีเสถียรภาพนั้นเป็นไปได้อย่างลำบาก ดังนั้นในครึ่งหลังศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ขุนศึกตามหัวเมืองต่างๆ จึงเริ่มทำสงครามแย่งชิงอำนาจกัน จนทั้งประเทศญี่ปุ่นตกเข้าสู่ยุคสงคราม ภายในยุคนี้เป็นยุคที่ชนชั้นนักรบมีอำนาจเหนือเกษตรกรและมีกรรมสิทธิเหนือที่ดินจึงเป็นการปกครองระบบศักดินาโดยสมบูรณ์ ด้านเศรษฐกิจก็เจริญรุ่งเรืองมาก เนื่องจากทำการค้ากับจีนสมัยหมิง
• ด้านวัฒนธรรม ลัทธิเซนเป็นส่วนเพิ่มเติมให้กับวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบ ซึ่งเห็นรูปแบบได้จากตำหนักทอง (Kinkaku) ในปลายศตวรรษที่ 14 อันเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมคิตะยะมะ (Kitayama) และตำหนักเงิน (Ginkaku) ในปลายศตวรรษที่ 15 อันเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ (Higashiyama) การละคร อย่างเช่น โน เคียวเง็น และการต่อเพลง ก็เริ่มแพร่หลายสู่ประชาชนภายนอก ศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น อย่างเช่น พิธีชงชา การจัดดอกไม้ ก็เริ่มมีรากฐานมาจากยุคนี้ และในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 พวกฝรั่ง เช่น ชาติโปรตุเกส และสเปนก็ได้นำอาวุธปืนยาวและศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ที่ญี่ปุ่น

3. สมัยกลางใหม่ (ศตวรรษที่ 16 - กลางศตวรรษที่ 19) เป็นยุคที่โชกุนและไดเมียว มีอำนาจปกครองสิทธิขาดเหนือที่ดินและประชาชน อันเรียกว่า การปกครองแบบ บะคุฮัง (Bakuhan) ซึ่งระบบนี้พึ่งพาเศรษฐกิจอันมาจากผลผลิตทางการเกษตร

** สมัยอะชุฉิ - โมะโมะยะมะ เป็นยุคที่โชกุนชื่อ โอะดะ โนะบุนะงะ (Oda Nobunaga) และโทะโยะโทะมิ ฮิเดะโยะชิ (Toyotomi Hideyoshi) ได้ปราบปรามไดเมียวหัวเมืองต่างๆ และรวมศูนย์กลางอำนาจไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว ความสงบภายในประเทศประกอบกับการติดต่อกับต่างประเทศที่มากขึ้น ทำให้เกิดวัฒนธรรมอันหรูหรา อย่างเช่น วัฒนธรรมโมะโมะยะมะ (Momoyama)

** สมัยเอะโดะ โทะคุงะวะ อิเอะยะสุ (Tokugawa Ieyasu) ได้รวบอำนาจและตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นที่เอะโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) ใน ค.ศ.1603 และหลังจากนั้นอีก 260 ปี การปกครองทั้งหลายก็ตกอยู่ในอำนาจของตระกูลโทะคุงะวะ รัฐบาลโทะคุงะวะได้ลิดรอนอำนาจจากจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์ และพระสงฆ์จนหมดสิ้น และปกครองเกษตรกรไปทีละเล็กละน้อย เมื่อเกษตรกรอันเป็นฐานอำนาจของรัฐบาลโทะคุงะวะยากจนลงจนเดือดร้อน การปกครองของตระกูลโทะคุงะวะก็เริ่มสั่นคลอนลงตั้งแต่เข้าศตวรรษที่ 19
• ยุคนี้เป็นยุคที่วัฒนธรรมของราษฎรสามัญเจริญจนถึงที่สุด ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 จนถึงต้นศตวรรษที่ 18 เป็นยุคของวัฒนธรรมเก็นโระขุ (Genroku) ซึ่งเป็นของนักรบผสมกับราษฎรสามัญ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองใหญ่ ๆ อย่างเกียวโต โอซาก้า เอกลักษณ์คือละครหุ่น ละครคะบุขิและหัตถกรรมต่างๆ มีศิลปินกำเนิดจากราษฎรสามัญมากมาย เช่น นักเขียน อย่าง อิฮะระ ไชคะขุ (Ihara Saikaku) นักกลอนไฮขุ อย่าง มะทสึโอะ บะโช (Matsuo Bashou) นักแต่งบทละครหุ่น ละครคะบิขุ อย่าง ชิคะมะทสึ มงซะเอะมง (Chikamatsu Monzaemon) จนเมื่อศตวรรษที่ 19 ศูนย์กลางของวัฒนธรรมได้ย้ายไปอยู่เอะโดะ เป็นยุคของวัฒนธรรม คะเซ (Kasei) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชนชาวเมือง อันได้แก่ นวนิยาย ละครคะบุขิ ภาพอุคิโยะ บุงจิง - งะ เป็นต้น
• การศึกษาและวิชาการก็เจริญรุ่งเรือง ชนชั้นนักรบเล่าเรียนปรัชญาของขงจื๊อและหลักคำสอน จูจื่อ (Chu H si) ซึ่งเป็นปรัชญาพื้นฐานที่ค้ำจุนการปกครองของรัฐบาลโทะคุงะวะ การศึกษาเกี่ยวกับญี่ปุ่นและดัตช์ (ฮอลันดา) เจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา มีการเปิดโรงเรียนตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อลูกหลานของชนชั้นนักรบ ราษฎรสามัญเองก็นิยมส่งลูกหลานไปศึกษาวิชาต่างๆ ที่วัด (terakoya)

4. สมัยใหม่ - สมัยปัจจุบัน (กลางศตวรรษที่ 19 - ปัจจุบัน) ญี่ปุ่นใช้เวลาหลังจากเปิดประเทศเมื่อกลางศตวรรษที่ 19 เพียงครึ่งศตวรรษ ก็เข้าสู่ความเจริญเทียบเท่าตะวันตก

** สมัยเมจิ เพื่อพัฒนาประเทศให้เท่าเทียมกับอารยประเทศทางตะวันตก รัฐบาลได้กำหนดนโยบายหลักไว้ 3 ประการ คือ ร่ำรวยเข้มแข็ง สร้างเสริมอุตสาหกรรม อารยธรรมทันสมัยใหม่ และได้ปฏิบัติตามนโยบายเหล่านี้ เช่น การบัญญัติรัฐธรรมนูญ การจัดตั้งรัฐสภา การแก้สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม การที่ญี่ปุ่นชนะสงครามกับจีนราชวงศ์แมนจู และรัสเซีย นั้นทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมภายในประเทศ ระบบทุนนิยมเติบโตขึ้นจนเริ่มเป็นที่จับตามองบนเวทีระหว่างประเทศ วัฒนธรรมสมัยเมจินั้นเป็นวัฒนธรรมที่หลอมรวมวัฒนธรรมพื้นเมืองของญี่ปุ่นกับวัฒนธรรมตะวันตกซึ่งขัดกันให้เข้ากันไป

** สมัยเทโช - โชวะ ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นยุคที่ประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบาน ภายใต้กระแสของลัทธิจักรวรรดินิยมหรือชาตินิยม ด้วยความแรงของกระแสหลังได้ผลักดันให้ญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามเป็นเวลา 15 ปี นับตั้งแต่ตอนต้นของสมัยโชวะหรือตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 หลังจากการพ่ายในสงครามภาคพื้นแปซิฟิกและเป็นประเทศเดียวที่ถูกทิ้งปรมาณู ญี่ปุ่นได้มุ่งพัฒนาให้เป็นประเทศที่มีอิสระและสันติภาพ






แก้ปัญหาตัวเองไม่ได้




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2551 15:15:30 น.
Counter : 9024 Pageviews.

11 comments
การ์ตูนจากกล่องอาหาร สมาชิกหมายเลข 4313444
(14 เม.ย. 2567 04:14:16 น.)
สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ…วางแผนการเงินอย่างไร ให้เหลือใช้ถึงปลายเดือน! สมาชิกหมายเลข 7654336
(13 เม.ย. 2567 02:04:45 น.)
แคดเมียม Cadmium ความอันตรายของมัน สมาชิกหมายเลข 4149951
(8 เม.ย. 2567 07:11:22 น.)
เรื่อง ที่เตือนมาจากทนายความ ควรหลีกหนี 20 เรื่องเหล่านี้เพราะ..... newyorknurse
(28 มี.ค. 2567 02:09:48 น.)
  
น่าจะมีศิลปะในสมัยก่อนมาให้ศึกษาดูด้วยนะคะ น่าจะดี
โดย: มิ้นท์ IP: 203.170.156.77 วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:10:12:57 น.
  
งง มากมาก
โดย: มาย IP: 124.120.99.84 วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:18:38:40 น.
  
วี้วววววววว


โดย: แหะแหะ IP: 125.27.113.135 วันที่: 2 มิถุนายน 2551 เวลา:21:54:45 น.
  
เธญเธขเธฒเธเน„เธ”เน‰เธกเธฒเธ™เธฒเธ™เนเธฅเน‰เธง เธˆเธฐเน„เธ”เน‰เน€เธญเธฒเน„เธงเน‰เธญเนˆเธฒเธ™เธชเธญเธš
โดย: เน€เธ”เน‡เธ เธžเธŠเธก. IP: 202.28.62.245 วันที่: 5 ตุลาคม 2551 เวลา:15:45:16 น.
  
ขอที่มันละเอียดกว่านี้ได้มั้ยคับ
โดย: L IP: 118.174.56.185 วันที่: 24 มีนาคม 2552 เวลา:0:44:58 น.
  
ดีจริง
โดย: ฉัตร IP: 115.87.0.34 วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:18:41:02 น.
  
งงมากมาย แต่ก็ดีค่ะ
โดย: mitty IP: 115.67.58.6 วันที่: 5 สิงหาคม 2552 เวลา:21:25:19 น.
  
อยากข้อให้แนะนำหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในช่วงเอะโดะหน่อยนะค่ะ ขอบคุณค่ะ
โดย: Hippogriff IP: 118.172.21.195 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:26:12 น.
  
......
โดย: ....... IP: 110.77.203.3 วันที่: 18 ธันวาคม 2555 เวลา:13:10:04 น.
  
ยาวจัง
โดย: มิโนเอะ IP: 171.100.127.66 วันที่: 31 กรกฎาคม 2557 เวลา:0:14:06 น.
  
อยากให้น้องสื่อให้เข้าใจกะทัดรัดกว่านี้ แล้วก็ควรจะมีรูปภาพประกอบบ้างนะคะ อันนี้มันตัวหนังสือยาวไปไม่ค่อยน่าสนใจแต่ก็ดีแล้วล่ะค่ะ
โดย: คิโมนาระ IP: 171.100.127.66 วันที่: 31 กรกฎาคม 2557 เวลา:0:17:24 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Pongpinyo.BlogGang.com

au_444
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]