รักโอเวอร์โหลด





เรื่องราวความรักอันหนักหน่วงของลลนา...สาวน้อยที่น้ำหนักตัวไม่น้อย เพราะเหยียบร้อยกิโล เจ้าของร้านข้าวขาหมูอันโด่งดังที่จับพลัดจับพลูถูกฟ้าเล่นตลกต้องมาติดอยู่ในร่างนางแบบสาวสวยหุ่นเพรียวลมซึ่งเพิ่งได้รับบทเด่นเป็นนางเอกละครเรื่อง "รักต้องหาม"

เรื่องมันดูเหมือนจะไม่มีอะไร ถ้าเจ้าตัวไม่ต้องหาทางรับมือกับคู่หมั้นหนุ่มหล่อล่ำของนางแบบสาวที่ดูท่าจะติดใจสงสัยกับบุคลิกที่เปลี่ยนไปของเธอ ตามด้วยพระเอกหนุ่มจอมเจ้าชู้ที่คอยแจกขนมจีบป้อนใส่หัวใจให้เธอตลอดเวลา

งานนี้สาวเจ้าจะถูกจับไต๋ได้หรือไม่ จะหัวใจน้อยๆของเธอจะวอกแวกไปกับใคร คงต้องตามลุ้นกันในรักโอเวอร์โหลดค่ะ









บทนำ

“ถ้าฉันต้องอ้วนแบบนั้น ฉันขอตายซะดีกว่า”

คำพูดที่แว่วผ่านประตูอุโบสถเข้ามาท่ามกลางเสียงฝนซึ่งกำลังโปรยปรายกระทบกับหลังคา ทำให้ผู้ที่เพิ่งเสร็จจากการไหว้พระและกำลังตรงมายังประตูไม้สีแดงบานใหญ่ด้านนั้นชะงักกึก คิ้วเรียวสวยบนใบหน้ากลมขมวดเข้าหากัน ก่อนเจ้าตัวจะเหลียวหลังกลับไปมองคนในอุโบสถเพื่อความแน่ใจ

ตอนนี้ในอุโบสถกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งมีพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่บนแท่นขนาบด้วยพระพุทธรูปองค์เล็กกว่าในปางต่างๆอีกหลายองค์นั้น มีเพียงครอบครัวพ่อแม่ลูก...สามคน...กำลังนั่งพับเพียบกราบขอพรพระ และหนุ่มสาวท่าทางจะเป็นคู่รักกำลังเขย่ากระบอกไม้เพื่อเสี่ยงเซียมซีเท่านั้น ดูจากรูปร่างของทุกคนในที่นั้น คนมองก็สรุปได้ภายในเสี้ยววินาทีว่าไม่มีใครเข้าข่าย ‘อ้วนแบบนั้น’ ตามที่ได้ยินสักคน ดังนั้นบุคคลที่กำลังตกเป็นเป้าสนทนานั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...

เธอ !

ลลนาหันขวับกลับมาทางเดิมอย่างไม่พอใจนัก ริมฝีปากอวบอิ่ม แดงด้วยเลือดฝาดเม้มแน่น คิ้วโก่งเรียวขมวดแน่น ไม่เข้าใจว่าเธออ้วนอย่างนี้แล้วมันไปหนักอวัยวะเบื้องบนของใครกัน ทำไมคนจึงชอบวิจารณ์รูปร่างของเธอนัก ถึงเธอจะอ้วนไปนิด...น้ำหนักเกินมาตรฐานมากไปหน่อย...แต่เธอก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่นา

คิดแล้วก็ชักอยากเห็นหน้าคนพูดนักว่าเจ้าหล่อนจะมีรูปร่างดีเลิศเพอร์เฟคสักแค่ไหน ถึงได้กล้าพูดว่าคนอื่นอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้

หากยังไม่ทันก้าวต่อไป เสียงเดิมก็ดังลอดผ่านบานประตูเข้ามาอีก

“ได้ยินก็ได้ยินสิ กลัวอะไร ฉันพูดความจริงนี่” เจ้าของเสียงนั้นตอบอย่างไม่ยี่หระ ทั้งติดจะรำคาญเสียอีก คนที่คุยด้วยคงจะเตือนอะไรกลับมาอีก เสียงเดิมจึงขึ้นเสียงสูงฟังบาดลึกเข้าไปในใจคนแอบฟังว่า

“ทำไมล่ะ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย หรือเธอกลัวว่าฉันจะอ้วนอย่างนั้นจนต้องตายจริง ๆ” คนถูกเตือนย้อนเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร “ไม่มีทางซะล่ะ ฉันไม่มีทางปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้พะโล้เรียกป้าอย่างนั้นแน่ !”

‘พะโล้เรียกป้า’สะอึก อารมณ์คุกรุ่นในอกพุ่งปรี๊ดขึ้นมาโดยไม่กลัวปรอทแตก ความยับยั้งชั่งใจ สำนึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรปล่อยให้โทสะจริตเข้าครอบงำสลายหายวับไปทันที

ไม่รอช้า หญิงสาวรีบก้าวข้ามธรณีประตูออกไปด้านนอก ยืนจ้องแผ่นหลังของคนพูดตาลุกวาว

โธ่เอ๊ย...นึกว่าคนพูดจะหุ่นดีสักแค่ไหน ที่แท้ก็ไม้เสียบผีดีๆนี่เอง

หนอย...บังอาจมาวิจารณ์รูปร่างของเธอ...ไม่รู้จักดูตัวเองก่อนซะบ้าง

ลลนาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยามมองไปยังร่างผอมบางจนแทบจะปลิวลมในชุดเสื้อคอปาดสีฟ้าสดใสกับกางเกงผ้าขาม้าสีขาวซึ่งกำลังยืนหันหลังให้เธอ ก่อนจะเหลือบตาไปยังหญิงสาวรูปร่างสมส่วนในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีเหลืองสดคาดทับด้วยเข็มขัดหนังสีดำเส้นโตตรงสะโพกกับกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างกัน

หญิงสาวเสื้อเหลืองหันมาเห็นเธอเข้าพอดี เจ้าหล่อนสะดุ้งโหยง หน้าตาตื่น ฝืนยิ้มกร่อย ๆให้เธอ ก่อนสะกิดบอกผู้เป็นเพื่อน เจ้าของเสียงนั้นจึงได้หันหน้า ปรายตามาทางเธออีกคน

ใบหน้าเนียนกับดวงตากลมโตได้รูปสวยที่แตะแต้มประกายสีเงินบนเปลือกตานั้นดูคุ้นตานัก หากลลนาไม่แน่ใจว่าเคยเห็นเจ้าหล่อนที่ไหนมาก่อน ความที่อารมณ์กำลังเดือดได้ที่ เจ้าตัวจึงไม่เสียเวลาคิดให้มากความ ถลึงตาเอ่ยปากเปิดศึกเสียงเขียวเลยว่า

“เมื่อกี้เธอเรียกใครว่าพะโล้เรียกป้า?”

‘ไม้เสียบผี’ตรงหน้ายักไหล่ ทำหน้าระอาเสียเต็มประดา ก่อนหันกลับไปเชิดหน้า ยืนกอดอกด้วยท่าทางไม่สนใจราวกับไม่อยากเอาทองไปรู่กระเบื้องกระนั้น ทำเอาคนที่เตรียมตัวจะเล่นงานอีกฝ่ายอารมณ์พุ่งมากขึ้น ใบหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม สาวข้างกายคู่กรณีของเธอจึงรีบเอ่ยปากแทรก พร้อมกับพยายามตีหน้าไม่รู้เรื่องแบบ ‘เนียน’ สุด ๆ

“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันกับเพื่อนกำลังคุยถึงเพื่อนอีกคนเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยพาดพิงถึงคุณเลยนะคะ”

ลลนาสบตาคนพูดเงียบ ๆ ก่อนเหลือบมองแผ่นหลังของสาวปากไม่มีหูรูดตรงหน้าอย่างชั่งใจ แม้จะไม่พอใจที่ถูกพาดพิงเรื่องอ้วน หากอีกฝ่ายก็ไม่ได้ระบุชื่อของเธอออกมาตรง ๆ แถมยังอ้างว่าพูดถึงเพื่อนเสียอีก เมื่อจับไม่ได้คาหนังคาเขา ปราศจากหลักฐานพยานยืนยัน เธอก็คงเอาผิดเจ้าหล่อนไม่ได้

สาวอ้วนพยายามข่มอารมณ์เดือดดาลในอกให้สงบลง ยืนนิ่งมองแม่สาวกุ้งแห้งนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินเลี่ยงไปยืนหลบฝนอยู่อีกด้านซึ่งมีคู่สามีภรรยาวัยกลางคนและหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแทน หวังในใจว่าตลอดเวลาที่ต้องยืนหลบฝนอยู่ตรงนี้ เจ้าหล่อนจะไม่พูดจาหาเรื่องร้อนหูเธออีก หากเจ้าของร่างผอมบางนั้นยืนเงียบได้ไม่นานก็บ่นออกมาอีก

“วัดในกรุงเทพฯมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องให้ฉันมาบนไกลถึงอยุธยาด้วยนะ ขับรถวนหาตั้งนานกว่าจะเจอทางเข้า ซอยก็ทั้งลึกทั้งแคบ สองด้านก็มีแต่ทุ่งนา ไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย”

เพราะบริเวณหน้าอุโบสถนั้นเป็นชานไม่กว้างนัก เสียงบ่นของหญิงสาวจึงได้ยินกันทั่วโดยไม่จำเป็นต้องเงี่ยหูฟัง หญิงชราที่ยืนอยู่ใกล้กระถางต้นไม้เหลือบตามองคนพูดอย่างไม่พอใจแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ว่าอะไร ขณะที่คนอื่นได้แต่ยืนปิดปากเงียบ ทำท่าไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง

“ก็หลวงพ่อที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ ใครขออะไรเป็นได้ทั้งนั้น เธอก็เห็นแล้วนี่ว่ามีคนเอาไข่ต้มมาแก้บนมากขนาดไหน และถ้าไม่ใช่ว่าเรามากันวันธรรมดา วันนี้คนคงแน่น เบียดกันจนแทบไม่มีที่แทรกตัวเข้าไปในอุโบสถแน่” สาวเสื้อเหลืองพยายามอธิบาย ท่าทางอ่อนอกอ่อนใจกับผู้เป็นเพื่อนอยู่เหมือนกัน

จริงอย่างที่หญิงสาวผู้นั้นพูด หลวงพ่อ...ศักดิ์สิทธิ์นัก ไม่ว่าใครขออะไรก็จะสำเร็จ เธอเองถ้ามีเวลาว่างก็มักจะมาไหว้สักการะท่านเสมอ... ลลนามองผ่านกรอบประตูเข้าไปในอุโบสถซึ่งประดิษฐานด้วยพระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่ วงพักตร์สงบแย้มโอษฐ์ยิ้มอย่างปรานี

เมื่อปีกลาย เธอมาบนกับหลวงพ่อ ขอให้กิจการร้านข้าวขาหมูที่ลงทุนลงแรงไปเจริญรุ่งเรือง มีลูกค้าแน่นขนัด ตอนนี้ร้านของเธอขายดิบขายดี โด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วจนได้รับสัญลักษณ์รับประกันความอร่อยมากมายมาประดับร้าน วันนี้เธอจึงฝากร้านกับต้อยติ่ง...ลูกมือในร้านและเดินทางมาแก้บนที่วัดแต่เช้า คิดว่ามาวันธรรมดาคนจะได้ไม่เยอะนัก เพื่อจะได้รีบกลับไปขายข้าวขาหมูต่อ หากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้เธอต้องติดอยู่ที่นี่ ติดฝนยังไม่เท่าไหร่ แต่ต้องยืนทนฟังเสียงบ่นของแม่สาวปากเสียคนนั้นแล้ว...ลลนาก็ได้แต่ส่ายหน้า ถอนใจยาว

“ตอนขามาฟ้ายังใสอยู่เลย จู่ ๆ ฝนดันตกลงมาซะได้ แล้วอย่างนี้ฉันจะได้กลับกรุงเทพฯกี่โมงกี่ยามกัน”

สาวร่างผอมแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำทะมึน มีแสงสีขาวแวบวาบมองคล้ายแสงแฟลชให้เห็นเป็นระยะ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงครืน ๆ คำรามก้องแล้วถอนใจเฮือก

“ดูสิ...ฝนตกจนพื้นแฉะไปหมดแล้วฉันจะเดินไปที่รถยังไง เพิ่งไปทำเล็บมาด้วย”


ลลนาเหลือบตามองเล็บสีชมพูเคลือบมุกบนเรียวเท้าขาวผ่องซึ่งสวมอยู่ในรองเท้าแตะส้นเตี้ย มีสายหนังสีน้ำเงินถักเป็นเปียไขว้กันด้านหน้าของคนพูด ก่อนจะกวาดตามองบันไดตรงหน้าที่ถูกน้ำฝนกระเด็นใส่จนเปียกแฉะ ไล่ไปจนถึงลานกว้างหน้าอุโบสถซึ่งมีรถญี่ปุ่นรุ่นล่าสุดสีบรอนซ์เงินจอดอยู่ใต้ต้นพิกุลใกล้กับต้นโพธิ์ต้นใหญ่ มีผ้าเจ็ดสีผูกเอาไว้

ระยะทางแม้ไม่ไกลนัก หากพื้นที่เป็นเพียงดินแข็ง ๆ พอถูกน้ำฝนก็อุ้มน้ำจนชุ่มฉ่ำ ดูเฉอะแฉะ แถมบางแห่งยังเป็นแอ่งเล็ก ๆ มีน้ำขังเจิ่งนอง ยังไงเสียกว่าจะเดินไปถึงรถได้ เท้าสวย ๆ คู่นั้นคงต้องเปื้อนดินอย่างไม่ต้องสงสัย

“เอาน่า...เดินระวัง ๆ หน่อยก็คงไม่เลอะมากนักหรอก” ผู้เป็นเพื่อนปลอบ “แน่ะ...ฝนซาแล้ว เราพอจะฝ่าไปได้แล้วล่ะ ไปกันเถอะ”

ลลนาได้ยินเสียงแม่สาวเสื้อฟ้าถอนใจอีกรอบ ก่อนเจ้าตัวจะใช้กระเป๋าหนังสีดำที่สะพายอยู่ขึ้นมาบังศีรษะแล้วเขย่งเท้าตามเพื่อนสาวไปยังรถที่จอดอยู่อย่างระมัดระวัง

“หวังว่าฉันคงไม่ต้องมาที่วัดนี้อีกนะ... ดูสิ น้ำกระเด็นใส่ขากางเกงฉันจนเปรอะไปหมด....” เสียงบ่นยังแว่วมาให้ได้ยินก่อนจะเบาลงจนเลือนหายไป

“เฮ้อ... สาว ๆ สมัยนี้ พูดจาไม่ถนอมน้ำใจกันบ้างเลย ขนาดอยู่ในวัดในวาแท้ ๆ” เสียงแหบแห้งของหญิงชราร่างเล็กที่ยืนอยู่ใกล้กระถางต้นไม้พูดขึ้นลอย ๆ

ลลนาหันไปทางต้นเสียง พบว่าตรงนั้นเหลือเธอกับหญิงชรายืนอยู่แค่สองคนเท่านั้น คนอื่น ๆ ทยอยกันเดินลงบันไดตามสองสาวนั่นไปแล้ว เธอไม่รู้จะตอบว่าอะไรจึงได้แต่ยิ้มเฉย ร่างเล็กบางในชุดผ้าซิ่นสีน้ำเงินกับเสื้อลูกไม้สีเหลืองนวลพูดต่อเนิบ ๆ

“หนูไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ความงามทางกายก็แค่เปลือกที่ห่อหุ้มเราเอาไว้เท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความงามภายในจิตใจมากกว่า” คนพูดโคลงศีรษะ ดวงตาดำซึ่งยังเป็นประกายสดใส ไม่ฝ้าฟางเฉกเช่นคนวัยเดียวกันประดับด้วยรอยยิ้มยามสบตาเธอ

“ความจริงแม่หนูนั่นพูดจาดูถูกคนอ้วนเสียขนาดนั้น น่าจะให้เธอได้ลองลิ้มรสชาติของความอ้วนดูบ้างนะ จะได้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราเสียบ้าง ไม่ใช่เห็นแต่ตัวเองดีเลิศอยู่คนเดียว” หญิงชราส่ายหน้า พลางละสายตาจากเธอเหลือบมองท้องฟ้าแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อ

“ฝนซาแล้วก็จริง แต่ดูท่าว่าอาจจะตกลงมาอีกรอบ ยายว่าหนูรีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวจะติดฝนอยู่ตรงนี้ไม่ต้องกลับกันพอดี” นางส่งยิ้มอ่อนโยนให้ทิ้งท้าย จากนั้นจึงหิ้วตะกร้าซึ่งบรรจุธูปเทียนและผลไม้เดินลงบันไดไปอย่างกระฉับกระเฉง


สาวร่างอ้วนมองตามแผ่นหลังอันบอบบางของหญิงชราจนถึงลานกว้างตรงหน้า จึงได้เหลือบมองฟ้าซึ่งยังคงดำทะมึน มีฟ้าแลบแวบวาบ ก่อนจะเหลียวหลัง มองผ่านกรอบประตูไปยังวงพักตร์ปรานีขององค์พระพุทธรูปอีกครั้งแล้วคลี่ยิ้ม

ถ้าเป็นอย่างที่คุณยายพูดได้ก็คงดี ให้ยายกุ้งแห้งนั่นลองมาอ้วนอย่างเธอบ้าง ดูสิงานนี้แม่นั่นจะยังหัวเราะออกมั้ย...

ครืน...ครืน...

จู่ๆฟ้าก็ส่งเสียงคำรามดังสนั่น ทำเอาคนคิดอะไรเพลินสะดุ้งโหยง

หญิงสาวเงยหน้ามองฟ้ามืดครึ้มอีกครั้งอย่างตกใจ แล้วค่อยรู้สึกตัวว่าเหลือเธอยืนอยู่ ณ ที่นั้นคนเดียว จึงรีบก้าวเท้าลงจากบันไดอุโบสถ ตรงไปยังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ของตัวเองบ้าง ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องที่ยังคงดังกระหึ่มไปตลอดทาง...

+++++++++++++++++++++

จบบทนำ

TOP




Create Date : 29 มิถุนายน 2553
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 20:03:22 น.
Counter : 821 Pageviews.

1 comments
  
อ่านได้ครึ่งเรื่องแล้วสนุกดีจังค่ะ
โดย: มอมแมม IP: 133.141.67.229, 133.141.67.225, 203.144.204.156 วันที่: 13 มกราคม 2555 เวลา:7:53:26 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Orapim.BlogGang.com

อรพิม
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]