ลงทุนยากจริงๆช่วงนี้ จะเล่นสั้นก็กลัวไม่คุ้ม Fee จะยาวก็ไม่แน่ใจว่าควรลงอะไร
Strategy Playbook ของ Citi Wealth Management เดือน ก.พ. ออกมา ปรากฏว่า นักวิเคราะห์ของเรายังคงแนะนำ Portfolio Recommendation แบบ 50:50 (50% ในหุ้น และ 50% ในตราสารหนี้) โดยก่อนหน้านี้ในช่วง Q4 ที่ผ่านมา แนะนำให้ลดพอร์ตหุ้นลด และเพิ่มน้ำหนักในตลาดตราสารหนี้แทน ด้วยสาเหตุที่ว่า พอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่เมื่อปีที่แล้ว ให้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ และตลาดหุ้นฝั่งเอเชียและตลาดเกิดใหม่ทั้งหลายตกเป็นเป้าขายทำกำไรหลังจากนั้น (สังเกตได้จากตลาดหุ้นในกลุ่ม TIPs อินเดีย และแม้กระทั่ง A-Share ของจีน ที่เริ่มดูซึมๆ)


สาเหตุที่กลับมาคงพอร์ตแบบ Balance อีกครั้ง มาจากการให้เพิ่มพอร์ตระยะสั้นเข้าไปในภูมิภาคยุโรป (โดยให้น้ำหนักเฉพาะฝรั่งเศสและเยอรมัน) และอีกแห่งหนึ่งก็คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ Underperform มากๆเมื่อเทียบกับกลุ่ม G10 ด้วยกัน

ตอนนี้ไปดูกันหน่อย ว่าทำไม Citi กลับมาชอบยุโรปและญี่ปุ่นตั้งแต่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา
• Valuation ของตลาดโดยรวมในยุโรปยังถือว่าถูก เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีตย้อนหลังไป 10 ปี
• เมื่อเทียบ Valuation ของยุโรปกับอเมริกา ผลปรากฏว่า ยุโรปก็ยังถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ ดังนั้น Upside Risk จึงสูงกว่าอเมริกาด้วย เช่นเดียวกันกับญี่ปุ่น ถึงแม้ Outlook ทางเศรษฐกิจไม่ดี แต่ตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆตัวส่งสัญญาณว่าเจอ Bottom ไปแล้ว
แล้ว Emerging Markets หรือตลาดหุ้นฝั่งเอเชียล่ะ?• Citi กังวลว่า GDP Growth ของจีนจะลดลงในปี 2011 นี้ ซึ่งการลดลงในปีนี้ Citi มองว่าน่าจะกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียด้วย
• Citi มองว่า Inflation Expectation ของประเทศในเอเชียมีน้อยเกินไป และเริ่มเห็นสัญญาณว่า Inflation มีอัตราเร่งที่สูง ซึ่งจะกดดันให้ประเทศเหล่านี้ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง และการขึ้นดอกเบี้ยก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2010


อย่างนี้ แปลว่า นักลงทุนคนไหนไม่มีพอร์ตในตลาด Developed Markets จำเป็นต้องเพิ่มเลยหรือเปล่า?
- ก่อนจะถามว่าควรเพิ่มหรือไม่ควรเพิ่มก็คือ คุณเชื่อ Citi หรือเปล่า? (แล้วส่วนใหญ่ก็ตอบเป็นเสียงเดียวว่า “ไม่”) ถ้าตอบว่าไม่ ก็ต้องกลับมาดูในมุมของ Technical และ Fundamental แล้วไปเลือกกันเอาเองอีกทีว่าสมควรลด/เพิ่มอะไรในพอร์ต แต่ถ้าเชื่อ ข้างล่างนี้ คุณไม่จำเป็นต้องอ่านให้ลังเลครับ เพิ่มเข้าไปได้เลย
- เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง งั้นไปลองดู ในมุมมองเรื่อง Timing ว่า สมควรเพิ่ม Developed Markets ในพอร์ตตอนนี้เลยไหม ก็ขอให้ลองมาดูกราฟ


ดูดัชนี Dow Jones World Stock เราเริ่มเห็นกราฟพยายามสร้างรูปแบบ Bearish Divergence ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อมองในมุมของ Technical แล้ว Risk/Reward ของการลงทุน ณ จุดนี้ อาจไม่คุ้มเสี่ยง แต่รูปแบบการขึ้นแบบนี้ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงเดือน ก.ค. ถึง ธ.ค. ของปี 2009 แล้วค่อยมาปรับฐานทีเดียว ~10% ในช่วงต้นปี 2010 (ใช่ว่าจะลงอย่างเดียว) แต่ก็ล้างที่สะสมมาตั้งแต่เดือน ก.ย. หมดเลย แล้วค่อยนับใหม่ สรุปคือ เข้าตอนนี้ มีโอกาสได้กำไรไหม? ก็ต้องบอกว่ามีโอกาสครับ แต่ถึงเวลาต้องออก ก็ออกกันให้ทันด้วยก็แล้วกันจ้า

สมมติว่า ไม่เอา Developed Markets เข้าพอร์ตแล้วก็ได้ แต่ Emerging Markets นี่ ดูไม่น่ากลัวกว่าหรอ ข่าวร้ายชุกชม ไหนจะนโยบายของจีน ไหนจะเงินเฟ้อ ไหนจะพันธมิตร !
- Albert Einstein บอกไว้กันเราว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ตอนนี้อยากให้ลองจินตนาการดูก่อนนะครับว่า
o ตลาดหุ้นทั่วโลกสลับกันขึ้นระหว่าง EM กับ DM แต่สุดท้ายยังไม่มีตลาดไหนปรับฐานแรงๆเกิน 10% ให้เราเห็นเลย คิดว่าการขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ยั่งยืนไหม?
o หากตลาดหุ้นมีการปรับฐานในอนาคตอันใกล้ จะปรับตัวได้แรงถึงขั้นเหมือนช่วง Subprime ตอนปี 2008 ไหม?
สองคำถามนี้สำคัญครับ เพราะมันหมายถึง Roadmap การลงทุนของเราในปีนี้ทั้งปี และอาจมากกว่านั้นด้วย แต่สำหรับคำถามของ Citi เรายืนยันชัดเจน (ตรงนี้ต้องทำเสียงหล่อนิดเนิง ฮาๆ) ว่า โลกผ่านช่วง Recession ไปแล้ว และโอกาสเกิด Double Dips น้องมากๆ (ตลาดหุ้นตกลงไปแรงๆเหมือนปี 2008 ไม่น่าเกิดขึ้นอีก) หลังจากนี้ไป Fund Flows เงินลงทุนในโลก อาจวิ่งไปวิ่งมาสับสนหน่อย แต่ก็เป็นเพราะแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ไม่ใช่เพราะกลัวความเสี่ยง หรือกลัว Crisis อย่างแต่ก่อนครับ


ดูกราฟข้างบนนะครับ EM/DM Relative (เส้นสีดำ) ถ้าเส้นกราฟวิ่งขึ้น ก็แปลว่า Developed Markets วิ่งแรงและ Outperform ตลาดฝั่ง Emerging Markets ซึ่งล่าสุดช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา EM แพ้อยู่ 6.6% เมื่อเทียบกับ 4 ครั้งที่มีการปรับฐาน EM เคยแพ้อยู่ที่ -14.5%, -14.9%, -10.3% และ -32.5% (ช่วง Subprime Crisis) ตามลำดับ

ถ้าอ้างอิงจากข้อมูลในอดีต ก็แปลได้สองทางครับ 1) ไม่ EM ต้องลงแรงๆให้ Gap เท่ากับข้อมูลในอดีต ก็ต้อง 2) DM ยังต้องเป็นเทรนขึ้นต่อไปโดยที่ EM อาจเทรดแบบ Sideway อยู่ตรงนี้ หรือเอาเร็วๆก็คือ EM ปรับตัวลง และ DM ยังวิ่งขึ้นไปพร้อมๆกัน แต่ EM จะลงแรง แล้วกลับมายากไหม ข้อมูลสถิติย้อนหลังบอกเราว่า EM ซึ่งมีค่า Beta สูงกว่า DM ตอนที่เด้งขึ้นมา EM ก็ Rebound แรงกว่า DM ได้ทุกครั้งครับ

ไปดูภาพสุดท้าย ข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1990 (ย้อนหลังไป 20 ปี) ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นขาขึ้น EM ให้ผลตอบแทนดีกว่า DM เสมอมา (ยกเว้นแต่ปี 1996 ปีนั้นปีเดียว ที่ตลาดหุ้นเริ่มเทรดด้วย Internet ในอเมริกาก่อน คนเลยให้ความสนใจกับตลาดหุ้นโน้นกันเยอะ)



นับตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา ปีไหนที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ไม่มีปีไหนเลยที่ Emerging Markets แพ้ Developed Markets ครับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะฉะนั้นที่ผมถ้าไปสองข้อว่า คิดว่าการขึ้นของตลาดหุ้นที่แบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ยั่งยืนไหม? และ หากตลาดหุ้นมีการปรับฐานในอนาคตอันใกล้ จะปรับตัวได้แรงถึงขั้นเหมือนช่วง Subprime ตอนปี 2008 ไหม? สาเหตุก็เพื่อให้นักลงทุนมองภาพจากจินตนาการกันก่อนครับว่า ถ้าเราคิดว่าตลาดหุ้นยังเป็นเทรนขาขึ้น ยังไงเสีย EM ก็ควรจะกลับมาชนะ DM ได้ และหากตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับฐานลงมาแรงๆพร้อมกัน DM หรือ EM ที่เราควรเลือกลงทุน ลองคิดกันดู

ไว้คราวหน้า จะเขียนถึง Emerging Markets ว่า จะไปเลือกลงทุนที่ไหนดี วันนี้เยอะแล้ว พอก่อนน้อ...



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2554 23:30:45 น.
Counter : 3113 Pageviews.

3 comments
  
ขอบคุณครับ
โดย: เฉลียง IP: 58.9.67.35 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:12:25:50 น.
  
Thanks.
โดย: Areewan IP: 58.8.94.240 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:13:55:40 น.
  
คุณ Mr.messenger ครับ
เจ้าตัว Developed Markets นี่มีกองทุนรวมในบ้านเราออกมาบ้างไหมครับ? ถ้ามีชื่อกองทุนอะไรหรือครับ ?
คือตอนนี้ผมมีเจ้า emerging market แล้ว ลงทุนผ่านกองทุนรวม ต้องการเพิ่มเจ้า Developed Markets เข้าไปใน port ด้วยน่ะครับ ช่วยแนะนำหน่อยเพราะเท่าที่ผมลองดูๆแล้วยังไม่เคยเจอเลยครับ

ขอบคุณมากครับ
KeithOrbit
Trendfollower
prob 2 win 50%
reward/risk 2:1
โดย: Keith Orbit IP: 125.26.179.155 วันที่: 30 เมษายน 2554 เวลา:10:18:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mrmessenger.BlogGang.com

Mr.Messenger
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 61 คน [?]

บทความทั้งหมด