หลังจากเคยขับรถหลุดฟรีเวย์
หลงเข้าไปในป่าช้าฝรั่ง forrest lawn เมื่อหลายปีก่อน
ฉันก็ไม่เจอสุกี้น้ำจัง ๆ อย่างนั้น
นานหลายปีติดต่อกันมาแล้ว
แม้มาได้มรดกเป็น 'กุมารทอง' จากพระ
ก็เอ่ยขอกันแต่ต้นเลยเชียวว่า
ห้ามมาให้เห็น 'เป็นตัว' เด็ดขาด
แล้วก็อยู่ร่วมบ้านด้วยกันด้วยดีเรื่อยมา
จนจะเข้า 3-4 ปีแล้ว
มีแค่เสียง เห็นแค่ของกินพร่อง
กับแกล้งเปิดเพลงให้ฟังบ้าง
แกล้งเล่นคอมฯ ที่ไม่ได้เสียบปลั๊กไว้บ้าง
กับอีก ฯลฯ รายการ
ที่ทำให้รู้ว่า "เรา" อยู่ด้วยกันนะเฟร้ย
แต่เจอถึงขั้น "กุมารขี้แกล้ง" อย่างนั้นก็ยังไม่ชิน
ยังกลัวไปหมดทุกตน
จนกระทั่งไปปฏิบัติธรรมมา
คราวนี้ล่ะ
แห่กันมาขอส่วนบุญส่วนกุศลเพียบ
และน่าแปลกที่ฉันเลิกกลัวผีไปเลยด้วย
เป็นเพราะ 'พระอาจารย์โพธิ์ สวนโมกข์'
ท่านสอนไว้ดีมาก
ดังนั้น
แม้จะเจอ "ใคร-ใคร" ตั้งแต่อยู่ที่สถานปฏิบัติธรรมแบบรายวัน
กลับมาเจอจัง ๆ อีกหลายครั้ง
ในคอนโดฯ สุขุมวิท
เจอนั่นนี่
แต่ก็คิดเพียงว่า
ทุกอย่างน่ะ จิตเราปรุงแต่งทั้งนั้นแหละ
และเลิกกลัวผี
ถ้าบังเอิญเห็นก็จะแผ่ส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้
แล้วเลือนผ่าน
ไม่ติดใจ ไม่สงสัย ไม่อยากรู้
และแน่นอนว่า ไม่เคยจะอยากเห็นเลย
แต่ภายใน 1 เดือนนี้มีเหตุให้ "อึ้ง" หลายหน
หากก็แค่อาการเห็นขณะ... ที่
ครึ่งหลับครึ่งตื่นบ้าง
กำลังนั่งอยู่ในสมาธิบ้าง
หลับตาสวดมนต์ตอนทำวัตรเช้าเย็นบ้าง
เรียกว่า เห็นใน "มโน" ซะละมั้ง
แม้ในวันที่ "ปาพจน์" เสียชีวิต จิตฉันจะ "รู้" ว่าเพื่อนมา
ก็นะ .. นั่นน่ะแฟนเพื่อน
คงมาตามธรรมเนียมการไปลามาไหว้
และอย่างจะฝากฝังแฟนมันซึ่งคือเพื่อนฉันนั่นละมั้ง
ถัดมา ปาพจน์ก็ยังมาแกล้งให้จะ ๆ อีก 3 เรื่องจัง ๆ
แต่ก็แค่นั่งนึกขำ ๆ คนช่างแกล้ง
สะใจที่เป็นเพื่อนซึ่งหารู้ไม่ว่า
เดี๋ยวนี้ อิฉันไม่กลัวผีแล้วค่ะคุณขา
จนเมื่อเช้า
หลังจากสัปดาห์นี้
ที่มะเฟืองส่งบทความซึ่งคุณแม่ปาพจน์เขียนมาให้ช่วยอ่าน
ก็เจอแกล้งแรก
แกล้งคู่เลยงานนี้
ก็ยังขำเพราะไม่ได้เจอเองนิ
มะเฟืองเจอต่างหาก
ฉันแค่เป็นพยานในที่เกิดเหตุ
ยังนึกขำผีขี้แกล้ง
จนตื่นมาสวดมนต์ทำวัตรเช้า
แล้วนั่งสมาธิตอนตี 4
มาเลยเต็ม ๆ
และฉันยังแค่นึกทักในใจ กับปล่อยผ่าน
มายา มายา มายา
พอถอนสมาธิแต่ยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียง
ทันใดนั้น
ข้าง ๆ เตียง เห็นเป็นเงาราง ๆ
ร่าง หุ่น หน้าปาพจน์เลย
ฉันก็นึก เอ๊ะ มาทำไม
มองตามนะ
เห็นร่างนั้นเลือนหายลงไปข้างล่าง
สักพักได้ยินเสียงตู้เก็บแก้วกาแฟเปิด
..
สารภาพกับตัวเองว่า ชักสยอง
เพราะอยู่คนเดียว และมันยังมืดอะ
เลยนั่งอยู่ในห้องนอนต่อไปจนเกือบ 6 โมงเช้า
ถึงไม่กลัว แต่ไม่ขอเดินตามไปดู
พอเช้าเท่านั้นแหละ
เดินลงมาในครัว
เจอตู้เก็บแก้วกาแฟเปิด
และแก้วกาแฟใบที่เลิกใช้มา 5-6 ปีวางอยู่บนโต๊ะ
นึกในใจ
สสารไม่สูญหายก็จริง แต่สสารย้ายที่ได้เองวุ๊ย
(เหรอวะเนี่ย)
แต่ทำเป็นไม่สนใจ
หลอกตัวเองว่า ลืมเอง
ตัวฉันแหละคงจะต้องละเมอลงมาเปิดตู้หยิบแก้ว
เรียกว่าหาสาเหตุบ้าบอไปตามที่จะเอ่ยอ้าง
ว่ามันไม่ใช่น่า ไม่ใช่หรอก
จู่ ๆ นึกรู้ขึ้นมาแบบ "รู้" เองในใจ
ปิ๊งขึ้นมา
ชงกาแฟสิคะคุณขา
ตอน 7 โมงเช้า
ชงกาแฟใส่แก้วที่ .. นั่นล่ะเลือก
แล้วเทใส่ชุดกรวดน้ำ
บ้าไปแล้ว กรวดกาแฟให้ "ผีเพื่อน"
ด้วยความที่รู้สึกขำ ที่กรวดกาแฟให้แฟนเพื่อน
เลยถ่ายรูปส่งไปยั่วมะเฟือง
พร้อมเล่าเรื่องคร่าว ๆ
คลิกส่งปิ๊งตรงดิ่งไปหามะเฟือง
55555+
มะเฟืองโทรกลับมาทันทีว่า
"เดี๋ยว ๆ แกบอกซิ แกชงกาแฟตอนกี่โมง"
"ตอน 7 โมงเช้าเป๊ะอะ"
"บ้าไปแล้วฉัน แกรู้ปะ ตอนนั้นนะพ่อปาพจน์โทรมาหาชั้นพอดี"
ฉันก็เหวอ แต่ที่เหวอยิ่งกว่านั้น
สาบานว่าเพิ่งรู้เรื่องจากมะเฟืองนาทีนี้แหละว่า
นับจากปาพจน์เสียชีวิตเมื่อต้นเดือนกันยายน
ทุกเช้านับจากวันนั้น ไม่เคยเว้นสักเช้า
พ่อปาพจน์จะชงกาแฟไปวางไว้ข้างรูปปาพจน์ไม่เคยขาด
เพราะพ่อปาพจน์รู้ว่า ลูกชายติดกาแฟที่สุด
แต่ให้ตายเหอะ ...
ตอน 7 โมงเช้าวันพฤหัสของแอลเอ
คือตอนค่ำของไทย
พ่อปาพจน์โทรมาคุยกะมะเฟืองรายวัน
และบอกว่า
เนี่ย วันนี้รู้สึกไม่ดี เพราะเมื่อเช้าไม่ได้ชงกาแฟให้ลูกชาย
(เนื่องจากอยู่ระหว่างการเดินทางมาตรวจร่างกาย)
พ่อแม่ปาพจน์เป็นคุณหมอรีไทร์ที่ดูแลสุขภาพดีมาก
และนาทีที่โทรหามะเฟืองเพิ่งกลับถึงบ้าน
บ้านของลูกชายคนโตที่ก็เป็นหมอ
และทั้งบ้านนั้นไม่มีกาแฟเพราะคุณหมอไม่กิน
โอ้ มาย โอ้ มาย
นายปาพจน์ถึงต้องมาขอกาแฟชั้นกินเนี่ยนะ
ให้ตายเหอะโรบิ้น
อะไรจะติดกาแฟขนาดนั้น
แล้วจู่ ๆ ตอนมะเฟิองคุยโทรศัพท์อยู่
ทันใดก็บอก
"เฮ้ย แก ได้กลิ่นน้ำหอมอะแก"
ฉันได้ยินเสียงมะเฟืองถามทุกคนในออฟฟิศ
ไม่มีใครได้กลิ่น
และ
ไม่มีใครใส่น้ำหอมผู้ชายยี่ห้อนั้น
งานนี้ .. ไม่อยากคิดอะไรอีกเล้ยยยยยย
พับเผื่อยสิเอ้า
นอกจากคิดว่า
กว่าจะเผานาย
ชั้นจะจำต้องเจอแบบนี้อีกกี่หนกันละหนอนี่!