ความอดทน ปุณโณวาทสูตร
คนอดทน

ขันติ เป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์

ขันติ เป็นตบะของผู้พากเพียร

ขันติ เป็นกำลังของนักพรต

ขันติ นำประโยชน์สุขมาให้



พระเถระผู้มีอธิวาสนขันติ เป็นเรือนใจ ในสมัยพุทธกาล มี ท่านพระปุณณเถระ เป็นตัวอย่าง มีเรื่องเล่าว่า พระปุณณะบวชอยู่ในสำนักของพระบรมศาสดา แล้วก็มุ่งหน้าในการเจริญกรรมฐานในวัดเชตวัน กรุงสาวัตถี แต่ก็ไม่มีอะไรเจริญก้าวหน้าในทางจิตใจ ท่านจึงรำพึงในใจว่า ที่นี้ เป็นสถานที่ไม่เหมาะในการทำความเพียรทางจิตใจ แม้จะอยู่ต่อไปก็คงจะไม่สำเร็จมรรคผล เพราะ ไม่เป็นเสนาสนะสัปปายะ ท่านพระปุณณะ มีความประสงค์จะกลับไปสู่แคว้นสุนาปรันตะ อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองมารดรของตน อาจจะส่งผลให้การเจริญสมณธรรมสำเร็จได้โดยง่าย เพราะ เป็นที่สบายเงียบสงัด เหมาะแก่การปฏิบัติความเพียรทางจิตใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่รบกวนก็มีน้อยไม่ค่อยอึกทึกครึกโครม เหมือนกรุงสาวัตถี เมื่อคิดเช่นนี้ ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลพร้อมกับรับพระโอวาท

พระศาสดาทรงทราบว่า ท่านประกอบอยู่ด้วยอธิวาสนขันติ จึงตรัสถามว่า

"ปุณณะ.. พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะนั้น เป็นคนดุร้ายนักแล ปุณณะ.. พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ เป็นคนหยาบคาย แข็งกระด้าง ปุณณะ.. ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักด่า จักบริภาษ จักตวาดขู่เข็ญเธอ ด้วยวาจาหยาบคายร้ายกาจ เธออาจทนได้หรือไม่ และ เธอมีอุบายอย่างไรในเรื่องนี้"

พระปุณณะ กราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักด่า จักบริภาษ จักตวาดขู่เข็ญ ข้าพระองค์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ข้าพระองค์ก็จักใช้อุบายในเรื่องนั้นว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะดีนักแล พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะนี้ดีจริงหนอ แม้พวกเขาจักด่าเรา ด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่พวกเขาก็ไม่ทำร้าย ไม่ให้การประหัตประหารด้วยกำปั้นหรือฝ่ามือ ถือว่าเป็นบุญของเราหนักหนา ข้าแต่พระศาสดาผู้เป็นพระบรมครู ถ้าข้าพระองค์ถูกขู่เข็ญด้วยถ้อยคำหยาบคาย ข้าพระองค์ก็จักใช้อุบายเช่นนี้แล พระพุทธเจ้าข้า"

พระบรมศาสดา ตรัสว่า

"ปุณณะ..ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักทำร้ายให้การประหัตประหารเธอ ด้วยฝ่ามือเล่า เธอจักเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ด้วยอุบายอย่างไร ไหนลองแถลงไขให้เราฟังหน่อยซิ"

พระปุณณะ กราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ถ้าเกิดว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือเล่า ข้าพระพุทธเจ้าจักใช้อุบายข่มใจในเรื่องนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ นี้ดีจริง ๆ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะนี้ดีเหลือเกิน แม้พวกเขาก็ไม่ประหารเรา ด้วยฝ่ามือหรือกำปั้น แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่ประหารเราด้วยก้อนดิน ข้าแต่พระมุนินทร์ผู้ประเสริฐ ถ้าเกิดพวกเขาประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือ ข้าพระองค์ก็จักถือเอาอุบายเช่นนี้ เป็นเครื่องบรรเทา พระเจ้าข้า"

พระศาสดาตรัสว่า

"ปุณณะ.. ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักประหารเธอด้วยก้อนดินล่ะ เธอจะทำอย่างไรในเรื่องนี้"

พระปุณณะ กราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าบังเอิญ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักให้การประหารข้าพระองค์ ด้วยก้อนดินไซร้ ในเรื่องนี้ ข้าพระองค์จักดำรงอยู่ในขันติ ดำริว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ นี้ดีแท้ แม้พวกเขาจักประหารเราด้วยก้อนดินไซร้ แต่ก็ยังดีกว่าพวกเขาจักประหารเราด้วยท่อนไม้ เป็นไหน ๆ ข้าแต่พระจอมไตรผู้ประเสริฐ ถ้าเกิดพวกเขาประหารข้าพระองค์ด้วยก้อนดิน ข้าพระองค์ก็ใช้อุบายเช่นนี้แล พระเจ้าข้า"

พระศาสดาตรัสว่า

"ปุณณะ.. ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักประหารเธอด้วยท่อนไม้ เธอจักใช้อุบายอย่างไร ในเรื่องนี้"

พระปุณณะ กราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนาถะของชาวโลก ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักประหารข้าพระองค์ด้วยท่อนไม้ ข้าพระองค์จักใช้อุบายอันแยบคายว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ นี้ดีจริงหนอ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะนี้ดีเอาการ แม้พวกเขาจักประหารเราด้วยท่อนไม้ แต่พวกเขาก็ไม่ประหารเราด้วยศัสตรา ข้าแต่พระบรมศาสดา ในเรื่องนี้ ข้าพระองค์จักใช้อุบายอย่างนี้แล พระเจ้าข้า"

พระศาสดาตรัสว่า

"ปุณณะ.. ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักประหารเธอด้วยศัสตรา เธอจักหาอุบายอะไรแก้ไขในเรื่องนี้"

พระปุณณะ กราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักประหารข้าพระองค์ด้วยศัสตรา ข้าพระองค์จักดำรงอธิวาสนขันติไว้ในใจว่า ดีจริง ๆ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ นี้ พวกเขาช่างเป็นคนดีแท้ แม้จักประหารเราด้วยศัสตรา แต่พวกเขาก็ไม่ฆ่าเราให้ตาย ด้วยศัสตราอันคม ข้าแต่พระโคดมผู้ประเสริฐสุด ในเรื่องนี้ ข้าพระองค์จักใช้อุบายอย่างนี้แล พระเจ้าข้า"

พระศาสดา ตรัสว่า

"ปุณณะ.. ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักปลงเธอเสียจากชีวิต ด้วยศัสตราอันคม เธอจักนิยมใช้อุบายอย่างไรในเรื่องนี้"

พระปุณณะ กราบทูลว่า

"ข้าแต่พระบรมศาสดา ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะ จักปลงข้าพระองค์เสียจากชีวิต ด้วยศัสตราอันมีคมไซร้ ข้าพระองค์ จักทำไว้ในใจ โดยอุบายอันแยบคายว่า พวกเขาฆ่าเราให้ตาย ก็ดีเหมือนกัน เพราะ อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาปลงชีวิตให้ ไม่ต้องลำบาก คนบางคนอยากจะตาย ต้องขวนขวายหาศัสตราวุธอันคมมาฆ่าตัวเอง แต่สำหรับข้าพระองค์แล้ว นับว่ามีบุญวาสนา เพราะ ไม่ต้องเสียเวลาในการแสวงหาศัสตราวุธ เหมือนกับมนุษย์บางจำพวก สะดวกสบายง่ายยิ่งกว่าง่าย เพราะ มีคนมาฆ่าให้ตาย ไม่ต้องลำบากลำบน ข้าแต่พระทศพลผู้ทรงพลานุภาพ ข้าพระองค์กราบทูล เพื่อทรงทราบด้วยอุบายเช่นนี้แล พระพุทธเจ้าข้า"

พระศาสดา ทรงประทานสาธุการว่า

"ดีละ ดีแล้ว ปุณณะ.. เธอประกอบด้วยความอดทน คือ อธิวาสนขันติ เช่นนี้ จักสามารถไปสู่สุนาปรันตชนบท เพื่อเจริญสมณธรรมได้ ไม่มีปัญหา"

นี่คือ เรื่องของพระปุณณะ ในสมัยพุทธกาล ซึ่งพระบรมศาสดาจารย์ ทรงยกย่องว่า เป็นพระที่มีความอดทนเป็นเยี่ยม จัดเป็น อธิวาสนขันติ คนมีความอดทน ส่งผลให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต นานาประการ พระบรมศาสดาตรัสว่า

"ผู้มีความอดทน ย่อมนำมาซึ่งประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และ บุคคลอื่น ผู้มีความอดทน ชื่อว่า เป็นผู้เข้าสู่ทางสวรรค์และนิพพาน ผู้มีความอดทน และ มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีความสุขทุกเมื่อ ผู้มีความอดทน ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจ ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย "

ดังนั้น คนมีความอดทน พระทศพลจึงตรัสว่า มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ทันในทางโลกและทางธรรม ด้วยประการฉะนี้

ปล. หากว่า ทุกคน น้อมนำธรรมข้อนี้ ใปใส่ใจ และปฏิบัติแล้ว บ้านเมืองก็คงจะไม่วุ่นวายอย่างนี้ เพราะ ความอดทน เป็นสิ่งที่จะทำให้เข้าใจ และมองเห็นเหตุการณ์ ความเป็นไปได้อย่างชัดเจน แต่ความผลีผลาม ใจร้อน เป็นเหตุนำความเสียหาย มาให้ทั้งแก่ตนเอง และ บุคคลอื่น คำว่า "อารยชน" นั้นหมายถึง ชนผู้ประเสริฐ มีความรู้ และ มีความประพฤติดี ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ตลอดจนวาจา ก็ย่อมดีงาม ไม่ทำร้ายบุคคลอื่น หรือ ข้าวของ ให้เสียหาย แต่การแสดงออกของคนบางกลุ่ม นั้น หาใช่ เป็น "อารยชน" ไม่ เป็นการนำไปใช้ในทางที่ผิด ดังนั้น ความอดทน ยังนำไปสู่สันติ ได้โดยไม่ต้องมีการทะเลาะวิวาทกัน ประเทศชาติ ก็ไม่ต้องเป็นข่าวในทางเสื่อมเสีย ต่อ ประเทศอื่น ที่คอยจ้องดูอยู่ และ สุดท้าย บุคคลที่เป็นที่น่าเห็นใจ และ น่าห่วงใย มากที่สุด ก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นประมุขที่ชาวไทยทุกคนเคารพเทอดทูน ท่านจะทรงเสียพระทัย เศร้าพระทัย วิตกกังวล ขนาดไหน เมื่อได้ทราบเห็น ลูกหลานของท่าน เอาแต่ทะเลาะกัน จนบ้านจะไม่เป็นบ้านอีกแล้ว เมืองไทยที่น่าอยู่ กลับกลายเป็นเมืองที่ เพื่อนบ้านต่างโจทย์ขานกันทั่วไป ข้าพเจ้ารู้สึก เห็นใจ และ ห่วงใย ในหลวง ที่ข้าพเจ้าเคารพยิ่งนัก หวังว่า บารมีของพระองค์ท่าน จะช่วยปัดเป่า ขจัด ความหมอกมัวมึดคลุ้ม นี้ให้สลายไปโดยเร็ว ดังที่ได้ทรงแสดงบารมี มาแล้ว เมื่อครั้งอดีต ขอพระองค์ ทรงพระเกษมสำราญพระทัย และ พระพลานามัย แข็งแรง

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

ด้วยความห่วงใย เคารพเทอดทูนอย่างสุดซึ้ง

mindsoul


//www.oknation.net/blog/print.php?id=310217

//www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?book=1&bookZ=45&name=%BB%D8%B3%E2%B3%C7%D2%B7%CA%D9%B5%C3



Create Date : 26 กันยายน 2553
Last Update : 29 กันยายน 2553 3:32:56 น.
Counter : 1805 Pageviews.

0 comments
: รูปแบบของความว่าง : กะว่าก๋า
(18 เม.ย. 2567 04:00:35 น.)
การหา เติมความมี ปัญญา Dh
(16 เม.ย. 2567 18:08:16 น.)
หลักของสติ **mp5**
(16 เม.ย. 2567 12:14:57 น.)
สมบัติรูป สมบัตินามที่ถูกรูป ปัญญา Dh
(10 เม.ย. 2567 18:24:46 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Lunla.BlogGang.com

animE'
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด